​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๗

 

              นอกจากผีที่โดนฝังอยู่แถวนั้นแล้ว แม้กระทั่งนางไม้ก็ยังกวนพอ ๆ กัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเย็นรวมกันบนบ้านหลังใหญ่แล้ว แยกย้ายกันไปตามแต่กุฏิใครกุฏิมัน จะมีการหมุนเวียนกันไปแต่ละที่ จะไม่ให้อยู่ซ้ำที่ เพราะถ้าอยู่ซ้ำที่เดี๋ยวจะคุ้นเคย
              อาตมาลงจากบ้านหลังใหญ่เดินลัดไปทางด้านช้ายห้วย จะมีกระต๊อบอยู่ใต้ต้นไทร พอเดินเลยต้นยางใหญ่ไปเท่านั้น มองเห็นผีผู้หญิงออกมาจากต้นยาง มีผ้าขาว ๆ คลุมหัวรุงรัง วิ่งกางแขนเข้ามา อาตมาก็เลยหันไปถามว่า “ทำอะไร ?” ผีเขาถามว่า “ไม่กลัวหรือ ?” อาตมาก็บอกว่า “มีอะไรน่ากลัว ?” ผีเขาตอบว่า ไม่รู้สิ...เห็นในโทรทัศน์ทำอย่างนี้แล้วคนเขากลัวกัน...!” โธ่...ไอ้ผีทันสมัย ดูโทรทัศน์กับเขาด้วย...!
              อาตมาถามว่า “มานี่ต้องการอะไร ?” เขาบอกว่า “อยากจะให้ท่านอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะวันก่อนที่ให้ไป ท่านไปเจาะจงให้เฉพาะพวกที่เขามา ไม่ได้ให้ทั่วไป ฉันเลยรับไม่ได้” จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว
              แต่เขาไม่ยอมไปไหน ตามไปที่กระต๊อบด้วย พออาตมานอนเขาก็มานั่งอยู่ปลายเท้า อาตมาบอกว่า “ไปห่าง ๆ ได้ไหม ถ้าใครเขามาเห็นเข้าน่าเกลียตายห่...! พระนอนแล้วมีผู้หญิงนั่งเฝ้าอยู่” เขาก็ยืนยันว่าเขาจะนั่งเฝ้าเพื่อป้องกันอันตรายให้ รับรองว่าคนอื่นไม่เห็นอาตมาก็เลยนอนฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน เพราะแม่เจ้าประคุณสวยเช้งวับเลย...!
              จากจุดนี้เลยเข้าใจว่า ที่ผีเขามาหา ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนของผีก็คือ กุศลบารมีเขาน้อย ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในเมื่อคนที่บุญน้อยก็เหมือนกับคนจน แต่งตัวสวยขนาดที่เราเห็นแล้ววิ่ง...! ที่ไม่สามารถจะสวยเกินกว่านั้นได้ เพราะบุญเขาน้อย
              เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะบอกพวกเราว่า ถ้าเจอผีวิธีที่ดีที่สุด คือรีบอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ถ้าเจอผีแปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้มีเหลือเฟือแล้ว
              ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเทาไร ขอให้เธอได้รับอย่างนั้นด้วย แค่นั้นแหละเขาก็ได้แล้ว

      ถาม :  แสดงว่าผีมา เขามาขอส่วนบุญทุกครั้ง ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน มักต้องการความช่วยเหลือ
      ถาม :  ไม่ใช่ว่ามาหลอกเฉย ๆ ?
      ตอบ :  ลำบากและเดือดร้อนขนาดนั้น เขาไม่มีอารมณ์มาหลอกเฉย ๆ หรอก
              ในเรื่องของผีที่เขามาในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ก็ยังถือว่าเขามีความสามารถที่อยู่ในระดับที่ใช้ได้ ถ้าท่านที่บุญน้อยกว่านั้น ทำให้ภาพปรากฎก็ไม่ได้ เพราะกำลังเขาน้อย เราอาจจะได้ยินแต่เสียง หรือได้แต่กลิ่น
              ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวล คิดว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าของเสียงนั้นโมทนา ผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ขอให้เจ้าของกลิ่นนั้นโมทนาก็ใช้ได้เลย
              ปัจจุบันน้ีมีโอกาสหลอกเราน้อยมาก เพราะมีไฟฟ้า เวลาผีจะปรากฎตัว เขาต้องใช้กำลังของเขาดึงเอาธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบข้างให้มารวมตัวกันเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่กระแสไฟฟ้าที่กระพริบด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้ง/วินาที ไปกระแทกสะเทือนจนอนุภาคของธาตุ ๔ ทั้งหลายเหล่านั้นรวมตัวไม่ได้
              เพราะฉะนั้น...เวลากลัวผีแล้วไปเปิดไฟนั่นถูกต้องแล้ว แต่ก็ป้องกันได้ เฉพาะผีระดับต่ำ ๆ เท่านั้น ผีระดับสูง ๆ ต่อให้กลางวันเที่ยง ๆ ก็สามารถมาหลอกได้ เสียเวลาเปิดไฟเปล่า ๆ
              บางทีเราสงสัยทำไมสมัยก่อนผีเยอะแยะ ทำไมสมัยนี้ผีไม่มี ? ก็ยังมีเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ว่าการปรากฎตัวของเขายากขึ้น พอจะดึงเอาธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน ก็ถูกไฟฟ้าที่กระพริบแวบ ๆ กระทุ้งจนกระจายหมด ถ้ากำลังเขาไม่พอก็ปรากฎตัวไม่ได้เลย บางคนจึงได้ยินแต่เสียง บางคนจึงได้แค่กลิ่นเท่านั้น
      ถาม :  แล้วผีที่มีนิสัยลามก ?
      ตอบ :  คนเราเวลามีชีวิตอยู่ มีสันดานนิสัยอย่างไร ถึงเป็นผีแล้วก็มีนิสัยสันดานอย่างนั้น
              อาตมานอนภาวนาอยู่ ผีเขามาถึงเห็นนอนหงายภาวนา สองคนแรกก็มาจับตะแคงขวาเป็นท่านอนสีหไสยาสน์ แล้วเขาก็ไป อีกสักพักโผล่มาทางปลายเท้าอีกสองคน “นอนท่านี้นานแล้วนี่” แล้วเขาก็จับพลิกซ้ายให้แล้วเขาก็ไป เดี๋ยวก็โผล่มาอีกสองคน “อะไรวะ ...จะมายุ่งอะไรกับอนาคตตูขนาดนั้น ตูจะภาวนา...!” อาตมาจึงคิดจะเล่นงานกับผี พอเขาเข้าใกล้ คราวนี้ไม่รอให้เขาจับ ถีบโครมเลย...!
              จำไว้ว่าอย่าเสียเวลาไปตีกับผี เพราะเขารู้ความคิดของเรา พออาตมาถีบโครม เขาก็จับขาไว้ อาตมาก็ต้องรีบตะปบสบง...กลัวโป๊ พอถีบซ้ายเขาก็จับซ้าย ถีบขวาเขาก็จับขวา ชกซ้ายเขาก็จับซ้าย ชกขวาเขาก็จับขวา
              ท้ายสุดก็โดนเขาขึงพืด พวกที่หายไป ๕ - ๖ คนย้อนกลับมาใหม่ ช่วยกันนั่งทับตั้งแต่อกยันปลายเท้า กระดิกไม่ได้เลย คนที่อยู่หน้าสุดจับแขนกดไว้กับหน้าอกบอกว่า “ให้บอกว่ากลัวสิ...แล้วจะปล่อย” เรื่องอะไรกูจะกลัวมึง...! อาตมาก็ว่าคาถาเป่าใส่เลย เขาเอียงหน้าหลบนิดเดียวบอกว่า “ไม่ถูก...!” กวนสุด ๆ
              ตอนนั้นทำให้เข้าใจเรื่องผีว่า ถ้าเราหลับตาหรือทำไม่สนใจะเห็นเขาชัดเจนมาก เขากดเราอยู่ น้ำหนักมือหรือความอุ่นเหมือนกับคนทุกอย่างเลย แต่ถ้าเราตั้งใจจะมอง ก็จะมองทะลุเห็นมือตัวเอง หรือจะเห็นเสาหรือของอะไรที่อยู่ข้างหลังแต่ถ้าทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็เป็นเงาหนา ๆ เหมือนคนนี่เอง
              อาตมาก็รอจังหวะ ต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ พอเขาเผลอ อาตมากระชากแขนพรวดหลุดออกมาได้ ก็คว้าตัวที่อยู่ทางด้านหัว ตั้งใจที่จะทุ่มเขาปรากฎว่าไปคว้าเอาผู้หญิงเต็ม ๆ จับเอวเข้าพอดี ยายนั่นก็บ้าจี้ หัวเราคิกคักยักเอวยักไหล่...
              อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าเนื้อผีก็คล้าย ๆ กับเนื้อคน ก็ต้องรีบปล่อย กลัวจะโดนอาบัติ เพราะเขาเป็นผู้หญิง ดิ้นหลุดออกมาได้ก็ไล่ชกไล่เตะ ตีกันตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนกระทั่งเหนื่อยหอบ พอได้เวลาออกมาทำวัตรเย็น ป้ากิมกีก็ถามว่า “หลวงพี่ย้ายของอะไรทั้งวัน ตึงตังไปหมด ?” จะไปย้ายอะไร ผีเขาย้ายเราต่างหาก... !
              ไม่น่าเชื่อว่าตีกับผีเป็นปี ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่มา เขาต้องการจะทดสอบกำลังใจ ถ้าเรายึดเกาะความดีได้ นึกถึงพระนึกถึงนิพพานได้เขาก็เลิก แต่เขาดันมาเจอนักรบเก่า ขอให้พระช่วยก็ไม่ขอ ลุยเองเลย เรื่องจะให้ยอมแพ้หรือบอกว่ากลัว ไม่มีหรอก
              จนกระทั่งท้ายสุด ท่านทนความหน้าด้านของอาตมาไม่ไหว ท่านต้องไปเอง เพราะว่าแกล้งหลอกเท่าไรอาตมาก็ไม่กลัวสักที แถมยังไม่คิดถึงความดีอะไรด้วย สู้อย่างเดียว พอมานึกทบทวนย้อนหลัง รู้สึกว่าต้วเองนี่ดื้อสะบั้นหั่นแหลก จะนึกถึงพระนึกถึงนิพพานก็ไม่มี เอาแต่สู้อย่างเดียว
              มีรุ่นน้องท่านหนึ่งคือท่านโกวิท บวชทีหลังอาตมาหนึ่งพรรษา ตอนนี้สึกไปแล้ว ท่านนอนอยู่ตรงป้อมยาม โดนผีบีบคอเสียจนลมหายใจจะหมดแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่า “เอาละวะ...ตายเป็นตาย ตายตอนนี้ก็ไปพระนิพพาน”
              พอคิดอย่างนั้นเขาก็ปล่อย คือ ถ้าเกาะความดีส่วนใดส่วนหนึ่งได้เขาก็ปล่อย เขาถือว่าการทดสอบของเขาประสบผลแล้ว แต่ก่อนจะไปเขาโงกหน้ามาว่า “ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปพระนิพพาน...!” แหม...ดูถูกกันมาก ถ้าเป็นอาตมานี่ไอ้ผีตัวนั้นโดนแน่...!
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปโดนผีหลอกที่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อาตมาไปพักอยู่กลางป่า เทวดาบอกไม่ทัน อาตมาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ขยับลุกขึ้นมานั่งไม่ทันเต็มตัวเลย เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า “ระวังผี...!” ปรากฎว่าไม่ทัน มือเย็นเจี๊ยบมาถึงคอแล้ว...!
              อาตมาภาวนาพุทโธ ๆ เขาก็ชะงัก พอคิดจะหยุดภาวนาไปล้างหน้าเขาก็รวบมือเข้ามา พอภาวนาเขาก็คลายออกให้หน่อยหนึ่ง เล่นได้กวนมากเลย
              ก็ต้องยันกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง จึงบอกกับเขาว่า “พอเถอะ...ตะวันขึ้นแล้ว ต่างคนต่างไป ถ้าจะหลอกเดี๋ยวคืนนี้ค่อยมาใหม่” เขาเองก็ว่าง่ายเหมือนกัน ไปเอาง่าย ๆ อาตมาจึงลุกไปล้างหน้าแปรงฟันได้ ตกลงว่าปกติที่เคยภาวนาพิจารณาทุกวันก็ไม่ต้องแล้ว วันนั้นเหลือแต่พุทโธอย่างเดียว
      ถาม :  ผีในป่าช้าที่ท่านเล่ามา พวกเขาเดือดร้อนตรงไหน ?
      ตอบ :  เขาเดือดร้อนเพราะไปไหนไม่ได้ ก็เลยอยากได้ส่วนกุศล ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขามีกำลังพอ หรือมีกำลังบุญสูงขึ้น เขาก็จะไปภพภูมิอื่นได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังยึดอยู่ แม้กระทั่งร่างกายที่ตายไปแล้ว ทำให้วนเวียนอยูาแถวนั้น ไปไหนไม่ได้
*************************

      ถาม :  พระอริยเจ้าท่านทำให้เข้าถึงอริยผล ท่านทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ข้อนี้ต้องไปถามพระอริยเจ้าเอง...! ก็ต้องเข้าหาวิปัสสนาญาณสิ โดยเฉพาะพิจารณาในกายคตาสติ หรือไม่ก็ดูในเรื่องของไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น
              ถ้ายังเป็นปลาอยู่ในน้ำ อย่าไปถามเรื่องบนบกว่าเป็นอย่างไร ฟังไปก็กลุ้มใจตายเปล่า ๆ ...!
*************************

      ถาม :  อานิสงส์การถวายดอกไม้ ?
      ตอบ :  ต้องถามกลับว่าถวายใคร ? ถวายพระพุทธเ้าก็เป็นพุทธบูชา ถวายพระสงฆ์ก็เป็นสังฆบูชา หรือเวลาเขาสวดมนต์แล้วไปโปรยก็เป็นธัมมบูชา
              ทานใช้คำว่าอัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ ขอให้บูชาด้วยความเคารพจริง ๆ เท่านั้น อย่างนายสุมนมาลาการ มีหน้าที่เอาดอกมะลิไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล วันละ ๘ ทะนาน
              วันนั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา นายสุมนมาลาการเกิดความปลื้มใจคิดว่า “แม้เราจะไม่มีดอกไม้ไปถวายพระราชา ถ้าท่านจะประหารชีวิตเราก็ตามทีเถอะ เราขอสร้างบุญไว้ก่อน” แล้วท่านก็ซัดดอกไม้ขึ้นไป ๒ ทะนาน ปรากฎว่าดอกไม้ขึ้นไปลอยเรียงเป็นเพดานกั้นให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดความปลื้มใจ มีปีติมาก ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ดอกไม้ก็ลอยไปกั้นเป็นม่านอยู่เบื้องหลัง ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องขวา ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องซ้าย จนหมดเกลี้ยงทั้ง ๘ ทะนาน
              พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนก็เหมือนกับอยู่ในห้องดอกไม้ เปิดให้เห็นเฉพาะด้านหน้า ชาวบ้านเห็นก็สาธุการกันเซ็งแซ่ แต่ภรรยาของนายสุมนมาลาการกลับคิดไปอีกอย่าง คิดว่า “คราวนี้ต้องแย่แน่ ๆ สามีเอาดอกไม้ไปทำแบบนี้ พระราชาอาจจะสั่งประหารเราไปด้วย” จึงรีบเข้าวังไปแจ้งความประสงค์กับพระราชา ว่าตนเองเป็นภรรยาของนายสุมนมาลาการ ขอหย่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่ิงต่าง ๆ ที่นายสุมนมาลาการทำ ตนเองไม่ขอเกี่ยวข้อง
              พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านอนุญาตให้หย่าได้ แล้วราชบุรุษไปตามตัวนายสุมนมาลาการมา ถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น ตอนทำคิดอย่างไร นายสุมนมาลาการก็บอกให้รู้ว่า เห็นพระพุทธเจ้าเกิดความปลาบปลื้มปีติมาก อยากจะทำบุญ จึงตัดสินใจว่าถ้าโดนพระราชาสั่งประหารชีวิตก็ยอม ขอทำบุญก็แล้วกัน
              พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงโมทนา แล้วมอบสิ่งของพระราชทาน โดยให้วัวไป ๘ ตัว ม้า ๘ ตัว ช้าง ๘ เชือก หมู่บ้านไปปกครองอีก ๘ ตำบล แล้วก็เมียอีก ๘ คน ส่วนเมียเก่าของนายมาลาการดันทะลึ่งไปขอหย่า จึงไม่ได้อะไรเลยสักบาท...!
              ที่เล่ามานี่เราเห็นอะไรบ้าง ? อันดับแรกก็คือ กำลังใจของนายสุมนมาลาการ ถ้าด้ทำความดีแม้ตัวตายก็ยอม ประการที่สอง พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นไม่ได้หาตัวยาก เข้าพบเมื่อไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งขอเข้าไปพบพระราชา ไม่น่าจะได้พบง่าย ๆ
              ฉะนั้น...เราจะเห็นว่า อานิสงส์การถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาอย่างนายสุมนมาลาการ กลายเป็นคนรวยทันตา แต่ถ้าอย่างชูชกก็ได้นางอมิตตดามาเป็นเมีย ชูชกอายุ ๘๐ นางอมิตตดาอายุ ๑๖ รุ่นเหลนเลยนะ
              อรรถกถาเขาบอกว่า ชูชกถวายดอกไม้ตูมเอาไว้ในชาติก่อน ก็เลยได้ภรรยาสาวพริ้ง แต่เขาไม่ได้บอกว่านางมิตตดาเคยถวายดอกไม้เหี่ยวเอาไว้หรือเปล่า เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ
              ชูชกเป็นผู้มีความสามารถสูงมากในการขอ ขอใครไม่เคยพลาด ได้ทุกราย โบราณาจารย์อย่างหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านก็เลยสร้างชูชกขึ้นมาเป็นเคล็ดลับในเรื่องของมหาลาภ มหานิยม เพื่อให้ลูกศิษย์ไปทำมาหากิน จะได้มีความสะดวกคล่องตัว
              เนื่องจากชูชกขอทานจนรวย มีเงินเป็นแสนกหาปณะ เอาไปฝากเพื่อนไว้แล้วตัวเองก็ไปขอทานต่อ ชูชกหายไปหลายปีอายุก็มากแล้วเพื่อนพราหมณ์นึกว่าชูชกตายแล้ว จึงเอาเงินของชูชกไปใช้จนหมด พอชูชกกลับมาทวงเงิน ไม่มีคืนให้ เขาก็เลยต้องยกลูกสาวให้เป็นการตอบแทน
              ต้องบอกว่า นางอมิตตดานั้นพ่อแม่อบรมมาดี แม้จะยกให้เป็นภรรยาของชูชกที่แก่เฒ่าปานนั้น ก็ยังเคารพสามีเหมือนพ่อ ดูแลปรนนิบัติรับใช้ทุกอย่าง แต่ทีนี้เดือดร้อนบรรดาพราหมณ์อื่น ๆ เขาเอานางอมิตตดาเป็นมาตรฐาน ว่าทำไมเมียเราถึงไม่ดีเหมือนนางอมิตตดาบ้าง ก็ไปตีเมียบ้าง ด่าเมียบ้าง
              บรรดาเมียพราหมณ์ทั้งหลายเก็บความแค้นเอาไว้ ตอนไปตักน้ำก็ไปรุมด่านางอมิตตดา “เพราะนางกาลกิณีอย่างแกทีเดียว เข้ามาในหมู่บ้านเลยทำให้พวกข้าเดือดร้อนกันหมด” นางอมิตตดาร้องไห้กลับบ้าน ชูชกถามเกิดอะไรขึ้น นางจึงเล่าให้ฟังแล้วบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ไปตักน้ำแล้ว
              ชูชกบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก...ได้ยินว่าพระเวสสันดรตอนนี้ออกบวชอยู่ในป่า พระนางมัทรีที่เป็นมเหสี กัณหา ชาลี ที่เป็นราชกุมารีราชกุมารตามไปด้วย พระเวสสันดรเป็นผู้ใจดี ขออะไรก็ให้ เดี๋ยวเราจะไปขอกัณหา ชาลี มาให้เป็นทาสของเจ้าก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินทางไป
              จริง ๆ แล้วช่วงออกพรรษาจะเป็นช่วงที่เขาเทศน์พระเวสสันดรชาดก บางทีก็เรียกว่า เทศน์คาถาพัน เพราะจะประกอบด้วยคาถาบาลีเป็นหัวเรื่องหนึ่งพันบทด้วยกัน รวมทั้งหมดมี ๑๓ กัณฑ์
              ได้แก่ ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์ รวมแล้วเป็นบาทคาถาหนึ่งพันคาถา เขาเลยเรียก เทศน์คาถาพัน สมัยก่อนเขาเทศน์กันสามวันสามคืน
*************************

              “วัดจอมคีรีนาคบรรพต ที่นครสวรรค์ มีโบสถ์หลังนิดเดียว แต่เขาเชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าไปได้หมด โบสถ์หลังนี้แต่เดิมเขาสร้างค้างไว้หลายปี ตามที่เล่ากันมา เขาบอกว่าวันหนึ่งเป็นวันพระใหญ่ ตอนกลางคืนมีแสงสว่างไปทั่วทั้งยอดเขา เหมือนกันใครมาจุดไฟทำอะไร พอรุ่งเช้าโบสถ์ทั้งหลังก็เสร็จเรียบร้อย เขาก็เลยเชื่อกันว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้าง
              พอเวลามีงานบุญ คนก็ยัดกันเข้าไปในโบสถ์หลังเล็ก ๆ นั้นได้ คนก็เกิดความแปลกใจว่า โบสถ์หลังนิดเดียวแต่ทำไมคนมาแล้วนั่งได้เรื่อย ๆ. เขาเลยลือกันไปว่าโบสถ์เทวดาสร้าง คนมาเท่าไรก็เข้าได้หมด
              จึงมีนักเลงดีคือ ผู้บังคับกรมทหารราบที่ ๔ ค่ายจิรประวัติ เอาทหารทั้งกรมไปทดลอง ทหารกรมหนึ่งจำนวนเท่าไร ? ถ้าตามอัตรากำลังทหารที่อาตมาเคยอยู่ กองพลทหารราชที่ ๙ กาญจนบุรี การจัดอัตรากำลัง ๑ กองร้อย เท่ากับ ๑๔๒ คน ๕ กองร้อยเป็น ๑ กองพัน ๕ กองพันเป็น ๑ กรม ลองคำนวณดูแล้วกันว่า ๑ กรม มีทหารจำนวนเท่าไร ?
              พอถึงเวลาท่านผู้การก็สั่งให้ทหารเข้าโบสถ์ไป เข้าไปก็เหมือนกันเต็มพอขยับก็เข้าไปได้เรื่อย ๆ ท้ายสุดทหารทั้งกรมก็เข้าไปอยู่ในโบสถ์หลังเล็ก ๆ ได้ ไม่รู้ว่าเข้าไปได้อย่างไรกันตั้งพันกว่าคน...!
              เขาจึงได้เชื่อว่าเป็นโบสถ์เทวดาสร้างจริง ๆ ทุกวันนี้ติดป้ายเย้ยฟ้าท้าดินเลยว่า “ขอเชิญชมโบสถ์เทวดาสร้าง” มีโอกาสก็ลองแวะดู เป็นโบสถ์ที่มีศิลปะแบบภาคกลางตอนเหนือ งามทีเดียวแหละ”
*************************

              “สมัยพุทธกาล งานถวายพระเพลิงศพพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี หรือว่างานประชุมเพลิงพระสารีบุตรมหาเถระ เทวดาต้องลงมาช่วย เนรมิตจิตกาธาน เนรมิตที่พักสงฆ์ ฉะนั้น...โบสถ์เทวดาสร้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
              งานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพุทธศาสนา คือ งานศพของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี แม้แต่งานถวายพระเพลิงพุทธสรีระก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่า เนื่องจากพระพุทธเจ้าเป็นองค์อำนวยการเอง ในฐานะที่เป็นพระน้านางและเป็นแม่ผู้ถวายกษีรธารา(น้ำนม) มาตั้งแต่เด็ก เท่ากับว่าท่านจัดงานให้แม่ จึงได้เดือดร้อนเทวดาต้องมาเนรมิตจิกาธานให้ และต้องยกขบวนมาเป็นเกียรติยศด้วย
              งานนี้พระอรหันต์แบกโลกให้ ก็คือ บรรดาพระญาติพระวงศ์อย่างพระอานนท์ พระนันทะ พระพุทธเจ้าเสด็จนำ ตามด้วยหมู่สงฆ์เป็นแสน ยังมีพรหมเทวดาอีกนับไม่ถ้วน แล้วจึงต่อดวยขบวนประชาชน
              มีเวลาเตรียมงานนานมาก ไม่เหมือนกับการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ที่ต้องทำให้เสร็จภายในไม่กี่วัน ลองไปค้นเอาเองในพระไตรปิฎกงานนี้ไม่บอกว่าอยู่ในเล่มไหน”
*************************