เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกันยายน ๒๕๕๓
ถาม : จิตของคนเราเป็นพลังงานอย่างหนึ่งหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็น…พลังงานมหาศาลกว่าปรมาณูอีก
ถาม : เราคิดอะไรไป ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : เป็น…ถึงได้ก่อให้เกิดกระแสที่เขาเรียกว่า มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจ จึงต้องควบคุมให้ดี ให้คิดดี พูดดี ทำดี อย่าให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
เพราะว่าพลังงานนั้น นอกจากจะทำร้ายคนอื่นแล้ว ยังทำร้ายตนเองด้วย แต่ถ้าหากทำดี ก็จะดีต่อตัวเราและดีต่อคนอื่นด้วย
ถาม : แสดงว่ามีผลใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มีแน่นอน
ถาม : ทำไมบางครั้งจะมีไฟกลม ๆ อยู่ตรงระหว่างหน้าผาก ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ ตรงนั้นเป็นแหล่งพลังงานอย่างหนึ่งที่ทางด้านฮินดูเขาถือว่าเป็นจักระ คือ แหล่งพลังงานอย่างหนึ่งใน ๗ จุดใหญ่ของร่างกาย
ไม่ต้องไปใส่ใจตรงจุดนั้น ให้ใส่ใจอยู่กับลมหายใจของเรา กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ภาพหรือแสงเสียงที่ปรากฎอย่าไปใส่ใจ ถ้ามัวแต่ไปใส่ใจอยู่ การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า
ถาม : จะเกิดอย่างไรก็ปล่อย ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรช่าง แต่ของอย่างนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ เรายิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัด เหมือนกับเขาจะยั่วให้เราสนใจ
ถาม : ทำไมคนอื่นไม่เป็นแบบนี้ ?
ตอบ : แต่ละคนไม่เหมือนกัน การปฏิบัติก็เหมือนกับคนที่เรียนหนังสือ คนนั้นเรียนสาขาวิชานั้น คนนี้เรียนสาขาวิชานี้ ในเมื่อเรียนคนละสาขาจะให้เหมือนกันก็เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นวิชาพื้นฐานเท่านั้น
ถาม : ต้องปฏิบัติอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก เรื่องของลมหายใจเข้าออกทำให้ใจของเราไม่ฟุ้งซ่าน ส่วนการปฏิบัติในด้านอื่น ๆ เพื่อการรู้เห็นต่าง ๆ นั้น จริง ๆ แล้วเป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำถึงส่วนใหญ่จะมาเอง
ดังนั้น ...ไม่ต้องไปดิ้นรนทำหรอก ประเภทอยากรู้อยากเห็นอย่างชาวบ้าน รู้เห็นมาก ๆ บางทีก็โดนหลอก...!
*************************
ถาม : หน้าที่การงานที่เราสั่งสอนเขา ถือว่าเป็นการตำหนิกรรมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากสอนก็สอนโดยยกตัวอย่างให้ชัดเจน แต่การตำหนิกรรมบางทีไม่ใช่การสอน การตำหนิกรรมส่วนใหญ่จะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ก็เลยงอกงาม รักที่จะสอนเขา กำลังใจของเราต้องมั่นคงพอ
ถาม : ต้องตีไปยิ้มไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประเภทตีด้วยอุเบกขา อย่าไปตีด้วยโทสะ
ถาม : กรณีที่เราพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของบุคคลอื่น ?
ตอบ : จะมากจะน้อยก็มีโทษ เพราะพระพุทธเจ้าทรงให้ อัตตา โจทยัตตานัง กล่าวโทษโจทย์ตนเอง มีอะไรก็แก้ไขที่ตัวเองให้ดี เราไม่สามารถจะแก้ไขคนอื่นเขาได้ เพราะเรื่องของคนอื่นคือเรื่องของโลก โลกทั้งโลกหนักเกินกำลังของเรา ดูที่ตัวแก้ที่ตัวจึงจะเกิดผล
ถึงแม้ว่าการทำงานนั้นจะต้องทำร่วมกัน ก็รอเวลาที่ประชุมกันเกี่ยวกับงาน ถ้าอย่างนั้นก็ใส่กันได้เต็มที่เพราะว่าเป็นหน้าที่ แต่ถ้านอกเวลาโบราณเขาถือคติว่า ถ้าติให้ติลับหลัง ถ้าชมให้ชมต่อหน้า ถ้าติต่อหน้าคนอื่นน้อยคนที่จะรับได้ ดีไม่ดีก็โกรธกันไปตลอดชีวิตเลย
*************************
ถาม : การนั่งกรรมฐาน จะรู้ได้อย่างไรว่าจริตไหนถูกกับเราครับ ?
ตอบ : คุณเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งใจบูชาหน้าหิ้งพระ จุดธูปอธิษฐานขอบารมีพระและครูบาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ กรรมฐานใดที่เหมาะแก่เราให้อ่านแล้วชอบใจ ถ้าชอบหลายกองให้ตั้งใจใหม่ว่า กองใดที่เราทำแล้วได้ผลไวที่สุด ให้ชอบมากที่สุด
ไม่ต้องไปสนใจเรื่องจริตหรอก คนเรามีจริตครบทั้ง ๖ อย่าง เพียงแต่ว่าจะเด่นด้านไหนขึ้นมาเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนที่จิตละเอียดจริง ๆ จะแยกไม่ออกหรอก
*************************
ถาม : ภาวนานะมะพะธะ แต่จะหงายหลังตลอด แล้วก็นิ่งไป เรียกว่าเข้าอุปจารสมาธิหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเอาหนังสือของหลวงพ่อมาอ่าน จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน เพราะในหนังสือมีรายละเอียดบอกเอาไว้เกี่ยวกับระดับขั้นของอารมณ์ฌาน อารมณ์สมาธิ อ่านแล้วจะรู้เอง
ถาม : ไม่ยอมหงายครับ ค้างไว้อย่างนั้น แล้วก็เมื่อย อยากให้หงายก็ไม่หงาย
ตอบ : อย่าอยากให้เป็น และอย่าอยากให้หาย ทำใจให้เป็นกลาง มีหน้าที่ตามดู ตามรู้อย่างเดียว
ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก การปฏิบัติจะไปยากมาก ถ้าวางกำลังใจถูก ก็จะไปเร็วเกินกว่าที่เราจะคิด
ถาม : ไม่ได้หวังอะไรครับ หวังให้นิ่งอย่างเดียว ?
ตอบ : ก็ที่เอ็งหวังจะให้หงายนั่นแหละ ฮ่วย...!
*************************
ถาม : แม่ผมไปวัดแถวปทุมธานี บริจาคเงินจนจะหมดตัวแล้วครับ ?
ตอบ : เราเป็นลูกก็ลองทักท้วงดูสิ ว่าผมยังต้องกินต้องใช้นะแม่
ถาม : แม่ไม่ยอมฟังเลยรับ น้ำเชี่ยวมาก ห้ามไม่ไหว ?
ตอบ : ห้ามไม่ไหวก็รอ หรือไม่ก็พูดให้ท่านฟังเสียหน่อยว่า ถ้าแม่ตายผมไม่มีเงินจัดงานศพให้แม่นะ ถือว่าผมบอกแม่แล้ว ถึงเวลาผมอาจจะเอาเสื่อห่อศพแม่แล้วฝังเลยก็ได้ ...!
ถาม : บุญที่แม่ไปทำที่นั่น จะได้เท่ากับทำกับพระดี ๆ ไหม ?
ตอบ : ต้องดูด้วย บุญที่ทำแล้วจะได้เต็มที่ ต้องประกอบด้วย
๑. เจตนาบริสุทธิ์ คือ ทำเพื่อการหวังสละออกจริง ๆ ไม่ได้คิดจะทำอวดคนอื่นเขา ไม่ได้ทำเพราะสถานการณ์พาไป
๒. วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่เราใช้ในการทำบุญต้องหามาได้โดยบริสุทธิ์ ไม่ได้ลักขโมย หยิบฉวย หลอกลวง ช่วงชิงของใครเขามา
๓. ผู้ให้บริสุทธิ์ คือ ตัวเราตอนนั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๔. ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้รับเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ไปวิเคราะห์ก็แล้วกันว่าส่วนไหนพร่องบ้าง ถ้าไม่พร่องเลยสักข้อแม่ก็ได้บุญไปเต็ม ๆ
ถาม : สองข้อผมมั่นใจ แต่อีกสองข้อผมไม่มั่นใจครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นก็เป็นเรื่องของแม่แล้วครับ...!
ถาม : เวลาไปที่นั่นทีไร ผมเครียดทุกทีครับ ?
ตอบ : เครียด…รับไม่ได้ใช่ไหม ?
ถาม : รับไม่ได้มาก ๆ ผมอยากจะออกมา เมื่อต้นเดือนงานศพตา ไปเผาวัดอื่น แต่นิมนต์พระวัดนี้ไปสวด เหมือนหักหน้าพระเจ้าของวัดนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ …เป็นเรื่องที่โดยมารยาทแล้วไม่ควรที่จะทำกัน
ถาม : มีอะไรแนะนำไหมครับ เตือนแม่ก็ไม่ฟัง ?
ตอบ : เราให้ยาเบาไป พูดให้แม่ได้สติต้องกระแทกสักตูมใหญ่ ๆ
*************************
ถาม : มีลูกศิษย์หลวงพ่อจะเปิดตาที่สามให้เห็นพวกกายทิพย์ และสอนนั่งกรรมฐานแนวหลวงพ่อ นั่งกรรมฐานไป เขาก็จะถามเหมือนฝึกมโนมยิทธิ ผมสงสัยที่เขาสอน เขาใช้ไข่มานวดลูกตา บอกว่าได้วิชามาจากอาจาย์คนหนึ่ง ฝึกจนได้ตามสายหลวงพ่อครับ ?
ตอบ : ตามที่อาตมาศึกษาสายหลวงพ่อมาไม่เคยมีอย่างนี้ ยังดีที่เขาบอกว่ามาจากคนอื่น...!
ถาม : เขาบอกว่าช่วยจูนคลื่นให้ ผมก็นั่งสมาธิ ลองมองดู ถามว่าผมเห็นอะไรไหม ? ผมก็เคยถามแม่ชีว่าผมเห็นถูกไหม ? ก็เห็นถูกตามที่แม่ชีบอก ผมไม่ได้หลอกตัวเองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตัวเองเห็นแล้วสรุปไม่ได้ ก็ไม่ต้องถาามคนอื่น เหมือนกับกินขาวแล้วไปถามคนอื่นว่าผมอิ่มไหม ?
ถาม : จะให้แน่ใช้สัมผัสแรกใช่ไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเราต้องเชื่อความรู้สึกแรก แล้วการเห็นไม่มีการผิดไม่มีการถูก เห็นก็คือเห็น หากแต่ว่าพอเรารู้เห็นแล้วเราไปเชื่อถือ ไปคล้อยตามแล้วปฏิบัติ ตอนนั้นแหละถึงจะเกิดการผิดถูก ต้องระมัดระวังตรงที่ว่าเราจะเชื่อถือและปฏิบัติตาม
อย่างวัดที่คุณว่าเหมือนกัน เขาเห็นตามนั้นแล้วก็ไหลตามไป ในเมื่อไม่มีการยั้งตัว คนส่วนใหญ่เห็นว่าผิด แต่เขาเห็นว่าถูก
ฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติ แรก ๆ ถ้าแค่เห็นยังไม่มีการผิดถูก แต่ถ้าเห็นแล้วไปคล้อยตามคำแนะนำ ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะว่าความผิดถูกจะเริ่มปรากฎ ถูกก็เสมอตัว ถ้าผิดก็ขาดทุน
*************************
ถาม : ศึกษาตามสายของหลวงพ่อ ให้กำหนดภาพพระให้ชัดเจน แต่ผมนั่งสมาธิไม่ค่อยได้กำหนด เอาให้นิ่งอย่างเดียว แล้วก็ถอนออกมา จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราต้องการรู้เห็น ต้องเกี่ยวกับภาพ ยกเว้นว่าเราต้องการความสงบเฉย ๆ
ที่ทำไปก็ถูกอยู่ แต่การสงบเฉย ๆ ถือว่าขาดทุน เพราะว่าการปฏิบัติตามสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหวังความหลุดพ้น ความสงบเป็นแค่สุขปัจจุบันเท่านั้น ถ้าไม่สามารถจะรักษาให้ต่อเนื่องได้ ยังไม่แน่ว่าความสุขในอนาคตจะมีได้ เพราะว่าเราอาจจะพลาดลงอบายภูมิไปเลยก็ได้
ฉะนั้น...ป่วยการที่จะกล่าวถึงประโยชน์สุขสูงสุดที่จะพึงได้คือการหลุดพ้น ถ้าเราแค่สงบเฉย ๆ แปลว่ายังไม่พอกิน
ถาม : ถ้าต้องการฝึกมโนมยิทธิ คือ ต้องกำหนดภาพพระให้ชัดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะเป็นอย่างนั้น ขอยืนยันว่าถ้าทำได้คล่องตัวแล้ว จะมีปัญหาตามมาอีกมหาศาล เพราะบุคคลที่รู้เห็นชัดเจนมักจะโดนหลอกได้ง่าย
ถาม : กำหนดรูปหลวงพ่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก ให้จัดได้สักรูปหนึ่งเอาให้ชัดจริง ๆ ก็แล้วกัน
ถาม : ถ้าลืมภาพ ก็ลืมตามาดูใหม่หรือครับ ? อย่างนี้สมาธิก็หลดุไป
ตอบ : แสดงว่าคุณลืมตาไม่เป็น คนทำสมาธิเป็นไม่ว่าจะหกคะเมนตีลังอย่างไร สมาธิเขาก็ทรงตัวได้เสมอ
ถาม : แต่ผมทำได้ภาพไม่ละเอียดครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป บุคคลสมัยก่อนเขาทำ ๓๐-๔๐ ปีกว่าจะได้ ของเราทำมากี่นาที...!
*************************
ถาม : เวลาภาวนาใช้คำบริกรรม เมื่อก่อนพอหลุดก็หายไปเลย ตอนนี้คำบริกรรมยังอยู่ แล้วก็ร้องเพลงตามไปด้วย ?
ตอบ : ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้ายังดึงกลับมาไม่ได้ ก็ยังคงร้องเพลงไปด้วย ลักษณะอย่างนั้นเป็นการแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่คราวนี้กลายเป็นกิเลสมารช่วยหนุน จึงออกนอกลู่นอกทาง
ถาม : ใช้ลมหายใจเข้ามาช่วย เพลงก็หายไป แต่กลายเป็นภาพที่เราไปเห็นมาในแต่ละวัน ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ภาพจะปรากฎไม่ต้องสนใจ แต่ยิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัด เขาตั้งใจจะกวนให้เราเลิก ต้องทนสู้...นั่งตื๊อดูว่าใครจะอึดกว่ากัน
ถ้าเราสามารถผ่านได้ เขาก็จะไม่มาอีก เขาแค่ต้องการกวนน้ำให้ขุ่น พอขุ่นแล้วจิตเราไม่มีคุณภาพ การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า เขาถือว่าประสบความสำเร็จ เขาก็จบของเขาแค่นั้น ส่วนเราเองก็เดือดร้อนไปเรื่อย
*************************
ถาม : เวลาจะควบแน่นเพื่อบีบให้ออก ถ้าไม่อยากออก จะต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงไม่อยากออก ?
ถาม : อยากจะแช่อยู่นาน ๆ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็แค่นึกว่าไม่ไป ๆ ๆ กำลังใจก็จะต้านไว้เอง หรือลดลงมาอย่าให้ถึงฌาน ๔
ถาม : ขนาดผ่อนลงแล้ว ภาวนาต่อก็แน่นใหม่อีก ?
ตอบ : เรื่องธรรมดา ก็ซ้อมขึ้น ๆ ลง ๆ ไปเรื่อย ต่อไปจะมีความชำนาญ เขาเรียกว่า วุฏฐานวสี
วุฏฐานะ คือ การออก
วสี คือ ความคล่องตัว
วุฏฐานวสี คือ มีคล่องตัวในการเข้าออกจากฌาน
*************************
“สมัยอาตมายังเด็ก ๆ แถวบ้านมีคนได้แก้วจากต้นกล้วย เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากได้หรอก แต่ด้วยความที่เป็นคนขยัน ปลูกกล้วยแล้วรักษาอย่างดี
วันหนึ่งฝันเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยมาหา บอกว่าขอบคุณที่ช่วยดูแลเขามานาน ตอนนี้จะไปเกิดแล้ว จะทิ้งของดีเอาไว้ให้ ให้เก็บรักษาเอาไว้ จะได้ช่วยให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง
เจ้าของต้นกล้วยก็พยายามไปค้นหา หาที่กอกล้วยแล้วยังไม่เจออะไร ท้ายสุดเห็นกล้วยออกปลีอยู่ จึงตัดปลีออกมาผ่าดู ปรากฎว่ามีแก้วอยู่ข้างใน”
ถาม : ผู้หญิงที่มาเข้าฝัน เป็นรุกขเทวดาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นรุกขเทวดาขั้นต่ำ แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าที่เคยเสวยพระชาติเป็นกุสนาฬิเทวดา เป็นเทวดาอยู่บนกอหญ้า
ถาม : อยู่บนไม้ไม่มีแก่นใ่ช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรุกขเทวดาชั้นสูงจะอยู่บนไม้มีแก่น
ถาม : รุกขเทวดาชั้นต่ำอายุกาลจะสั้นกว่าหรืออย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่สั้นกว่า แม้แต่กำลังบุญก็น้อยกว่า อีกอย่างคือ กิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ใกล้เคียงมนุษย์มากกว่า
ถาม : ขนาดกำลังบุญน้อยยังให้แก้วได้ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเทวดาปลายแถวยังทรงความดีมากกว่ามนุษย์หัวแถวหลายเท่า
ถาม : ใครเป็นคนดูแลแก้ว ?
ตอบ : แก้วนั้นเหมือนกับเป็นศูนย์รวมพลังของเขา ในเมื่อเขาไม่ได้ใช้แล้วก็เลยยกให้ โบราณเขาเรียก แก้วกัทลี กัทลี แปลว่า กล้วย
*************************
ถาม : งูเหลือมปากเป็ด เขาบอกว่า คนใต้จะเก็บไว้ไม่ให้คนอื่นเห็นเลย ?
ตอบ : อาตมามีอยู่สี่ตัว ตัวขนาดเท่าถั่วงอก ที่บอกว่าเหมือนถั่วงอกเพราะปากเขาแบน จึงดูเหมือนถั่วงอก ก่อนหน้านี้อาตมาเอามาใส่ตู้ไว้ให้ดู ๓-๔ ตัว ของบางอย่างที่เขาหายาก เขาก็หวงกัน แต่อาตมาอาจจะทำบุญไว้เยอะกระมัง ? ก็เลยหาง่าย
จริง ๆ แล้วอาตมาอยากได้งูนกเลี้ยงมากกว่า ไม่ได้อยากได้งูเหลือมปากเป็ดหรอก อยากรู้ว่างูนกเลี้ยงเขาอยู่ได้อย่างไร ? เพราะเป็นงูที่อ่อนปวกเปียกทั้งตัวเหมือนกับไม่มีกระดูก นอนอยู่ที่ไหนก็จะมีนกไปทำรังให้แล้วหาอาหารมาป้อนให้ทุกวัน
ถ้าเราได้เขามาเก็บไว้ ตอนเช้า ๆ ต้องรีบเอาไปไว้ตรงชานบ้านเพื่อให้นกมาช่วยป้อนอาหาร นกทุกตัวที่ผ่านมาต้องหาอาหารให้เขากินก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วไปไหนไม่ได้หรอก
ตำราว่าเป็นเมตตามหานิยม ถ้าใครมีอยู่จะทำให้เจ้าของบ้านพลอยเป็นที่รักของคนอื่นไปด้วย ที่อาตมาอยากได้ ไม่ใช่ต้องากรให้เป็นมหานิยม แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
เขาบอกว่าเข้าป่าให้พยายามสังเกต ถ้ามีเสียงนกเกรียวกราวอยู่ที่ไหน น่าจะมีงูนกเลี้ยงอยู่ที่นั่น
*************************
มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง ตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้าน นานเข้าเสียงเร่ิมดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความเครียด
“สำคัญตรงความรู้ตัว ในเมื่อเขาไม่รู้ตัวเขาก็ยังทำไปเรื่อย ก่อนหน้านี้อาตมาก็พอ ๆ กับเขา เสียงดังใส่คน พอรู้ตัวก็รีบหยุดทันที
คนเราจะแก้ไขตัวเองได้ต้องมีความรู้ตัว ถ้าไม่รู้ว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงไหนก็แก้ไขไม่ได้ จุดบกพร่องที่แก้ไขยากที่สุดคือ ส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองดีแล้ว
การคิดว่าตัวเองดีแล้วมีโทษก็คือ อันดับแรก ไม่แสวงหาความก้าวหน้า อันดับที่สอง ปิดกั้นจากความดีในระดับสูงกว่าที่ควรจะได้ ควรจะเป็น อันดับสุดท้ายก็คือ เข้าไม่ถึงความดีอย่างแท้จริง”
*************************
“ความจริงแล้วการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เราทำอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เขาจัดกันขึ้นมา มีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่งคือ หมู่คณะลากกันไปได้ ประเภทพวกมากลากไป
อยู่บ้านเราอาจจะอดใจไม่ไหวไปกินข้าวเย็น แต่อยู่ที่วัดเขาพร้อมใจกันอด พอเห็นคนอื่นเขาอดได้ เราก็มีกำลังใจที่จะอดบ้าง
สำหรับงานนี้ใครสมัครแล้วต้องไป หมาจะคลอดหรือเมียจะคลอดก็ต้องไป ถ้าไม่ไปคิดค่าประกาศนียบัตร ๙๙ บาท เพราะถ้ารอไปพิมพ์ประกาศนียบัตรวันงานแล้วจะทำไม่ทัน ในเมื่อพิมพ์ไปแล้วตามรายชื่อที่สมัคร ถ้าไม่ไปก็เสียเงินเสียของไปเปล่า ๆ
หลายต่อหลายคนมีอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ทำความดี มีอยู่สองคนอยู่ข้างวัดแค่นั้นเอง พอถึงวันงานกลับป่วย มาไม่ได้
เราจะได้รู้ว่า มารเขารักเรามาก มีความเมตตา อยากสงเคราะห์ให้เราอยู่กับเขานาน ๆ พยายาดึงถ่วงเราเอาไว้ไม่ให้หลุดพ้น ควรจะตอบแทนความรักความหวังดีของเขาไหม...?!”
*************************
ถาม : การเอาใจไปรับ รูป กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วทำให้กำลังรั่วไปหมดที่รั่วออกไปคือทำใจไหลตาม ติดตามหรือคะ ?
ตอบ : ใช่…เป็นการนึกคิดปรุงแต่ง ไม่ใช่การสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นแล้วหยุดเอาไว้ได้ แต่เราไปยินดียินร้าย พอใจและไม่พอใจ จึงเป็นการใช้พลังงานอย่างหนึ่ง
ถ้าเราสามารถหยุดเอาไว้ได้ ไม่ไปยินดียินร้าย สักแต่ว่ารับรู้ ก็ไม่ต้องไปสูญเสียกำลังกับเรื่องเหล่านี้
ถาม : ไม่ใช่ว่าเราปิดหูปิดตา ?
ตอบ : ไม่ใช่…เราสนใจได้ แต่ให้สนใจในลักษณะสักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ถ้าไปยินดี...พลังงานก็หายไปแล้ว ไปยินร้าย...พังงานก็หายไปแล้ว เพราะเราไปใส่อารมณ์
ยินดีก็เป็นโลภะ มีส่วนของราคะ ยินร้ายก็เป็นโทสะ มีส่วนของโมหะอยู่ด้วย เป็นกิเลสใหญ่มากเลย
*************************
ถาม : อ่านนิยายแล้วไปคิดตามที่เขาเขียน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก เรารั่วไหลตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้ว พอเห็นชื่อ แดน บราวน์ เราก็รั่วแล้ว จะต้องปรุงไปแล้วว่าเรื่องก่อนสนุกแค่ไหน แล้วเรื่องนี้จะสนุกแค่ไหน แหม...ดาวินชี โค้ด สุดยอดเลย แล้วเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรหนอ ต้องอ่านให้ได้ กิเลสเขาปรุงให้กินไปหลายถ้วยหลายจานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก...!
*************************
ถาม : เวลาที่เกิดความยินร้ายแล้วตัดไม่ได้ เพราะยังมีการนึกถึงอยู่ เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีความยินดีในความยินร้ายนั้น ?
ตอบ : มี…ที่ยังตัดไม่ได้ อันดับแรกคือกำลังไม่พอ อันดับที่สองคือยังไปห่วงหาอาวรณ์ สายใยเลยยังรัดพ้นอยู่
ถาม : สรุปว่ามีแค่ตัวเดียวก็คือ มีความพอใจ ?
ตอบ : จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ พระท่านสรุปว่าเป็นฉันทะ ความพอใจจึงเกิดราคะ ความยินดี อยากมี อยากได้ สองศัพท์รวมกันเขาเรียกว่าอวิชชา แปลว่า ไม่รู้ เลยโง่เสียท่าอยู่เรื่อย...!
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : เมื่อกำลังใจถึงอุปจารสมาธิ ภาพต่าง ๆ จะปรากฎขึ้น ในเมื่อภาพต่าง ๆ ปรากฎขึ้น ถ้าสงสัยใคร่รู้ให้กำหนดใจถามเดี๋ยวนั้นเลยว่า ท่านมาด้วยเหตุใด มีความประสงค์อะไร ถ้าไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ชัดเจน ก็ให้ตั้งใจบอกว่า ให้มาเข้าฝันด้วย จะได้สื่อให้รู้ ๆ กันไปเลย
ถาม : จะเป็นเวลาเข้าห้องน้ำ ?
ตอบ : นั่นเป็นเวลาที่ใจเราสบาย เพราะกำลังอุปจารสมาธิ คือ กำลังใจที่เบา ๆ สบาย ๆ ตรงช่วงนั้นจะเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ แบบหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปสรรค์ครั้งแรกก็อาศัยนั่งพิงตุ่มในห้องน้ำ ยังดีที่ของเราท่านมาแบบดี ๆ ถ้ามาแบบไม่ดีคงได้วิ่งกันแน่...!
ถาม : เป็นท่านจริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถามท่านสิ ท่านมาแล้วเราไม่รู้จักถาม ถามแล้วอย่าไปย้ำ เพราะโลกอื่นเขาไม่โกหกหรอก ถ้าเราไปย้ำ บางท่านนิสัยเหมือนคน เห็นเราไปถามย้ำเหมือนไม่เชื่อถือ เดี๋ยวมีการเฉ่งคืน...!
*************************
|