ถาม :  ทีนี้พูดถึงวัตถุมงคล คนที่ห้อยนะคะ พวกที่ห้อยนี่มีความจำเป็นไหมคะว่าวัตถุมงคลจะให้ผลหรือว่าเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม เป็นใครมาห้อยวัตถุมงคลก็ยัง....(ไม่ชัด)....ให้ผลได้ตลอด ?
      ตอบ :  ต้องดูกำลังใจของเขา วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง ๆ นี่จะส่งกำลังอยู่ตลอดเวลา สำคัญตรงจิตของเขาที่เป็นเครื่องรับ ถ้าเครื่องรับไม่เปิดผลก็ไม่มี หรือว่ามีน้อย
      ถาม :  ขยายความตรงที่บอกว่าเปิด เครื่องรับเปิดตรงนี้นี่หมายถึงอะไร ?
      ตอบ :  คือว่าต้องเปิดใจของเรารับ คือใจของเราต้องยึดเกาะท่านเป็นปกติ
      ถาม :  ก็คือต้องเชื่อ ?
      ตอบ :  ใช่ อันดับแรกต้องมีศรัทธาถ้าหากว่าศรัทธาความเชื่อไม่มีทุกอย่างไม่มีผล ไม่เชื่อมันต่อต้าน เท่ากับปิดเครื่องโดยตรงเลย
      ถาม :  นอกจากนี้มีอะไร ?
      ตอบ :  ก็ศรัทธาความเชื่อ ในเมื่อเชื่อยึดมั่นเเล้วต้องปฎิบัติตามกฏเกณฑ์ที่เขาให้มา อย่างเช่นว่า อาจจะต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อาจจะต้องท่องบ่นสวดมนต์คาถาบางบทเป็นประจำ
      ถาม :  ท่องเพื่ออะไรคะ ?
      ตอบ :  ลักษณะเหมือนอย่างกับว่าเป็นรหัสบอกฝ่าย ถ้าหากว่าคนที่เขาสวดมนต์ท่องบ่นคาถาบทนี้ ก็แปลว่าเขาขอให้ช่วยถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกันพวกเดียวกัน ถ้าหากว่าเขาไม่ขอก็เป็นอันว่าไม่ต้องไปช่วยมัน (หัวเราะ)
      ถาม :  คนก็หลากหลาย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาขออะไร ?
      ตอบ :  เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงจ้ะ เทวดาความเป็นทิพย์ของเขามีคนเป็นพัน ๆ ขอพร้อมกันท่านก็แยกแยะได้
      ถาม :  แสดงว่าผู้ที่จะให้คุณ เป็นแต่เทวดาเท่านั้น ?
      ตอบ :  ทางด้านไสยศาสตร์ของเขา ถึงจะทำขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าหากผู้ที่ทำได้อภิญญา ความเป็นทิพย์ ของการที่ได้อภิญญาท่านอธิษฐานจิตสำทับเอาไว้ผลมันก็เหมือนกัน เพราะอธิษฐานสำทับด้วยกำลัง ที่สูงมากในเมื่อกำลังของเขาสูงมาก การที่เขาแยกแยะเพื่อช่วยเหลือใครเท่าไหร่มันก็สามารถทำได้ แต่เพียงแต่ว่าในลักษณะถ้าทำแบบไสยศาสตร์เป็นอภิญญาโลกีย์นี้ต้องมีวาระที่เสื่อมของมัน
      ถาม :  ที่นี้คนที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ไม่เชื่อแต่ถ้าหากว่าจิตใจของคุณมีสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ อย่างเช่นว่า ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือมาประจำตระกูลของตน หรือว่ายึดมั่นในผู้นำหรือว่าเชื่อมั่นในตนเอง เหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ
      ถาม :  นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมีความลังเลสงสัย ?
      ตอบ :  นั่นยิ่งดีใหญ่เลย เพราะว่าถ้าหากขืนเชื่อทีเดียวเขาเรียกว่าโง่ เราสงสัยไว้ล่ะก่อนเป็นดี แล้วค่อย ๆ พิสูจน์ไปจนกว่าจะเชื่อ อย่างตัวของอาตมาเอง กว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ใช้เวลาพิสูจน์แบบหัวทิ่มหัวตำ ๑๑ ปีเต็ม ๆ
      ถาม :  นึกว่าเข้าข่ายลบหลู่ดูหมิ่น ?
      ตอบ :  ไม่หรอกจ้ะ เขาไม่เรียกว่าดูหมิ่น ความขี้สงสัยมันเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างเช่นว่า ทุกวันนี้เวลาไปเจอบางสำนักของเขาที่มีพฤติกรรมต่างจากความเคยชินของเรา อาตมาเองก็ตั้งข้อสงสัยไว้เหมือนกัน ต้องระวังไว้ก่อน ยังไม่เชื่อทีเดียวจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาดีจริง ถ้าเขาดีจริงก็ยอมรับ
      ถาม :  คือกำลังสงสัยว่า เรื่องของ “ทรง” นี่โดยปกติมนุษย์เราก็จะมีสภาพของตัวเราอยู่ ที่นี้ถ้าจะพูด ถึงว่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาแทรกได้ในตัวเรา ในกรณีที่เราถือว่าเราเชื่อว่าเป็นจิต จะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเขามาแทรกตัวเราคือสภาพของจิตช่วงนี้การรับรู้เรื่องนั้นนี่มันเป็นอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  เอาอย่างนี้นะ ที่เราอธิบายน่ะ เขาเข้าใจแต่พูดเป็นคำพูดยาก ฟังพระดีกว่า สภาพร่างกายของเรานี่มันเป็นเปลือกนอก แล้วจิตของเรานี่มันเป็นผู้ที่ควบคุมอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นร่างกายของเรานี่เป็น “รถ” จิตของเราคือ “คนขับรถ” ตอนที่เขาจะทรงจะสวมจะทับนี่เขาเอาคนขับรถออกไป แล้วเขาก็เข้าไปทำหน้าที่แทน
      ถาม :  เขาจะเอาเราออกไปได้อย่างไร ?
      ตอบ :  เขาใช้วิธีบีบบังคับด้วยกำลังที่เหนือกว่า สภาพจิตของเราที่ขาดการฝึกปรือมากำลังจะน้อย ในเมื่อกำลังน้อยพวกที่ท่านอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ถึงจะเป็น โอปปาติกะ หรือ เปรต อสุรกาย ก็ตามกำลังท่านจะสูงกว่า ท่านจะเบียดเราออกไปชั่วคราว
      ถาม :  ตรงนั้นนี่ การเบียดออกไป จิตตรงนั้นไปอยู่ที่ไหน ?
      ตอบ :  ตอนนั้นอาจจะอยู่ใกล้ ๆ นั่นเองแหละ เดินพล่านไปหมดว่าเมื่อไหร่เขาจะคืนเรา หรือไม่อีกที หนึ่งเขาจะใช้อำนาจจิตที่สูงกว่าบังคับจิตของเราให้ทำตามที่เขาต้องการถ้าหากว่าเป็นเทวดาเขาจะใช้ลักษณะนี้