​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๐

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนตุลาคม ๒๕๕๓


              ตอนแรก ๆ อาตมาก็ไม่ได้สงสัย พอท่านบอกจึงเข้าใจ ตอนแรกก็นึกว่าอาตมามีอาหารให้เขากิน ที่ไหนได้...เจ้าของลี้ยงเขาดีกว่าเราอีก เขามาอยู่กับอาตมาแล้วอด ๆ อยาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังหนีมาอยู่ด้วย
              ถ้าเรื่องหมาต้องถาม หลวงพี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) หลวงพี่ชลอเขาเลี้ยงหมา มีเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท และพี่ชลอเขาจะเป็นคู่รักคู่แค้นของเจ้าใหม่
              เจ้าใหม่เป็นหมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง ผิดท่าผิดทางเมื่อไรเป็นกัดแหลก ขนาดหลวงพ่อตี เขายังกรรโชกใส่ อาตมาก็จะกะจะเล่นงานให้ร่วงอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อบอกว่า “ปล่อยมัน...เจ้านี่ชาติก่อนเป็นทหาร ตายตอนกำลังตะลุมบอนอยู่ เพราะฉะนั้น...มันแยกมิตรแยกศัตรูไม่ออกหรอก”
              เห็นอาตมาเงื้อไม้ เจ้าใหม่กระโดดใส่เลย ตบะเขาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก ขนาดอาตมาที่ว่ามั่นคง...ไม่กลัวนะ ยังรู้สึกว่าไอ้นี่น่ากลัว
              เวลาเช้า ๆ เจ้าใหม่จะวิ่งนำรถหลวงพ่อเข้ามาที่หน้าตึก อาตมาจะยืนรอรับหลวงพ่อที่หน้าตึก เจ้าใหม่จะพุ่งเข้าใส่เลย จะมีท่านน้อยยืนอยู่ด้วย ท่านน้อยจะรีบตะโกน “เฮ้ย...ไอ้ใหม่ กูเอง ๆ ...!” ต้องบอกเขาก่อน แต่อาตมาไม่ได้บอก พอเขาพุ่งจะเข้าใส่ อาตมาก็ยืนเฉย เขาก็หยุดคำรามอย่างเดียว แต่ถ้าขยับหนีตอนนั้นเขาจะกัดทันที เพราะอาตมาขี้เกียจส่งเสียง จึงได้แต่มอง มีปัญญาก็กระโดดมาสิ กูเตะทันอยู่แล้ว...!
              ใครอยากรู้เรื่องความดุของเจ้าใหม่นี่ ต้องไปถามหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน) หลวงพี่วิรัชกับเจ้าใหม่เป็นคู่รักคู่แค้นกัน ในฐานะที่หลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ เจ้าใหม่เป็นเจ้านาย เจ้าใหม่นึกอยากจะกัดเมื่อไรก็กัดเลย
              เจ้าใหม่เอาแต่กัดหลวงพี่วิรัช หลวงพี่วิรัชจึงสั่งคนงานเหลาไม้ไผ่เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๒ เมตร กะว่าจะตีกับเจ้าใหม่ พอถึงเวลาหลวงพี่วิรัชถือไม้มา เจ้าใหม่โฮกใส่ หลวงพี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อนไม้หลุดมือ ปล่อยให้เจ้าใหม่กัดแต่โดยดี...
              เราลองคิดดูว่า คนที่ติดอาวุธพร้อมรบ พอหมาแฮ่ใส่แล้วมืออ่อนตีนอ่อน ร่วงไปให้กัด หมาตัวนั้นต้องน่ากลัวขนาดไหน ? เจ้าใหม่นี่สมกับเป็นนักรบจริง ๆ พอคนตีเขาจะตึงตัวหนีนิดเดียว ไม่ได้หนีไกล พอดึงตัวให้พ้นปลายไม้แล้วกระโดดสวนเลย...!
              เจ้าใหม่เห็นหลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ แต่เห็นหลวงพี่ชลอเป็นศัตรู เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าใหม่ข้ามแดน เดินไปทางด้านหลังหอฉันหลังใหม่ ก็คือ ท่าน้ำที่ลงไปเลี้ยงปลากัน เขตนั้นกลุ่มพวกเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท เขาเป็นใหญ่อยู่
              พอเจ้าใหม่ไป หมา ๕ - ๖ ตัวที่นั่นก็ลุย เจ้าใหม่ก็สู้ แต่มาเป็นเรื่องตรงที่ว่า หมา ๕ - ๖ ตัว รุม ๑ ตัว ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว แต่พอหมาตัวเองเสียท่าถูกกัด หลวงพี่ชลอกลับตีเจ้าใหม่ เพื่อช่วยหมาของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าใหม่จำสุดชีวิตเลย เจอหลวงพี่ชลอเมื่อไรจะต้องกัดให้ได้...!
              ถ้าหลวงพี่ชลอออกมาตรงหน้าตึก ไม้ต้องไม่ห่างมือ เจ้าใหม่นั้นน่ากลัวขนาดที่ว่า เมื่อกัดต่อหน้าไม่ได้ เพราะพี่ชลอมีไม้คอยตีกันไว้ เขาก็จะอ้อมไปไกลแล้วย่องมาทางข้างหลัง...!
              พอเห็นแล้วอาตมาก็คิดว่า เรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ นั้นกัดกินสรรพสัตว์ทุกหมู่ทุกเหล่าจริง ๆ ขนาดหมายังโกรธยังพยาบาทได้ขนาดนั้น อย่างว่าแหละ...เจ้าใหม่เป็นทหารเก่า และตายตอนที่กำลังตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะฉะนั้น...ใครขยับผิดท่าผิดทาง โดนกัดทั้งนั้น เจ้าใหม่ก็เลยทำสถิติกัดโยมที่จะมาเลั้ยงเพลพระไปเยอะมาก
              ท้ายสุดคณะกรรมการสงฆ์ก็ลงมติว่า เอาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ดีกว่า เขาตั้งใจว่าจะช่วยกันต้อนเจ้าใหม่เข้ากรง แล้วเอามาปล่อยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวเทศบาลก็จัดการเอง...!
              ทันทีที่ลงมติเสร็จ เรื่องไปถึงหลวงพ่อ จริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านรอจังหวะอยู่ ท่านบอกว่า หมาดุมีประโยชน์ ขโมยจะกลัว เอ็งก็ปล่อยเฉพาะตอนกลางคืนสิ ขโมยจะได้เข้าวัดไม่ได้ ถ้าจะขังก็เอาเฉพาะกลางวันเท่านั้น”
              ดังนั้น...โครงการพาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ จึงต้องระงับไป ครั้นจะไปขังแล้วปล่อยตอนกลางคืน ก็คงจะไม่มีใครขังหรอก พี่ ๆ เขาก็ไม่มีใครเอา อาตมาก็ไม่เอา กลัวว่าจะเจอหมาอาฆาตคอยตามราวี กลายเป็นว่าต้องปล่อยท่านใหม่ให้กร่างทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนเดิม
              อาตมาต้องติดอาวุธยาว...ใช้หนังสะติ๊ก ถ้าเจ้าใหม่แฮ่ใส่โยมเมื่อไร อาตมาก็ยิง...! เจ้าใหม่นี่อืดมากนะ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ไม่เคยร้อง จะสะดุ้งหน่อยเดียว แล้วก็หลบไป เพราะเขารู้แล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ก็จะเลี่ยงไปเอง
              วันดีคืนดีคุณใหม่ก็เป็นขี้เรื้อน ขนร่วงทั้งตัว อาตมาเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร จึงไปซื้อกำมะถันผงมา เอากำมะถันผงมาสัก ๒ กำมือใหญ่ ๆ เปิดน้ำมันพืช น่าจะประมาณ ๑ ลิตร เทลงไปให้หมดขวด คลุกให้เข้ากัน ก็จะหลายเป็นน้ำเหลือง ๆ ใช้ทาหมาขี้เรื้อนทาให้ทั่ว ๆ
              อาตมาจัดการทาให้เจ้าใหม่ เขาก็รู้ตัวนะ ยอมให้ทา อาตมาพยายามรีบทาแล้ว แต่เจ้าใหม่เป็นขี้เรื้อนทั้งตัว โดยเฉพาะแถวซอกขาและใต้ท้องจึงทำให้ช้า พอทาไปสักพักหนึ่ง ยาออกฤทธิ์จะเริ่มร้อน พอร้อนเจ้าใหม่ก็ดิ้น พอดิ้นอาตมาก็ล็อกไว้เพื่อทายาต่อ พอล็อกก็โดนกัดเลย...!
              เมื่อรู้สึกว่าอันตราย เจ้าใหม่จะกัดเลย อาตมาโดนกัดไป ๑๑ เขี้ยว เข้าเฉพาะแถวฝ่ามือ ส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาเป็นรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เข้าเนื้อ
              หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า วัตถุมงคลของท่านนอกข้อกันไม่ได้ เพิ่งจะมาเชื่อก็ตอนโดนท่านใหม่กัดนี่แหละ และที่กัดได้ถึง ๑๑ เขี้ยว เพราะอาตมาถือว่า มึงมีปัญญากัดก็กัดไป กูจะต้องทาให้เสร็จก่อน ก็ทายาไเรื่อย ตกลงว่าบ้าทั้งหมา บ้าทั้งคน เท่ากับเป็นคู่รักคู่แค้นกัน
              หลังจากโดนท่านใหม่ฝังเขี้ยวได้ไม่ทาน ท่านใหม่ก็หายไปเฉย ๆ
              ปกติแล้วทุกเช้าเขาจะวิ่งนำรถหลวงพ่อ เพื่อมาส่งท่านที่หน้าตึก วันแรกที่หายไป คนก็ยังไม่สงสัย วันที่สองคนก็เร่ิมระแวง เริ่มตามหาแล้ว วันที่สามตอนเช้ามืด ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาท่านหนึ่งเดินทะลุประตูเข้ามา หน้าเป็นหมาเหมือนท่านใหม่เลย
              ท่านมาบอกว่า “ไม่ต้องตามหานะครับ ผมตายแล้ว” อาตมาถามว่า “เอ็งเป็นอะไรตายวะ ?” เขาบอกว่า “ตกน้ำตายครับ” แล้วก็ทำภาพให้ดู
              ก็คือแก่แล้วยังซนอยู่ พอเห็นสวะลอยน้ำมาก็ไปงับแล้วยื้อดึงขึ้นมา สวะกองใหญ่มาก เขาดึงไม่ขึ้น ตัวเองก็เลยถลำตกน้ำ ตะกายได้ไม่กี่ที ด้วยความที่แก่แล้วไม่มีแรง เขาก็เลยจมน้ำ
              ตอนที่เขาทำภาพให้ดู เป็นวันที่สามแล้ว ลอยอืดแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งภาพมาชัด ก็เลยบอกเขาว่า “ไม่ต้องชัดขนาดนั้นก็ได้แล้วมีธุระอะไร ?” เขาบอกว่า “ถ้าจะสงเคราะห์ ก็ช่วยถวายสังฆทานให้ด้วย”
              แล้วเขาก็บอกว่า “บอกพวกทหารตำรวจด้วยว่าไม่ต้องตามหาหรอก ผมตายแล้ว” ตอนเช้าพอส่งหลวงพ่อขึ้นตึก อาตมาบอกพวกทหารตำรวจว่าท่านใหม่ตายแล้ว เขามาบอกว่าตายแล้ว ไม่ต้องไปหาหรอก
              พวกทหารเขาเชื่อที่อาตมาพูด แต่มีคนสงสัยก็คือหลวงพี่วิรัช
              ตอนบ่ายหลวงพ่อออกรับแขก หลวงพี่วิรัชจึงฉวยโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า “พระเล็กบอกว่าท่านใหม่ตายแล้วนะครับ” หลวงพ่อบอกว่า “เออ...ตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติจะต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะเขาเป็นพระโพธิสัตว์
              แต่ไปอยู่ดาวดึงส์เพราะว่า ถ้าอยู่ชั้นดุสิต เดี๋ยวโดนนิมนต์ไปเทศน์ที่เทวสภา ท่านใหม่ขี้เกียจเทศน์เลยไปหลบอยู่ดาวดึงส์ อีกไม่นานก็จะมาเกิดใหม่”
ส่วนใหญ่เขาจะไปถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ ไม่มีหรอกที่จะเชื่ออาตมาเสียทีเดียว
              สรุปว่า พอท่านใหม่ตาย แทนที่จะไปหาคนอื่น กลับมาหาคู่รักคู่แค้นอย่างอาตมา ขอให้ถวายสังฆทานให้ด้วย วันนั้นอาตมาก็ฝากทหารไปถวายสังฆทานให้
              ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องมาหน้าหมาด้วย เขาบอกว่า “ถ้ามาหน้าเป็นเทวดา เดี๋ยวจะจำผมไม่ได้” ลองนึกถึงคนที่แต่งตัวเป็นลิเกแล้วมีหัวเป็นหมา จะดูตลกแค่ไหน ?
              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสนั้นกินทั้งคน ทั้งสัตว์ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกรูปนาม ไม่เว้นเลย หมู หมา กา ไก่ก็กินหมด”
              “เดือนที่แล้วขายท่านแมน เดือนนี้ขายท่านใหม่ เดือนหน้าขายท่านไหนดี ?
              หมาที่วัดท่าซุงร้ายมากเลย เป็นผีแล้วมาหลอกพระเป็นประจำ มีอยู่ตัวหนึ่ง กลุ่มเดียวกับพวกโป๊ยก่าย ชื่อ คุณหญิง คุณหญิงโดนรถหน้าวัดชนตาย
              ปกติแล้วเวลาเรียกเขา เขาจะตอบรับด้วยการยิ้ม เวลาที่หมายิ้ม เขาจะทำหูรี่ไปข้างหลัง ถ้าสังเกตเป็นจะรู้ว่าเขากำลังยิ้ม
              วันนั้นอาตมาออกเวรตอนหกโมงเย็น พอดินลงมาจากหน้าตึก หลวงพ่อได้ ๕ - ๖ ก้าว คุณหญิงก็เดินมาหา อาตมาก็ทักว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ?” เขาก็ทำหูรี่ยิ้มเหมือนเดิม อาตมาไม่มีเวลามาก เพราะต้องรีบไปทำวัตรเย็น ก็รีบจ้ำเดินไป
              พอเดินไปได้ ๔ - ๕ ก้าว เพิ่งรู้ตัว นึกขึ้นมาได้ “อ้าว...เจ้านี่ตายไปแล้วนี่หว่า...!” หันกลับมามองไม่มีหรอก ตรงนั้นเป็นลานซีเมนต์กว้าง ๆ ไม่มีทางที่เขาจะหลบพ้นสายตาไปได้ แต่มองแล้วไม่มีเลย พอรู้ทันเขาก็ไปแล้ว
              พวกผีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีหมาหรือผีคน เขาจะหลอกเฉพาะตอนที่เราเผลอ แล้วก็หลอกคนที่ไม่รู้ อย่างเช่น คนตายแล้วญาติเขายังไม่รู้ว่าตาย เขาก็จะไปหา แต่ถ้าญาติรู้ว่าตายแล้ว เขาไม่ไปหรอก
              ฉะนั้น...หมาวัดท่าซุงตายแล้วยังมาแหกตาหลอกอยู่เรื่อยเลย ตอนที่ทักเขา ลืมไปว่าเขาตายแล้ว”
      ถาม :  เขาไปหาคนที่ยังไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร ไปหลอกหรือคะ ?
      ตอบ :  เขาคิดถึง เขาเลยมาเยี่ยม อีกอย่างก็คือ ถ้าเขามาลักษณะนั้น เราอุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่แล้ว ตอนนั้นอาตมากำลังจะไปทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐานพอดี
              ช่วงแรก ๆ ก็ต้องตาลีตาเหลือกรีบไปทำวัตร พอช่วงหลังเลยใช้วิธีขออนุญาตครูนนทาใช้ห้องน้ำในตึก สรงน้ำเสร็จก็รอเวลา ๖ โมงเย็น จึงไปเรียกหลวงพี่ไพบูลย์ให้มารับเวรแทน เราค่อยรีบจ้ำอ้าวไปวิหาร ๑๐๐ เมตร
              อาตมาจะเป็นพระ ๑ ใน ๒ รูปในวัดที่เดินไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เพราะส่วนใหญ่ท่านอื่น ๆ จะนั่งรถรางหรือรถอีแต๋นไป ส่วนอีกรูปหนึ่งที่เดินไปวิหาร ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ท่านอยู่บ้านข้าง ๆ วัด คราวนี้เห็นหรือยัง ? พวกรั้น ๆ อยู่วัดไม่ค่อยได้หรอก
              ตอนขาไปใช้วิธีเดิน ตอนขากลับเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงอาศัยรถอีแต๋นกลับ ตรงนั้นแหละจึงได้เกิดการทดสอบมโนมยิทธิกัน
              ทางออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ถ้าพวกเราสังเกตจะเห็นว่า พอพ้นจากรั้วแล้วจะเป็นถนนเลย ท่านสำออยก็จะขับรถอีแต๋นพากลับ
              ท่านสำออย ชื่อนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะหลวงพ่อเรียกว่า “ท่านดุ่ย” หลวงพ่อบอกว่า “ไปเมื่อไรก็เห็นทำแต่งานดุ่ย ๆ ไม่สนใจใคร เลยเรียกว่า ท่านดุ่ย”
              ท่านดุ่ยก็จะคอยถามอาตมาเวลาข้ามถนนว่า “หลวงพี่...ขึ้นถนนได้หรือเปล่า ?” พออาตมาบอกว่า “ได้...ไปเลย” เขาก็แทบจะยกล้อขึ้นถนนไม่มีเบรกเลย ถึงได้บอกว่า ถ้าวันไหนอาตมาพลาดขึ้นมา ก็คงได้ตายกันทั้งคันรถ...!
*************************

              “สมัยนั้นวัดท่าซุงจะมี “๕ เกลอหัวแข็ง” มีหลวงตาวัชรชัยอยู่ด้วย ๕ เกลอหัวแข็งไม่เป็นที่ชอบใจของใครเขาหรอกเพราะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาลำบาก เขาจะอู้ก็ไม่ได้ เพราะห้าคนนี้แบกระเบียบอยู่ แล้วดันปากกล้าทั้งนั้นเลย
              ถึงเวลาประชุมสงฆ์ พอพูดถึงระเบียบวัดเมื่อไร เขาต้องมองหน้า ๕ คนนี้ เพราะว่าจะปฏิบัติตามระเบียบ ไม่ยอมผ่อนปรนให้แม้แต่ข้อเดียว ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ถือว่าหลวงพ่อท่านสั่งไว้แล้ว
              ท่านสมปองกับหลวงตาไปสายใต้ด้วยกัน ก็เลยไปกันได้ ตอนหลังหลวงตาเห็นว่าสายใต้แถวยาวมาก บางทีไปสิบกว่ายี่สิบรูป หลวงตาจึงแยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด ยังเหลืออาตมากับท่านสมปองเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม
              พอฝนตกคนอื่นเขาไม่ไปกัน แต่อาตมากับท่านสมปองไป สองคนครองผ้าแค่สามผืนเหมือนกัน กลับมาก็เปียกโชก บิดให้พอหมาด ๆ แล้ว ห่มผ้าไปฉันแบบเปียก ๆ
              ที่วัดท่าซุงมีระเบียบอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้ากลับมาไม่พร้อมกันยังฉันไม่ได้ คนอื่นเขาก็สรรเสริญเจริญพร จนอาตมาเองเดินกลับแล้วรู้สึกอิ่ม ๆ เลย ยังสงสัยว่าทำไมสายแล้วจึงยังไม่หิว ที่แท้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาช่วยเจริญพรให้ ข้อหาเสือกขยันเกินเหตุ...!
              ตอนที่รอนานที่สุด เป้นตอนที่รอรุ่นน้องที่ชื่อ ท่านประสิทธิ์ ท่านประสิทธิ์ฉายา สุธมฺมยาโน
              วันนั้นกลางคืนฝนตกหนัก พอตอนเช้าฝนหยุด ท่านประสิทธิ์ต้องไปบิณฑบาตทางเรือ น้ำกำลังหลากออกจากคลองยาง แล้วหักโค้งไปทางมโนรมย์ ไหลลงไปทางเขื่อนเจ้าพระยา
              ปกติเวลาบิณบาต ท่านประสิทธิ์จะพายเรือไปทางมโนรมย์กลับมาถึงวัดราว ๗ โมงครึ่ง วันนั้น ๘ โมงแล้วท่านประสิทธิ์ยังไม่มา ๘ โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มา เวลาเกือบ ๙ โมง ท่านประสิทธิ์ถึงกลับมาในสภาพสะบักสะบอม
              อาตมาถามว่า “ทำไมช้านักวะ ?” ท่านบอกว่า “ตอนไปเร็วมากเลยครับ พอเรือถึงปากคลองยาง ก็ไหลปรู๊ดตามน้ำไปเลย แต่ตอนกลับมาต้องทวนน้ำ พายแทบตายก็แทบจะไม่ขยับเลย เหนื่อยเกือบจะเป็นลม จึงต้องเอามือเกาะต้นไม้ข้างชายน้ำดึงเรือมาทีละหน่อย”
              สรุปว่าวันนั้นไม่ได้ทำวัตรเช้า ปกติวัดท่าซุงทำวัตรเช้าตอนแปดโมงครึ่ง หลังฉันเช้าแล้ว วันนั้นกว่าจะฉันเสร็จเกือบเพล เพราะท่านประสิทธิ์มาตอน ๙ โมง
              เรื่องที่เล่ามานี้สรุปลงตรงที่ว่า ระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบ ถ้าเรายังรักษาไม่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติซึ่งเป็นอาารมณ์ทางใจที่ละเอียด เราก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน
              พระพุทธเจ้ากำหนดระเบียบวินัยอย่างหยาบ ๆ ให้แก่พวกเรา ก็คือ ศีล ๕ ขยับสูงขึ้นมา ก็คือ กรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘
              ในเมื่อเรื่องของระเบียบวินัยส่วนตัว หรือระเบียบของสถานที่ เราทำไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความดีอย่างคนอื่นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะว่าจิตของเราหยาบเกินไป
              ดังนั้น....ใครก็ตามที่ยังไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ให้พยายามทบทวนและเร่งรัดตัวเองให้รักษาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เป็นศูนย์ไปเลย อย่าลืมว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยนำให้เราเข้าสู่พระนิพพาน”
*************************

      ถาม :  หนังที่ท่านเล่าเกี่ยวกับญี่ปุ่น ความคับแคบของสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างไร ?
      ตอบ :  จะเรียกว่าส่งผลก็ได้ แต่ในส่วนบกพร่องก็มีความดีอยู่ เพราะสถานที่คับแคบ ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน เขาก็เลยแก่งแย่งกันจนกระทั่งยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าของโลก
      ถาม :  เขามั่นคงแล้วหรือคะ ?
      ตอบ :  จะเรียกว่ามั่นคงก็ไม่ใช่ คือ ตัวบุคคลยังขาดความมั่นงคงในจิตใจอยู่ ด้วยความที่ต้องแก่งแย่งชิงดีต่อสู้กัน เพราะสถานที่มีน้อย บุคคลมีมาก ทรัพยกรมีน้อย ทำให้เขาสามารถแก่งแย่จนกระทั่งยืนหยัดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกได้ แต่สภาพจิตใจของตัวบุคคลก็คงไม่มีอะไรเยียวยารักษาได้
      ถาม :  อะไรแสดงให้เห็นว่า คนญี่ปุ่นขาดความมั่นคงในจิตใจ ?
      ตอบ :  เขาฆ่าตัวตายหมู่กันมาก เหตุที่ฆ่าตัวตายเพราะจิตใจไม่เปิดกว้าง คับแคบมาก โดยเฉพาะสมัยก่อนมีการฮาราคีรี ไม่มีการให้อภัยทั้งผู้อื่นและตัวเอง
              ในเมื่อไม่มีการให้อภัยตัวเอง เห็นตัวเองทำผิดพลาด ก็รับผิดชอบด้วยการคว้านท้องตาย เราอาจจะเห็นเป็นความรับผิดชอบ แต่เราก็ต้องมองเห็นอีกมุมหนึ่งว่า เขาไม่มีการให้อภัยเลยแม้กระทั่งตัวเอง...!
              ถ้าเราไปดูที่พระพุทธเจ้าอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก ฆ่าสัตว์ที่มีคุณมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าฆ่าสตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ที่มีศีลมีธรรมมีโทษมากกว่าฆ่ามนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดก็คือ ฆ่ามนุษย์มีโอกาสบรรลุมรรคผลมีโทษหนักที่สุด
              เท่ากับว่าเราไปฆ่าสัตว์ที่มีคุณอย่างยิ่ง โทษก็เลยหนักกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปหลายเท่า
              ภาษิตจีนเขาบอกว่า ร่างกายผมเผ้าบิดามารดาให้มา ต่อให้เจ้าไม่ยินดีมีชีวิตอยู่ขนาดไหนก็ตาม เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าตัวตาย ถ้าพ่อแม่เจ้าไม่อนุญาต แต่อาตมาขอบอกว่า ถึงพ่อแม่อนุญาต ในทางธรรมก็ถือว่าผิด...!
              ปัจจุบันนี้มีบางปัญหที่ญาติโยมเคยกล่าวถึง ก็คือ พ่อแม่ป่วยหนักอยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ดูแล้วไม่รอดแน่ เราเป็นลูกสั่งถอดสายออกซิเจนได้หรือไม่ ?
              ขอยืนยันว่าถอดเมื่อไรเป็นอนันตริยกรรมทันที เพราะเท่ากับว่าเราฆ่าหรือสั่งให้ฆ่าท่าน ถ้าจะไม่รักษาต้องไม่รักษาแต่แรกเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่วินิจฉัยของหมอ ว่าสมควรทำอย่างไร ? ถ้าหมอจะประคองชีวิตอยู่จะใส่สายระโยงระยางอย่างไรให้หมอใส่ไป ถ้าจะเอาออกให้หมอตัดสินใจไป
              อย่าไปสั่งเชียวว่าพ่อแม่ทรมานมาก หมอช่วยเอาออกที เพราะคนเราทรมานขนาดไหนก็ตามโดยสัญชาตญาณความรักชีวิตยังมีอยู่ ความหวังที่จะหายจากการเจ็บป่วยยังมีอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทสิ้นคิดจริง ๆ ไม่มีใครอยากตายหรอก
              โปรดอย่าได้ทำอนันตริยกรรม เพราะว่าผุดยากเกิดยาก สมัยเด็ก ๆ อาตมากลัวมากเลยเวลามีคนแช่งว่า “ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” สมัยนี้เมื่อไรเขาจะแช่งให้เป็นจริงเสียที ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดของอาตมา ความหมายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดมีที่เดียวคือพระนิพพาน แต่ถ้าผุดยากเกิดยากก็คืออเวจี
              เรื่องของการทำแท้งก็เหมือนกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถตรวจได้ว่าลูกในท้องพิการ หมอก็มักจะแนะนำให้ทำแท้ง ขอยืนยันว่าถ้าคุณทำแท้งโทษเท่ากับคุณตั้งใจฆาคนเลย...!
              คนที่เกิดมาจะสมบูรณ์หรือพิการ ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เขาทำมา และเขาคงสิทธิ์ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะต้องเกิดมาใช้กรรมก็ตามเราไปตัดชีวิตเขาเมื่อไร คือเราตั้งใจฆ่ามนุษย์ให้ตาย
              ถ้าพระแนะนำให้ทำแท้ง ต้องอาบัติปาราชิกเลย เราจะไปอ้างเรื่องศีลธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมข้อไหนที่แนะนำให้ฆ่าได้ ยกเว้นศีลธรรมของศาสนาอื่น เพราะส่วนใหญ่ที่อ้างก็คือ เด็กเกิดมาจะลำบาก พ่อแม่เสียเวลาในการเลี้ยงดู สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง เด็กพิการทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นี่มองอย่างโลกตะวันตก ไปมองในแง่ของเศรษฐกิจกำไรขาดทุน
              อย่าลืมว่าพื้นฐานของพวกเราคือพื้นฐานชาวพุทธ เราต้องมองในแง่ของศีลธรรม อย่าไปมองในแง่กำไรขาดทุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ครอบครัวของทางตะวันตกล่มสลาย ถึงเวลาแก่แล้วก็ต้องไปอยู่ที่พักคนชรา ไม่มีลูกหลานคอยดูแล
              บ้านเราอย่าให้แย่ขนาดนั้นเลย โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่น่ากลัวมาก ก็คือ เด็ก ๆ สมัยนี้กร้าวกระด้างกับพ่อแม่ตัวเอง ดื้อ...เถียงพ่อเถียงแม่ ประเภทที่โบราณบอกว่า เถียงคำไม่ตกฟาก น่าตบให้ปากฉีกถึงใบหู....!
              อยากจะบอกว่าประสบกาณณ์ชีวิต ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา คนไหนทำอย่างไรกับพ่อแม่ เวลาตัวเองมีลูกเมื่อไรจะได้คืนแบบนั้นทันที และได้คืนหลายเท่าตัวด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ?
              เคยดื้อกับพ่อแม่เท่าไร พอมีลูกจะดื้อกว่าหลายเท่า เคยเถียงพ่อเถียงแม่ เคยทำร้ายพ่อแม่ หรือทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ถึงเวลาลูกต้วเองจะทำมากกว่าที่เราทำกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้แทบทุกครอบครัวที่เคยเห็น
              ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่รักเรา ถึงแม้พ่อแม่จะดุด่าเฆี่ยนตีเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธไปเกลียดท่าน เราต้องคิดดูว่าถ้าเราไม่มีท่านเราก็ไม่มีที่เกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นตัวเป็นตนได้ มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ก็ด้วยร่างกายนี้ที่พ่อแม่ให้มา
              เพราะฉะนั้น...มีโอกาสแล้วทำดีกับท่านไป ขอให้ทุกคนเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี แม้ว่าผลนั้นจะมาช้าไปหน่อยก็ตาม

              อาตมาเห็นหลายครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนเจ้าโทสะ ค่อนข้างจะร้ายกาจกับลูกหลานตัวเอง แต่พอลูกตั้งใจทำดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา สั่งสมไปนานเข้า ๆ พอกำลังความดีสูง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้
              ดังนั้น...ถ้าเป็นไปได้ พ่อแม่ใครยังอยู่ เราควรให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ท่านบ้าง กลับไปถึงบ้าน ต่อให้ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝาก ก็ถามถึงสารทุกข์สุขดิบท่านบ้าง “วันนี้สบายดีหรือเปล่า ? งานการเป็นอย่างไร ? มีคนช่วยไหม ? เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ?” พ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ต้องการให้ลูกสนใจพ่อแม่บ้าง
              มีครอบครัวคนจีนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายโทนคนเดียว ทั้งพ่อและแม่เป็นคนขยันทุ่มเท เลี้ยงลูกเติบโตขึ้นมา หาสะใภ้ให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา คนเป็นพ่ออายุสั้นตายไปเสียก่อน เหลือแต่แม่
              ปรากฎว่าลูกชายกลับมาถึงบ้าน ไปจ๊ะจ๋ากับเมียตัวเอง แม่นั่งอยู่ปากประตูกลับเดินผ่านไปทุกที เห็นแล้วนึกสะท้อนใจ เหมือนกับแม่เป็นตุ๊กตาเฝ้าหน้าร้านเฉย ๆ เราลองมาคิดดูว่า อย่างน้อย ๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ส่วนคู่ชีวิตของเรามาทีหลังนานมาก แล้วเราไปให้ความสนใจกับคู่ชีวิตมากว่า นี่ยุติธรรมแล้วหรือ ?
              ถ้าจะให้ดี ก็คือ ให้ความสนใจเท่าเทียมกัน และถ้าเป็นไปได้ ให้ความสนใจพ่อแม่ให้มากกว่า รู้ว่าท่านชอบกินอะไร ถึงเวลาซื้อให้ท่านกินบ้าง มีโอกาสพาท่านไปเที่ยวบ้าง พาไปทำบุญใส่บาตร เข้าวัดเข้าวาตามโอกาสบ้าง ถ้าใครสามารถทำได้จะมีแต่ความเจริญแก่ตัวเอง อย่าไปคิดว่าโลกยุคใหม่ เราทำอย่างนั้นแล้วเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ทำดีกับท่านไว้เถอะ ไม่เสียหายหรอก ถึงเวลาลูกหลานมีตัวอย่าง เขาก็จะทำดีกับเราบ้าง
*************************