​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๗

 

              “สมัยที่พระองค์ที่ ๑๐ มาวัดท่าซุง เสียดายแทนโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นขอดอกบัวจากพระองค์ที่ ๑๐ บอกว่าแม่ไม่สบาย ขอดอกบัวไปต้มเป็นยาให้แม่กินเพื่อรักษาโรค
              พระองค์ที่ ๑๐ ท่านบอกว่า “ถ้าให้เธอคนหนึ่ง คนอื่นก็อยากได้ด้วย เอาอย่างนี้สิ...ให้เธอเอาน้ำใส่หม้อแล้วตั้งใจนึกถึงฉัน ขอให้น้ำนี้เป็นยารักษาโรคได้” ปรากฎว่าโยมเขาทำท่าผิดหวัง และอาตมามั่นใจด้วยว่าเขาไม่ได้ทำ ถ้าเป็นอาตมาจะต้มน้ำเปล่ารักษาโรคให้ทั่วประเทศเลย ก็ท่านให้พรขนาดนั้นแล้ว”
      ถาม :  ท่านให้พรแค่คนเดียวหรือคะ ?
      ตอบ :  ท่านให้พรใครก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น แต่เขาไม่เอา อาตมาดูหน้าแล้วรู้เลยว่าเขาไม่ทำ เขาจะเอาดอกบัวให้ได้อย่างเดียว อาตมาเองตอนนั้น ก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะขอทำเสียเอง
*************************

              “คุณป้านิภา คงสุข ท่านไปบวชชีที่ต่างประเทศ ความจริงท่านเดินทางไปสงเคราะห์ญาติโยมทางด้านนั้น แล้วพระกับหลวงพ่อบอกว่าบวชได้แล้ว ท่านก็เลยต้องโกนหัวบวชที่ต่างประเทศเลย
              อาตมาไม่ได้ไปช่วยงานท่านหลายปีแล้ว ตอนที่ท่านสร้างสำนักใหม่ ๆ ก็ไปทุกเดือน ไปถึงเมื่อไร ป้าก็จะส่งไมค์ให้ เป็นอะไรที่น่าขำ เข้าไปถึง...พูดอะไรก็ไม่พูดสักคำ ป้าส่งไมค์มาให้ อาตมาก็รับงานไปจนกว่าจะเสร็จแล้วก็กลับ ส่วนใหญ่จะเป็นการถวายสังฆทาน และมีการทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วย
              ท่านไปซื้อที่แล้วทำเป็นบ้านจัดสรร ไม่ทราบว่ายังมีเหลืออีกหรือเปล่า ? ลักษณะเป็นเหมือนหมู่บ้านจัดสรรพร้อมอยู่ อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ ๒๐ กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอบ่อพลอย
              ตอนที่คุณสมทรง อดีต ส.ส. กาญจนบุรีหลายสมัย จะลงสมัคร ส.ส. อีกครั้ง คุณสมทรงอุตส่าห์เดินทางขึ้นไปถึงทองผาภูมิ เพื่อที่จะไปถามอาตมาว่า สมัคร ส.ส.ครั้งนี้จะสอบได้ไหม ? อาตมาจะบอกว่าไม่ได้...ก็เกรงใจ เลยส่งเบอร์ป้านิภาให้ บอกว่า “ไปถามป้านิภาจะดีกว่า อาตมาเป็นพระ...พูดยาก”
              สงสัยจะได้คำตอบ จึงไม่เห็นคุณสมทรงลงสมัคร ส.ส. ความจริงก็คือ คุณสมทรงเขาไม่อยู่ที่นั่นมาหลายปี เท่ากับว่าพวกบรรดาฐานคะแนนเสียงต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โอกาสที่จไปรบกับเจ้าถิ่นใหม่ก็ยาก”
*************************

              “เรื่องของการปฏิบัติธรรมให้ระมัดระวังไว้อย่างหนึ่ง เรื่องของภาพหลอกภาพหลอน การทดสอบกำลังใจต่าง ๆ
              บางรายรู้สึกหลวงพ่อมาสั่ง พระมาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ เสร็จแล้วก็มาปรึกษาอาตมาว่า ควรจะทำอย่างไร ? ปฏิบัติตามดีไหม ? ก็บอกวิธีพิจารณาแบบง่าย ๆ ว่า ถ้าหากไม่เกินวิสัยหรือความสามารถของเราไม่ต้องทำให้เราลำบากมากนักก็ทำไป แต่ถ้าอันไหนถึงขนาดให้เราลำบากมากก็ไม่ต้องทำ รับทราบไว้ด้วยความเคารพ และก็ตั้งบูชาไว้บนหิ้งตรงนั้นแหละ
              อย่างเช่น เราเป็นฆราวาส แล้วท่านบอกให้สร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง เราพิจารณาแล้วว่าเกินกำลัง ก็รับไว้ด้วยความเคารพแล้วขึ้นหิ้งไว้ ถึงวาระอันควรแล้วค่อยว่ากัน
              อาตมาเองไปสร้างเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ท่านมาสั่งให้ทำอาคารตรงนั้นตรงนี้ รวม ๆ แล้ว ๑๓ หลังด้วยกัน มีกระทั่งอาคารใช้แทนโบสถ์ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลมาก จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า “จะให้ผมทำก็ได้ แต่นิสัยผมไม่ชอบขอเงินใคร ถ้าต้องขอใครแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำเลย”
              หลวงพ่อท่านก็หัวเราะว่า “แกจะเอาอย่างนั้นแน่หรือ ?”
              “แน่ครับ”
              “เออ…ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

              อาตมาก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ มีเพื่อนของหัวหน้าป่าไม้เขาขึ้นไป หลังจากที่เขาพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ท่านหัวหน้าก็บอกเพื่อนว่า มีพระมาอยู่ใกล้ ๆ หน่วย เลยพากันเข้ามาหา
              เขาเดินดูรอบเกาะพระฤๅษีแล้ว จึงได้มากราบชวนคุยว่า “ที่สวยดีนะครับ” “เออ...สวย”
              “แล้วจะไม่สร้างอะไรบ้างหรือครับ ?”
              “อยากจะสร้าง แต่ไม่มีเงินว่ะ...!”
              “จะสร้างอะไรบ้างครับ ?”
              “อยากได้ศาลาสักหลัง”

              “เขาหายไปประมาณสองชั่วโมง เดินกลับมาพร้อมกับแปลนศาลา ที่แท้เขาไปนั่งเขียนแปลน จริง ๆ แล้วเขาเป็นนายช่างรับเหมาก่อสร้าง
              “หลังขนาดนี้ดีไหมครับ ?”
              “ดี...แต่ไม่มีเงินว่ะ”
              “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำให้ก่อน”

              ว่าแล้วเขาก็ขนช่าง ขนของ มาตั้งหน้าตั้งตาทำเอง คราวนี้เดือดร้อนพวกเราสิ...คนนั้นไปเห็น “อ้าว...ท่านก่อสร้างนี่” คนนี้ไปก็เห็น “อ้าว...หลวงพี่ก่อสร้างทำไมไม่บอกกันบ้าง ?” ต่างคนต่างควักเงินให้ ปรากฎว่าจำนวนเงินพอให้เขา จึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำได้จริง ๆ ไม่ต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวก็ได้ ท่านหาของท่านมาเอง
              เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติ รู้อะไรอย่าไปเชื่อเสียทุกเรื่อง เพราะจะมีการหลอก มีการทดสอบกำลังใจกันได้ ถ้าเชื่อไปเสียทุกเรื่องเดี๋ยวจะเป๋ โดยเฉพาะพวกเราขาดวิจารณญาณมากโอกาสโดนต้มมีสูง
              เรื่องที่หนึ่งรู้มาอย่างถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองที่สามถูกต้อง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สี่จะถูก ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ายังไม่เชื่อ จนกว่าจะเป็นไปตามนั้นก่อน

              ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ท่านชาติชาย พระรุ่นน้องของอาตมาบวชที่วัดท่าซุงเหมือนกัน ออกจากวัดมาอยู่กับอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ท่านเองเดินจงกรมภาวนา ไม่กินไม่นอนอยู่สองเดือนเต็ม ๆ อยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่ได้มีกำลังสมาธิหนุนเอาไว้ก็คงจะตายไปแล้ว...!
              ภายหลังร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการกรรมฐานแตก ที่เขาเรียกว่า สติแตก อาตมาต้องเอาตัวเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตอนที่ไปเก็บข้าวของให้พี่น้องของท่านเอาไป ไปเจอสมุดบนทึกของท่าน พออ่านดูจึงรู้ว่า เวลามารเขาหลอก เขาจะบอกความจริงเราประมาณ ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หลอกไว้นิดหนึ่ง ถ้าวิจารณญาณไม่ดีจะเชื่อเขาหมดเลย
              อย่างเช่นในการปฏิบัติ มีวันหนึ่งท่านบันทึกว่า “วันนี้พระมาบอกว่าช่วงเวลาแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว นักฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้าก ย่ิงทุ่มเทมากเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น”
              มีตรงไหนผิดบ้างไหม ? ไม่มีเลยใช่ไหม ? แต่ผิด...! “นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก” ชัดเลย นี่เป็นพระพุทธวจนะ แต่ “ยิ่งทุ่มเทเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น” ตรงนี้ไม่ใช่
              เพราะการปฏิบัติจะมีวาระมีเวลาของเขา ถ้าเราทำไม่ถึง ทำไม่พอ อย่าหวัตงเลยว่าผลจะเกิด ทีนี้ท่านอยากได้ ก็ไปทุ่มเทเดินจงกรมภาวนา ต่อเนื่องกันทั้งวันทั้งคืน สองเดือนเต็ม ๆ ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ? พอร่างกายไม่ไหวก็เรียบร้อย...!
              เพราะฉะนั้น...เราเองวิจารณญาณยังไม่พอ ปัญญายังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาหลอกเราตรงจุดไหน ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก เสียดายท่านที่ปฏิบัติดี มีการรู้เห็นที่ชัดเจน และเสียหายไป
              อย่างวัดสามแยกช่วงระยะที่ท่านดังขึ้นมา มีคนเอาหนังสือของท่านมาให้อาตมาแจกคนเยอะมาก ปกติเวลาเอาหนังสือใครมา อาตมาแจกหมดแต่หนังสือของท่านมาถึง อาตมาเก็บเรียบ เพราะรู้ว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง
              ท่านพูดตามที่ท่านรู้ แต่ว่าไม่ใช่ของจริง ระยะนั้นก็มีโยมมาถามมาก อย่างเช่นถามว่า ท่านสอนว่าไม่ให้เอาวัตถุมงคลไว้ในบ้าน เพราะจะทำให้บรรดาผีเรือนเดือดร้อน ไม่ให้พรมน้ำมนต์ เพระาจะไปทำร้ายเขา
              สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปตามที่ท่านเห็น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาขี้เกียจตอบ ก็เลยถามโยมกลับไปว่า “ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่า อย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้โจรเดือดร้อนโจรจะเข้าปล้นไม่ได้ ถ้าอย่างนี้เป็นโยมจะเชื่อไหม ?”
              ของบางอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย เวลามารเขาหลอกเขาไม่ได้หลอกชั้นเดียว เขาหลอกเป็นสิบ ๆ ชั้น
เพราะเวลาท่านเชื่อแล้วสอนไปเป็นการสอนผิดไปจากพระพุทธวจนะ โอกาสที่ตัวเองจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี บุคคลที่หลงเชื่อและปฏิบัติตาม โอกาสที่เข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี ยิ่งถ้าท่านไปทำลายพระพุทธรูปด้วย ยิ่งสาหัสเลย ชาตินี้ไม่พ้นอเวจีอย่างแน่นอน...!
              คราวนี้คนที่มีสติสัมปชัญญะแต่ปัญญาไม่พอ ไปกล่าวตำหนิว่าท่านก็ซวยอีก เพราะอย่าลืมว่าท่านเป็นพระ ถึงหลักการปฏิบัติผิด แต่ศีลของท่านไม่ได้พร่อง ความเป็นพระในสมมติสงฆ์ของท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เท่ากับเราไปด่าพระเต็ม ๆ ก็ลงอเวจีไปด้วย...!
              พอเราไปด่าท่าน บุคคลที่เลื่อมใสพระท่านนั้นอยู่ก็ “ไอ้นี่ด่าอาจารย์กูนี่หว่า...” เขาก็ด่าคืนมา กลายเป็นเกิดความแตกแยกในพระพุทธศาสนา
              เราเห็นหรือยังว่าโทษเกิดหลายชั้น ท้ายที่สุดถ้าไปถึงเจ้าคณะปกครองหรือไปถึงในหมู่สงฆ์ด้วยกัน ก็จะต้องแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านนี้ว่าถูก ท่านนี้ว่าไม่ถูก ตามแต่กำลังใจของตนเองจะพิจารณาไป ก็ทำให้ศาสนาของเราสั่นสะเทือนไปด้วย ถ้าออกไปกว้างใหญ่พอ จำนวนคนมากพอ จำนวนพระมากพอ อาจจะถึงกับมีการแยกนิกาย แล้วทำให้ศาสนาล่มสลายได้
              เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของมารเขาไม่เคยหลอกชั้นเดียว เขาหลอกหลายชั้นมาก ในการปฏิบัติให้ระมัดระวังไว้ อาตมาอยากจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้ปลอดภัยที่สุด คนหูหนวกตาบอด เขาไม่รู้จะไปหลอกอย่างไร แต่ถ้ารู้เห็นชัดเจนเท่าไร ย่ิงโดนหลอกง่ายเท่านั้น
              จึงเป็นเรื่องที่พึงสังวรเอาไว้ นิมิตเกิดขึ้น รู้แล้ววาง น้อมรับไว้ด้วยความเคารพ ขอบคุณที่มาบอก แต่กองไว้ตรงนั้นแหละครับ ยกเว้นว่ามาย้ำแล้วย้ำอีก ย้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องทำนะ
              ถ้าไม่เกินวิสัยและไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็ทำ แต่ให้ยึดคำนสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก มีอะไรให้ยกขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ถ้าไม่ผิดไปจากสองส่วนนี้ เราปฏิบัติตามก็เชื่อได้ว่าน่าจะถูก”
*************************

              “ตอนงานฉลองวัดหนองบัวเสร็จแล้ว ญาติโยมสามสี่หมู่บ้าน ทั้งหนองบัว ป่าหวาย สามพระยา บ้านใหม่ เขาแห่มาส่งอาตมาเต็มหน้าวัด แต่ละคนก็เอาดอกไม้ ยอดหว้า ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่บูชาพระ บูชาสิ่งที่เคารพมาให้
              คนนี้ก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า คนนั้นก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า มานั่งดูใจของตัวเองว่า อารมณ์ความรู้สึกที่เขายึดเราเป็นที่พึ่ง แต่ยึดเป็นที่พึ่งในลักษณะของการยึดตัวบุคคล ทำให้เรารู้สึกว่าอาลัยบ้างหรือไม่ ? ปรากฎว่าไม่มี...แต่ก็ระวัง ระวังว่าจะเป็นแบบนั้น
              ที่ขำก็คือ พอเรือออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะ มาโบกมืออำลาอยู่ตรงหน้าพระเจดีย์ เออ...ท่านอาจารย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย
              อาจารย์ใหญ่ยานิกะ ความจริงหลักการท่านดีหมด เพราะท่านจบธัมมะจริยะ (เทียบเท่าประโยค ๙ ของไทย) ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาท่านแน่นมาก แต่ว่าในเรื่องหลักการปฏิบัติท่านยังน้อย ท่านบอกว่า ท่านเองตายแล้วไม่หวังจะเกิดใหม่ ก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม
              ลูกศิษย์ของท่านคือหลวงพ่อเมียงจีงู ทหารกะเหรี่ยงทั้งประเทศขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ แต่ท่านอาจารย์เองต้องมาขอไม้เก่าของวัดหนองบัวไปสร้างศาลา ท่านบอกว่า ท่านไม่แน่ใจว่า ถ้าให้ทหาารเอาไม้มา จะถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ? ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เดี๋ยวท่านจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว นั่นท่านระวังมากนะ ยอมมาขอไม้เก่าจากวัดหนองบัวไปสร้างศาลา
              แม้ท่านจะระวังขนาดนั้นก็ตาม เราต้องเข้าใจว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร มีกติกาเท่าไร เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป แต่ถ้าหากหลงทาง ก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ...!”
*************************

              “อะไรที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะไปมั่นใจไม่ได้ แม้ว่าผ่านการทดสอบไปแล้ว ก็อย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะเราอาจจะรอดแค่ครั้งนั้น

              ตอนออกจากวัดท่าซุงมา มีโยมหลายคนที่เขารู้ เขามายืนส่ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง อาตมาก็คิดว่า เกิดชาติหนึ่ง อยู่แล้วเขาเกรงใจ ไปแล้วเขาคิดถึงก็พอ ไม่เอาอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว
              สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องทำก็คือ ชำระใจของเราให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ถ้าหากมัวแต่ไปให้คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา และมาดึงให้เราติดอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง
              ตั้งแต่ฆราวาสแล้ว อาตมาไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่อย่างหนึ่งคือไม่มีการมาอำลาอาลัยกับเขาหรอก สมัยนั้นมีพี่อยู่คนหนึ่ง รู้จักมักคุ้นสนิทกัน มักจะไปคุยหลักธรรมกัน บางทีนั่งคุยจนถึงครึ่งค่อนวัน อาตมาบอกว่า “ไปแล้วนะ” บอกแล้วลุกไปเลย “ไปแล้วนะ” แล้วก็ไปเลยพอเขาเจอไปสองสามครั้ง เจอหน้าครั้งใหม่ เขาบอกว่า “น้องเล็กนี่เป็นคนแปลกนะ บอกไปเป็นไปเลย”
              ความจริงไม่แปลกหรอก แต่เป็นปกติของอาตมา ปัจจุบันนี้เวลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเขามาหา อาตมาก็ทักทายพูดคุยกันตามปกติ ไม่มีที่จะไปถามเขาว่าสบายดีหรือเปล่า หรือไปไหนมา มีธุระอะไร เรื่องจุกจิกซอกแซกไม่เคยถามสักคำเดียว ดู ๆ แล้ว ถ้าคนที่ยังติดพิธีรีตองทางโลกอยู่ เขาก็จะว่าอาตมาไร้มารยาท แต่ความรู้สึกของอาตมาคือไม่มีอะไรจะคุย ส่วนเขาเองก็ถามนั้นถามนี่ไปเรื่อย อยากจะบอกเขาว่า เสียเวลามาคุยด้วยก็ยุ่งพอแล้ว ถ้ายังต้องมาถามสารทุกข์สุขดิบของเขาอีก ก็ออกจะมากเกินไปสำหรับอาตมา”
*************************

              “การปฏิบัติธรรมเป็นการสวนกระแสโลก พอเราทำไปเท่ากับวิ่งสวนทางคนอื่น ทีนี้พอเราต่างจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะว่าเราบ้า
              ในเพชรพระอุมา แงซายพูดว่าหลวงปู่พระธุดงค์สอนว่า “เจ้าจงตื่นในขณะที่โลกหลับ” แต่ทีนี้ถ้าเราตื่นอยู่คนเดียว ก็จะกลายเป็นบ้าในความรู้สึกของคนอื่น
              ดังนั้น...การปฏิบัติธรรมที่ว่าโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางทีก็ต้องให้โลกช้ำหน่อย ๆ ไม่อย่างนั้นธรรมจะเสียเยอะ อย่างไรพวกเราก็ให้เกรงใจกันหน่อย อย่าให้ช้ำมาก”
      ถาม :  ทำช้ำไปเสียเยอะ ?
      ตอบ :  เขาคงจะช้ำจนชินเสียแล้วกระมัง ? บางทีเพื่อการอยู่สุขของเรา ก็เป็นสิ่งจำเป็น เรารู้ว่าดี...เราต้องการอย่างนี้ แต่เขาไม่ดีด้วย ก็ต้องช้ำกันไปข้างหนึ่ง
              พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของคนในครอบครัว แต่พระองค์ท่านไปเพื่อความสำเร็จ แล้วค่อยกลับมาสงเคราะห์ เพียงแต่ว่ารอพวกเราสำเร็จแล้ว ยังจะมีคนเหลือให้สงเคราะห์อยู่อีกหรือเปล่า ?
*************************

      ถาม :  ทำไมจิตมีความสะเทือน ทั้งที่รู้ว่าไม่ปรุงแต่งไปมากกว่านี้ ไม่คิดจะก่อเหตุให้มากกว่านี้ ?
      ตอบ :  แรงกระทบยังมีอยู่ถึงเป็นเช่นนั้น ยกเว้นว่าเราจะเลิกรับแรงกระทบเหล่านั้นเสียได้
      ถาม :  เราเห็นว่ามันแยกออกจากเรา แต่ก็ยังมีการสะเทือนอยู่ ?
      ตอบ :  ถึงแยกออกจากเราก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแยกได้เป็นพัก ๆ ถ้าแยกออกจากกันเด็ดขาด ก็จบไปนานแล้ว...!
*************************

      ถาม :  นิพพิทาญาณ จะแก้ตรงจุดนี้อย่างไร ?
      ตอบนิพพิทาญาณเป็นของดี ถ้าอยู่กับเรานานเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เนื่องจากเราไปคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เพราะเราไม่ชอบ ก็เลยทำให้เราดิ้นรน อยากจะพ้นไป ทำให้เรายิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ มีทุกข์เพิ่มเข้าไปใหญ่
              ให้ทำใจสบาย ๆ คิดว่าธรรมดาของร่างกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาของโลกเราก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์จะมีสำหรับเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น พ้นจากตรงนี้ไป เราก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะไปนิพพาน
              ถ้าคิดว่าชาตินี้ยังมากเกินไป ก็คิดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาเกิดลำบากอย่างนี้อีกแล้ว หรือถ้ายังไกลเกินไป ก็เอาแค่หมดลมหายใจนี้ เราก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายนี้อีกแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ชั่ววันเดียว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้
              ในเมื่อเราวางกำลังใจอย่างนี้ จิตก็จะคลายออกมา ถ้าเห็นเป็นธรรมดาได้เมื่อไร ก็จะก้าวเป็นสังขารุเปกขาญาณแบบปล่อยวางด้เอง แต่ถ้ายังวางไม่ได้ ก็จะเบื่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ให้รู้เลยว่าความเบื่อเป็นของดี เพราะถ้ายังไม่เบื่อ เราก็ยังอยากจะเกิดอีก
*************************

      ถาม :  คุณแม่ไปปฏิบัติธรรม กลับมารอบนี้จะพูดเยอะ พูดมาก ?
      ตอบ :  ช่วยฟังท่านหน่อย เราคอยถามให้แม่พูดไปเรื่อย ๆให้ท่านระบายออกมาให้หมด นักปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะอยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเก็บกดอยู่หลาย ๆ วัน เขาจะระบายออก เราไปอยู่ช่วงที่เขาระบายออกพอดี ชวนท่านคุยเยอะ ๆ พอระบายจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกไปเอง
      ถาม :  เขามีโอกาสที่จะก้าวไปใช่ไหม ?
      ตอบ :  ตอนนี้รั่วหมดแล้ว เมื่อกำลังรั่วหมด ไม่มีกำลังไปละกิเลส แล้วจะเอาอะไรมาก้าวหน้า ต้องทำบ่อย ๆ พอชินเข้าก็จะรักษากำลังเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นจึงจะมีความก้าวหน้า
*************************

      ถาม :  ผมควรจะไปบวชไหม ?
      ตอบ :  ถ้ายังถามอยู่ชาตินี้ก็ไม่ต้องบวชหรอก...! จะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด มัวแต่ไปถามคนอื่น เพื่อให้คนอื่นช่วยตัดสินใจ จะไปเอาความดีอะไรขึ้นมาได้ จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปเลย...!
      ถาม :  วัดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  วัดไหนก็ได้ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง
*************************

      ถาม :  เวลาภาวนา นะมะพะธะ ทำไมรู้สึกว่าขัดอยู่ในอก ไม่เหมือนตอนภาวนาพุทโธ ?
      ตอบ :  คำภาวนามีหลายคำเกินไป แล้วเรายังไปบังคับให้ตรงกับลมหายใจ จึงเป็นอย่างนั้น
              ให้หายใจยาวไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปบังคับตามจังหวะคำภาวนา ให้สนใจลมหายใจมากกว่าคำภาวนา
*************************

      ถาม :  ใช้มโนมยิทธิแล้วกราบพระ เห็นพระไม่ชัดเจน ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นต้องชัด ให้รู้สึกว่ามีก็ใช้ได้แล้ว
      ถาม :  ถ้ามโนมยิทธิเรายังไม่แจ่มใส แปลว่าจิตยังไม่ดีใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  มโนมยิทธิจะแจ่มใสจริง ๆ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ของเราเป็นหรือยัง...?!
*************************