สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ถ้ามีคนกลั่นแกล้งเรา เราควรตอบโต้หรือไม่ถ้าตอบโต้ควรตอบโต้ด้วยวิธีใด หรือให้เราคิดว่าเป็นเรื่องเรื่องของกฏแห่งกรรม ?
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าสามารถทำใจว่าเป็นกฏของกรรมแล้วไม่โต้ตอบใครเลยนั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าหากว่าคิดว่าจะสงเคราะห์คนบางคนประเภทจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะคนบางประเภทเอาความดีเข้าไปสู้เขาจะไม่รู้ตัว แต่ว่าการตอบโต้นั้นต้องระวังใจของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไหร่มันจะประกอบด้วยตัว วิหิงสาวิตก คือคิดจะเบียดเบียนเขา
              เพราะฉะนั้นถ้าจะวิเศษที่สุดก็คือว่าปล่อยวางไปอย่าไปสนใจเขาว่ามันเป็นกฏของกรรมไปตบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว แต่ว่าคนประเภทที่ว่ามานี่มันเยอะ เพราะฉะนั้นถึงเราจะไปแก้นิสัยของคน ๆ นี้เดี๋ยวคนต่อไปก็ต้องไปแก้มันอีกก็ยุ่งตาย ปล่อยวางไปซะอย่าไปยุ่งกับมันเลยเป็นดี เฉยไว้ดีกว่าปลอดภัยกว่าเยอะ
      ถาม :  ในยุคปัจจุบันที่ผ่านมา มีหรือไม่ที่ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์แล้วบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล ?
      ตอบ :  มียืนยันว่ามี ยิ่งตอนสมัยที่หลวงพ่ออยู่ยิ่งเยอะ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจตอนนั้นเท่านั้นเองนะ มีจริง ๆ
      ถาม :  เรื่องของนางกวัก มีผลจริงหรือไม่ครับ ?
      ตอบนางกวัก ถ้าหากว่าทำถูกต้องตามพิธีกรรมของเขามีผลจริง สมัยโบราณพิธีกรรมทุกอย่างขึ้นอยู่กับสติ สมาธิทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่เสาะหาไม้มา จะต้องใช้ฤกษ์ไหน ยามไหนไปตัด ? เวลาตัดต้องภาวนาคาถาว่าอย่างไร ? ได้มาเสร็จแล้วต้องประกอบด้วยพิธีอย่างไร ? จะกลึงจะเกลา จะควัก จะแกะสลักอย่างไร ? ต้องกำกับด้วยคาถาอะไร ? กำลังจิตที่มุ่งมั่นขนาดนั้นทำให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยปริยายแล้ว ยังไม่ทันจะทำพิธีใหญ่เลยนะ
              แล้วพอพิธีใหญ่บวงสรวงอัญเชิญถูกต้องตามพิธีกรรมมันก็ยิ่งขลังไปใหญ่ ก็ต้องดูด้วยว่าคุณภาพของคนทำแค่ไหน ถ้าคนทำคุณภาพสูงแค่ไหนผลก็สูงแค่นั้น ถ้าคุณภาพของใจเขาแย่มาก ๆ เลยอย่างน้อยก็ให้เขาอาศัยเป็นเครื่องยึดได้
      ถาม :  อย่างนี้เราเห็นนางกวักทั่ว ๆ ไปเราก็ดูถูกเขาไม่ได้ ?
      ตอบ :  ก็ดูถูกไม่ได้ เพราะว่าจริง ๆ แล้วเรื่องของความเคารพนี่ถ้าถึงเวลาแล้วเทวดาเขาก็รักษาให้เพราะว่าถือว่ามันเป็นเทวดาตานุสสติอย่างหนึ่ง ขืนดูถูกเทวดาก็แย่ (หัวเราะ)
      ถาม :  วันพระต่างจากวันอื่น ๆ อย่างไรครับ การทำบุญในวันพระอานิสงส์ต่างจากในวันอื่น ๆ หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันไม่ต่างหรอกนะ เพียงแต่ว่าในวันพระ อย่างเช่นว่า บางทีจะเป็นวันวิสาขบูชา มาฆะบูชาหรืออาสาฬหบูชา เป็นวันพระที่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าท่านโดยตรง อย่างเช่นว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นวันแสดงปฐมเทศนา เป็นวันที่ประชุมสงฆ์แสดงซึ่งโอวาทปติโมกข์เหล่านี้ กำลังใจของเรา ถ้าเราเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติอยู่แล้ว
              ตั้งใจว่าวันนี้เรานึกถึงพระเป็นพุทธานุสสติ เดี๋ยวเราไปวัดเราได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเป็น ธรรมานุสสติ เราไปแล้วเรา จะได้กราบหลวงพ่อองค์โน้น หลวงปู่องค์นี้ ได้ฟังพระสงฆ์ของวัดเราสวดมนต์อย่างนี้เป็นสังฆานุสสติ ถ้าหากว่านึกอยู่อย่างนี้เเป็นปกติมันเป็นวันพระอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าวันอื่น ๆ เราไม่ได้นึกเลย ไปนึกเอาเฉพาะวันพระ วันพระเขาจะต่างจากวันอื่น แต่ว่าวันพระพิเศษที่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยตรงยังไง ๆ กำลังใจของเราก็จะต้องเกาะต้องนึกอยู่แล้ว เออ.. วันนี้วันวิสาขะพระพุทธเจ้าเคยประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานมาแล้วก็สามารถทำให้โยงจิตของเราเข้าถึงความดีได้ง่ายกว่าอยู่หน่อยหนึ่ง สำคัญอยู่ตรงการนึกถึงความดีตรงระหว่างที่ทำ
      ถาม :  อย่างนี้อานิสงส์ก็คือเหมือนกับวันอื่นทุกวัน ?
      ตอบ :  ใช่อานิสงส์ก็คือเหมือนกันถ้าเราทำทุกวัน ถ้ากำลังใจเราเกาะเป็นปกติ ถ้าไม่ได้เกาะเป็นปกติก็วันนั้นก็เป็นวันพิเศษอยู่หน่อย
      ถาม :  มาร... จริง ๆ มีตัวตนอยู่หรือไม่ ? บางสำนักก็กล่าวกันว่าการไปนิพพานของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจะไปสมทบเป็นกองทัพเพื่อไปปราบคณะมาร ทัศนคติและความเชื่ออย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  มารมีจริง ๆ นะ อันนี้คำถามช่วงแรก มารมีจริง ๆ ลักษณะเป็นตัวเป็นตน เป็นกองทัพอะไรจริง ๆ ของเขา แต่ว่าในสำนักที่เขาบอกว่าไปนิพพานไปสมทบไปปราบมารนั้นท่านไม่ไปปราบให้เสียเวลาหรอก ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง มาร คือผู้ขวาง คือผู้ฆ่า เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไปใช่มั้ย ? เราเองปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นเราก็ปฎิบัติของเราไป มันเหมือนกับคนพ้นคุกแล้วแต่ย้อนกลับไปรื้อคุกทิ้ง ทันหน้าที่ของเราหรือเปล่าล่ะ ๆ ไม่ได้เกี่ยวเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราจะไปว่าผู้คุมคุกนี่ไม่ดีจับเราเข้าคุกหรือตำรวจไม่ดีจับเราเข้าคุกก็รวมหัวกันไปตีตำรวจมันไม่ใช่เรื่องของพลเมืองดี เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเป็นทัศนคติที่ถูกต้อง ก็ถือว่าถูกของเขาล่ะ แต่ว่ามันผิดของเราก็แล้วกัน เขาเชื่ออย่างนั้น ห้ามเขา ๆ ก็ไม่ฟังเรา
      ถาม :  พระปัจเจกพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ให้คาถาไว้ท่องเป็นอนุสสตินี้ เจาจะนึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษหรือไม่ครับ ?
      ตอบ นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ว่าคาถาเงินล้าน ซิหมดเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมีเยอะ แล้วพระนามของท่านก็มี แต่ว่าเนื่องจากว่าหลวงปู่หลวงพ่อทางด้านครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้บอกไว้ใช่มั้ย ? เราเองเราก็นึกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าของพระคาถาเงินล้าน ถ้านึกภาพท่านไม่ออกก็นึกภาพพระพุทธเจ้านั่นแหละ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าทุกอย่างเพียงแต่รัศมีความสว่างน้อยกว่าพระพุทธเจ้านิดเดียวเท่านั้นเอง
      ถาม :  การที่จิตของเราได้ไปกราบเทวดา นางฟ้า พรหม อานิสงส์เป็นพิเศษอย่างไร ?
      ตอบ :  ดูว่าเราไปกราบที่ไหน ถ้าเราไปกราบบนพระนิพพานนี่รับรองว่าพิเศษแน่ ๆ เพราะตอนนั้นกำลังใจของเราเข้าพระโสดาบันนะ ไปกราบที่พรหมอย่างน้อย ๆ เราก็เป็นผู้ทรงฌานเหมือนพรหม ไปกราบที่เทวดาเราก็เป็นผู้ทรงฌานอยู่แล้ว แต่ว่าสภาพของเทวดานี่มันยังมีความรื่นเริงบันเทิงใจในเรื่องของกามอยู่ กำลังใจของเราเกาะอยู่ในส่วนนี้ถือว่าเป็น เทวตานุสสติ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นกำลังของสมาธิสมาบัติด้วย
              แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ท่านให้ยึดว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ท่านอยู่ในลักษณะนี้ ท่านเป็นเทวดา เป็นพรหมหรือว่าท่านอยู่ในลักษณะใดแล้วให้เราทำคุณสมบัตินั้นให้ได้ เพื่อให้เราคงความดีเพื่อจะให้มีคุณสมบัติอย่างท่าน ทำอย่างนี้จะถูกต้องตามคำแนะสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะจุดสุดท้ายของเทวตานุสสติแล้ว คือความเป็นพระวิสุทธิเทพ เทวดาผู้มีความบริสุทธิ์สิ้นเชิงก็คือ พระอรหันต์กติกาการเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป
      ถาม :  การที่เราทำบุญกุศลในขณะที่ผู้ให้กำเนิดคือ พ่อ แม่ ยังมีชีวิตอยู่และเราได้อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ถ้าพ่อแม่ได้ตายไปท่านจะได้บุญกุศลที่เราได้อุทิศให้หรือไม่ ?
      ตอบถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่ บอกท่านแล้วท่านอนุโมทนา ผลบุญนั้นเป็นของท่านอยู่แล้ว ยกเว้นอยู่อันเดียวคือการบรรพชาบวชพระบวชเณร อันนี้จะเป็นบุญพิเศษถึงจะไม่ได้บอกให้ท่านโมทนา ท่านก็ได้ แต่ว่าตอนตายไปจะต้องดูว่ากำลังใจท่านเกาะอะไร ถ้าเกาะดีท่านก็ไปดี ผลบุญส่วนนี้ก็เสริมให้ท่านไปดียิ่งขึ้น ๆ ไป แต่ถ้าท่านเกาะไม่ดีลงไปข้างล่างเสีย ผลบุญอันนี้ก็ต้องรอไปก่อนเป็นหมันไปก่อนจนกว่าท่านจะพ้นเป็นสภาพดีผลบุญอันนี้จึงจะเสริมอีกทีหนึ่ง
      ถาม :  อย่างนี้ก็ไม่สูญเปล่าซิครับ ?
      ตอบ :  ไม่สูญเปล่า แต่ว่าอุทิศตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่ต้องบอกให้ท่านรับรู้ ไม่ใช่เรามาอิทังปุญญผลัง คนเดียว
      ถาม :  มีคนกล่าวกันว่า การทำบุญโดยอธิษฐานหวังผลว่าขอให้ร่ำรวยหรือขอให้มีโชคลาภอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี จริง ๆ แล้วผิดถูกหรือไม่ ? แล้วทำได้หรือไม่ ? เพราะมีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนร้องขอ
      ตอบ :  อันนั้นถูกของเขาแต่มันผิดของพระพุทธเจ้า อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีอธิษฐานบารมี การทำบุญจะต้องการผลตอบแทนหรือไม่ก็ตามผลเกิดแน่นอน เพราะว่าการกระทำทุกอย่างที่เรียกว่ากรรมนั้นจะเป็นกุศลกรรมคือความดีหรืออกุศลกรรมความชั่วนั้นผลเกิดขึ้นแน่ ๆ คราวนี้ผู้ที่ใช้อธิษฐานบารมีนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา เขากำหนดไปเลยว่าสิ่งที่เขาทำนี้มันจะต้องเกิดผลอยู่แล้ว ในเมื่อจะเกิดผลในลักษณะไหน ? จะเกิดผลเมื่อไหร่ ? เมื่อถึงวาระนั้น เวลานั้น ผลที่ต้องการมันก็จะต้องมาสนอง แต่ไม่ได้อธิษฐานเอาไว้ก็หมายความว่าเขาไม่ได้กำหนด เมื่อถึงวาระ อย่างเช่นเหมือนกับหิวน้ำอยู่ไม่มีน้ำกว่าน้ำจะมาอีก ๒-๓ วันมาเราก็แย่หรืออาจจะตายไปเลย
              เพราะฉะนั้นการใช้อธิษฐานบารมีนี่หลวงพ่อท่านจึงเปรียบเหมือนกับยิงปืนต้องเล็งเป้า โอกาสถูกเป้ามันมีมากกว่า แต่ว่ายิงเปะปะไปเลยกว่าจะถูกเป้าบางทีก็จะหลายชาติ ฉะนั้นถึงได้กล่าวไว้ว่า อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของบุคคลที่เข้าถึงอุปบารมีขั้นปลายไปจนถึงปรมัตถบารมีเท่านั้นถึงจะใช้อธิษฐานบารมีเป็น ถ้าหากว่าต่ำกว่านั้นก็จะใช้ไม่เป็นหรอก เขาก็จะคิดแบบนี้คิดว่า เออ....มันเป็นการเรียกร้อง มันยังเป็นกิเลสตัณหาอยู่อะไรอยู่ยุ่งไปหมด ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ประเภทไม่ได้ศึกษาให้ครบ