​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๖

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกันยายน ๒๕๕๓


      ถาม :  “เกี่ยวกับหมาต้องระวังให้มาก ๆ เลย ถ้าหมาได้กินอาหารสักอย่างหนึ่งที่ชอบ ต่อไปเขาจะเลือกกิน อย่างไหนที่ไม่ชอบก็จะไม่แตะเลย
              สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีหมาตัวหนึ่งชื่อ ไอ้แมน เป็นสุดยอดหมาจริง ๆ เลย ผอมจนซึ่โครงบาน เดินไปก็เป็นลมล้มตึง ตอนแรกอาตมาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นลมเพราะอะไร หลวงตาวัชรชัยบอกว่า ลองเอานมให้มันกินสิ พอเทใส่ชามให้ มันซัดจนเกลี้ยงภายในนาทีเดียว...!
              ก็คือ ถ้าไม่ได้เนื้อหรือนมไอ้แมนไม่กิน อย่างอื่นมาวางไว้ตรงหน้าเป็นตายก็ไม่กิน ถึงขนาดยอมเป็นลมล้มตึงขนาดนั้น สุดยอดหมาจริง สมควรที่จะเป็นหมาต่อไป...! ต้องบอกว่าไอ้แมนประกอบด้วยทิฐิมานะเป็นอย่างยิ่ง
              ถ้าเราจะเลียนแบบไอ้แมน ก็คือ เราต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำความชั่วให้ได้ มีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด”
*************************

      ถาม :  สิ่งที่เคยสัมผัสในการปฏิบัติธรรมมาแล้ว แต่ทำไมเราย้อนกลับไปเห็นอีก แล้วก็เกิดขึ้นเอง ?
      ตอบ :  บางอย่างมีนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอถึงเวลาแล้วเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจึงนึกได้ว่าที่แท้เรารู้แล้ว
      ถาม :  ไม่มีความมั่นใจในตนเอง กลัวตนเองจะไปเทียบ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มสงบ ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งรอบข้างได้ แต่ส่วนแล้วมักจะเสียงมากกว่าดี ที่เสียมากกว่าดี เพราะเราไปติดในนิมิตเหล่านั้น นิมิตเหล่านั้นจะแม่นยำไเด้ก็ต่อเมื่อเราไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ แต่ทันทีที่เราไปอยากรู้อยากเห็น อาจจะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกคนอื่น หรืออยากรู้เพื่อจะไปอวดใคร คราวนี้เราจะโดนหลอกให้เป๋ได้ง่าย
              ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นแหละ มาก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้น
      ถาม :  มักจะกระโดดกลับไปกลับมา ?
      ตอบ :  เรื่องของนิมิตนั้นไม่มีต้นมีปลาย นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป กว่าจะรู้ส่วนใหญ่ก็เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้นแล้ว
*************************

              “เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วม บ้านอาตมาอยู่ซอยอ่อนนุช เลยแยกศรนครินทร์ไปหนึ่งป้ายรถเมล์ ตรงนั้นก็คือ ซอยอ่อนนุช ๖๖
              ปรากฎว่ารัฐบาลเขาช่วยกันกั้นเขื่อนแค่ถนนศรีนครินทร์ ที่บ้านน้ำก็เลยสูงถึงอก ท่วมอยู่ ๘ เดือน แต่อาตมายังคงไปวัดตามปกติ กินบุญเก่าไปเรื่อย เงินก็จะหมด
              วันนั้นหลังเที่ยงแล้วมีการฝึกมโนมยิทธิ พอฝึกเสร็จ ครูฝึกก็มารายงานยอดว่า วันนี้มีผู้ฝึกสามารถไปพระนิพพานได้ ๙๘ คน อาจารย์ยกทรงก็ถามว่า “ออกไหมครับ ?” พวกก็ฮากันครืน หลวงพ่อก็บอกว่า “เอาอย่างนี้สิ ๓๐๐-๙๘ เหลือเท่าไรวะ ?”
              อาจารย์ยกทรงก็นั่งเงียบ หลวงพ่อพูดว่า “ไอ้ขี้หมา...แค่นี้ก็คิดไม่ทัน” จำไว้เลยว่า ถ้าหลวงพ่อพูดแล้วทิ้งเลย ไม่ได้พูดเล่นต่อ แสดงว่าเลขนั้นออก แต่ถ้าท่านพูดเล่นต่อด้วยนี่ไม่ออกหรอก อาตมานึกถึงเลข ๒๐๒
              ตอนแรกคิดจะซื้อหวยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ก็ไม่ได้จดจ่อที่จะซื้อ
              พอเลิกจากบ้านสายลมแล้ว ขี้เกียจกลับบ้านเพราะน้ำท่วม ดันนั่งรถเมล์ไปลงหน้ากองสลาก แม่ค้าเขาถามว่า “พี่เอาเลขอะไร ?” อาตมาก็มองความคิดก็คือ แม่ค้าคนหนึ่งเขาได้โควตาสองเล่ม เลขท้ายสามตัวอย่างเก่ง สองเล่มก็มีแค่สองใบ แต่แทนที่จะบอกว่าเอา ๒๐๒ สองใบ ดันไปบอกว่า ​“มี ๒๐๒ ไหม ? เท่าไรก็เอาหมด” ปรากฎว่า แม่ค้าสะกิดบอกต่อ ๆ กันไปเลย “ใครมี ๒๐๒ เอามาเลย พี่เขาซื้อหมด” อาตมาไม่เล่นหวย จึงไม่รู้ว่าเลข ๒๐๒ นั้นเพิ่งออกไป เขาส่ง ๒๐๒ มาทั้งหมด อยู่ ๆ เลขที่ขายไม่ได้ มีคนมาเหมาซื้อถือว่าบ้าชัด ๆ ...!
              ทีนี้จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็เลยนั่งรถเลยไปเยี่ยมแม่ที่บ้านกำแพงแสน อยู่กับแม่หลายวัน กลับมาวันหวยออกพอดี ก็ไม่รู้ว่าหวยออก
              ตอนเย็นผ่านกองสลากประมาณห้าโมงเย็น พอดีท่านแสงเขามาด้วย เขาสะกิด “พี่ ๆ ถูกหวยว่ะ” เขาชี้ให้ดู ปรากฎว่าตอนนั้นมีเลขท้ายสามตัวถึงห้าครั้ง งวดที่แล้วออกครั้งที่สอง ส่วนงวดนี้ออกครั้งที่ห้า ก็คือออกซ้ำเลขที่ซื้อนั่นแหละ เท่ากับว่าเขาบังคับให้รวย “มีเท่าไรเอาหมด” พูดไปได้อย่างไร เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจริง ๆ ที่แน่ ๆ ตอนนั้นเกือบจะไม่เหลือค่ารถกลับบ้าน เพราะเอาไปซื้อหวยเกือบหมด”
*************************

              “จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข
              อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
              มุขะ คือ ปากทาง
              อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเล่นการพนันนั้น ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ”
*************************

              “เรื่องของบุญกุศลที่ทำไว้ ต่อให้ไม่เล่น ถ้าวาระบุญเข้ามาสนองจริง ๆ ก็จะได้ในทางอื่นแทน
              มีคนกวาดขยะเก็บได้รางวัลที่หนึ่ง ช็อกหัวใจวายตาย...! ตอนตายยังกำหวยใบนั้นอยู่เลย คนเขาก็สงสัยว่าได้หวยมาจากไหน ปรากฎว่ามีคนเอามาทิ้งไว้ และเป็นหวยของงวดที่แล้วที่เขาไม่ถูก แต่เลขมาตรงกับรางวัลที่หนึ่งของงวดนี้ ตกลงว่าตายฟรี..!
              ส่วนจ่าตำรวจที่ตาคลี นครสวรรค์ ซื้อหวยมา ๘๐ บาท รู้สึกเสียดายเงิน ตอนเย็นกินเหล้าก็เอาหวยไปยัดเยียดให้เพื่อน เพื่อนก็ไม่เอา จนกระทั่งท้ายสุดลดเหลือ ๕๐ บาท เพื่อนก็เลยต้องจำใจซื้อไป เขาเก็บหวยไว้เฉย ๆ
              ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นถูกหวย ๖ ล้าน จ่าตำรวจที่ขายหวยให้เพื่อนไป ๕๐ บาท คว้าปืนจะเอามายิงหัวตัวเองเพื่อต้องห้ามกันอุตลุต เขาโกรธตัวเองที่โยนเงิน ๖ ล้านให้เพื่อนในราคา ๕๐ บาท แล้วบังคับให้เขาเอาด้วยนะ แสดงว่าคนเราสร้างบุญเอาไว้ ถ้าบุญจะสนองอย่างไรก็ต้องมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
*************************

              “จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้
              เมื่อเช้านายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหายแล้วตะกรุดอยู่ในนั้นเลย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อาตมาอยากจะบอกว่า คุณเป็นถึงระดับผู้บังคับบัญชาแล้ว ไม่ควรที่จะงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก
              วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับมีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง
              ดังนั้น...เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมากใช้ได้ผลมากกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศใช้ได้ผลมากกว่าคนในประเทศ เพราะว่าอยู่ไกลแล้วไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงต้องอาศัยวัตถุมงคลเป็นหลัก”
*************************

              “เมื่อวานมีคนคิดมิดีมิร้ายกับรองเท้าของอาตมา รองเท้าเลยต้องหนีไปซ่อน เฟิร์สเขาถามว่า เมื่อไรถึงจะรู้ได้ขนาดหลวงพ่อ ?
              อาตมาบอกไปว่า มีสองวิธี วิธีแรก คือซ้อมบ่อย ๆ ให้คล่องตัว
              วิธีที่สองคือ อธิษฐานทุกครั้งว่า เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด”

              “คนเราถ้ายังไม่ถึงที่ตายอย่างไรก็รอด แต่ถ้าถึงวาระจะตายอย่างไรก็ต้องตาย
              สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีโยมอยู่คนหนึ่ง หมอดูบอกเขาว่าวันนี้จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แกก็เลยใช้วิธีนอนอยู่ในมุ้ง กะว่าถ้าไม่ออกไปไหนอย่างไรก็ไม่ตาย
              ปรากฎว่าตอนสายแม่ไก่ออกไข่ แล้วบินขึ้นไปกระด๊ากบนขื่อ เกาะอยู่บนนั้น แต่ไก่ไปเกาะที่ปลายหอกพอดี พอน้ำหนักกดลง หอกก็พุ่งปราดลงมาเสียบคามุ้งเลย ฉะนั้น...อยู่ในมุ้งก็ตาย
              หากไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
              หากว่าถึงคราวตายวายชีวัน ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็เสือกตาย”
*************************

              “ที่มานั่งรับสังฆทานที่นี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้มานั่งเอาเงิน ถ้ามานั่งเพื่อเงินไม่มานั่งหรอก ทรมานขนาดนี้
              มาที่นี่ก็เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเขา อย่างน้อยให้เขาทำความดีอะไรบางอย่าง ที่เป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้าได้อาตมาก็พอใจแล้วจะมานั่งเอาเงินหรือ ? อาตมากลับไปนอนที่วัดดีกว่า เพราะถ้าได้เงินมาก็ต้องทำนั่นทำนี่...เหนื่อยจะตายชัก ถามว่ากลัวเหนื่อยไหม ? ไม่ได้กลัวหรอก แต่เบื่อว่ะ...!”
*************************

      ถาม :  ทำงานร่วมกับพี่ ร่วมหุ้นทำกิจการกัน แล้วจะมาเกลียดกันทีหลังหรือเปล่า ? กลัวทำด้วยกันแล้วมีปัญหา ?
      ตอบ :  ของอย่างนี้ไม่มีใครรับรองให้คุณได้หรอก ต้องดูในธรรมบท มีชายคนหนึ่งต้องการจะทำบุญก่อน พระโมคคัลลานเถระก็ไปบอกเศรษฐีเจ้าของกิจนิมนต์ว่า ช่วยสละให้ชายคนนั้นก่อนได้ไหม เศรษฐีบอกว่าถ้าพระโมคคัลลานเถระประกันให้เขาได้สามอย่าง เขาก็จะให้ก่อน ถามว่าประกันอะไรบ้าง
              ๑. ประกันศรัทธา ศรัทธาเขาต้องไม่ถอย เขายังต้องคิดทำบุญอยู่
              ๒. ประกันฐานะ ฐานะเขายังต้องดีอยู่เหมือนเดิม เขาจึงจะได้ทำบุญ
              ๓. ประกันชีวิต ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ทำ พรุ่งนี้เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ เขาจึงจะได้ทำบุญ
              พระโมคคัลลานเถระบอกว่า ประกันฐานะกับประกันชีวิตให้ได้ แต่ประกันศรัทธาไม่ได้ ศรัทธาเป็นกำลังใจของท่านเอง จะขึ้นหรือจะลดก็แล้วแต่ท่านเศรษฐี
              เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนไหนที่สติสัมปชัญญะเราดี ก็ดีกัน..ใช่ไหม ? แต่ถ้าหน้ามืดตามัวขึ้นมาหรือผลประโยชน์ขึ้นหน้า แล้วใครจะไปประกันให้คุณได้ ? เรื่องพวกนี้ถ้าไปถามหมอดู หมอดูก็คงรวย เดี๋ยวเขาก็คงหาวิธีสะเดาะเคราะห์ให้ ไม่มีอะไรที่ประกันความเสี่ยงได้หรอก ถ้าจะทำก็ทำ อย่ามาจับพระเป็นตัวประกัน...!
*************************

      ถาม :  โรคภัยไข้เจ็บตัวใหม่ที่เกิดขึ้น จะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?
      ตอบ :  ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ อย่าไปคลุกคลีกับคนที่ป่วย
      ถาม :  ถ้าจะอาราธานาบารมีพระ หรือวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก ?
      ตอบต้องมีความมั่นใจจริง ๆ กำลังใจต้องทรงตัวจริงๆ และเวรกรรมเก่าตามไม่ทันจริง ๆ ถ้าตามทันอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลหรอก
              สมัยก่อนโรคเอดส์ระบาด แล้วมีแค่ยันต์เกราะเพชร ความรู้สึกของอาตมาบอกชัดว่า “ชีวิตนี้เอ็งไม่เป็นเอดส์แน่ แค่ยันต์เกราะเพชรอย่างเดียวก็กันได้แล้ว...” รุ่งขึ้นเลยไปถามหลวงพ่อว่า “จริงหรือเปล่าครับ ที่ความรู้สึกผมบอกว่าแค่ยันต์เกราะเพชรก็กันเอดส์ได้แล้ว ?”
              ท่านบอกว่า “ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กันไสยศาสคร์ ไสยศาตร์ละเอียดกว่าเชื้อโรคเยอะ ในเมื่อเรามีความมั่นใจจริง ๆ สิ่งที่หยาบกว่าทำไมจะกันไม่ได้” แต่ที่อาตมารอดจากเอดส์มาได้จนทุกวันนี้ เพราะไม่เคยไปยุ่งกับใคร...!
*************************

              “เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่ไปใส่ใจนัก ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก
              คุณยายประคิน อยู่เชียงใหม่ อายุ ๘๐ กว่าแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอด แต่บ้านนั้นแปลก ทั้งบ้านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้นเลย ยายแกนั่งรอวันตาย บางวันยายก็นั่งหัวเราะ ลูกสาวก็ถาม “แม่ ๆ หัวเราะอะไร ?” ยายก็บอกว่า “แม่กำลังดูโรค มันไม่รู้หรอกว่า ถ้ามันเล่นข้าตาย มันก็โดนเผาไปด้วย” ยายแกหัวเราะขำเชื้อโรค
              ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่า คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นส่ิงที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง
              “คนที่นั่งรอความตายถึงขนาดหัวเราะให้กับความตายได้นี่หายากมาก”
      ถาม :  ทำบุญโดยถวายเครื่องปรับอากาศจะมีอานิสงส์อย่างไร ?
      ตอบ :  เกิดมาชาติใหม่ น่าจะเย็นกายเย็นใจ ประเภทอยู่เย็นเป็นสุข
*************************

      ถาม :  นั่งสมาธิต้องนั่งอย่างไร ?
      ตอบ :  นั่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลายืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา อยู๋ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ไปคิดเรื่องอื่น
      ถาม :  จะรู้ได้อย่างไร ว่าสมาธิเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว ?
      ตอบ :  ไปศึกษาเรื่องการทรงฌาน แล้วทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ขาดช่วง ถ้าทำแล้วขาดช่วง กิเลสกินได้ สมาธิจะถอยหลัง ก็เลยอยู่ที่เราจะต้องใช้สติประคบประคองกำลังใจให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อย่าให้ขาด ถ้าทำได้ไม่ขาดช่วง เวลาสมาธิก้าวหน้าขึ้นเราจะรู้ได้ เพราะผลที่เกิดก็เหมือนกับทำตำราบอกเอาไว้
*************************

      ถาม :  จะถวายผ้าไตรจีวรในระหว่างพรรษา พระท่านจะรับได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าคนถวายสะดวกเวลาไหนก็ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าระบุเวลาถวายจีวรเอาไว้ เรียกว่า จีวรกาล เพื่อป้องกันไม่ให้พระไปรบกวนขอชาวบ้านเรื่อยไป แต่นี่ถ้าโยมมีศรัทธาจะถวายเองก็รับเอาไว้ได้
      ถาม :  ถามพระ ท่านบอกว่าต้องไปถวายรูปอื่นต่อ ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านให้มีผ้าไตรจีวรชุดเดียว ถ้ามีมากกว่านั้นท่านใ้ห้ทำ วิกัป คือ อย่างน้อยต้องมีบุคคลอื่นร่วมเป็นเจ้าของด้วย เพื่อป้องกันพระเณรจะโลภแล้วไปสะสมของเอาไว้เยอะ ๆ
              จริง ๆ แล้วถ้าอยากถวายก็ถวายไปเถอะ ท่านที่รู้ท่านก็ส่งเข้าคลังเป็นของกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเอง ถึงเวลาใครจะใช้ก็ไปเบิกเอา ไ้ด้อานิสงส์สองต่อด้วย
*************************

      ถาม :  ไปเจอพระอยู่ในถ้ำ มีแม่ชีนั่งชุนจีวรให้ คิดว่าจะไปถวายจีวรท่าน เพราะอากาศที่นั่นเย็น ?
      ตอบ :  หาผ้าแบบที่เป็นสังฆาฏิสองชั้น จะเป็นผ้าสำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ ผ้าของพระธุงดงค์บางสายหนาเป็นผ้าใบเลยก็มี ถ้าได้จีวรแบบนั้นไปกันหนาวได้แน่นอน แต่อาตมาเคยห่มจีวรสองชั้นเข้าไปไม่กี่ทีก็เข็ด เพราะว่าหนักมาก ...!
*************************

      ถาม :  พระจะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร ?
      ตอบ :  จะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างน้อยต้องมีพรรษาพ้น ๕ ก็คือ พอออกพรรษาที่ ๕ แล้วก็เป็นได้
              ข้อที่สอง ต้องจบนักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะได้มีความรู้พอที่จะปกครองคนได้
              ข้อที่สาม ต้องเป็นบุคคลที่ทั้งพระและฆราวาสในบริเวณนั้น เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะเป็น โดยเฉพาะพระผู้บังคับบัญชาอย่างน้อย ๓ รูป กฎหมายระบุเอาไว้เลยว่า คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสในบริเวณใกล้เคียงวัดนั้น ลงความเห็นร่วมกันว่าท่านนี้ควรจะเป็น
              พูดง่าย ๆ ว่า ต้องให้ชาวบ้านและพระมีความเห็นร่วมกันว่าท่านสมควรเป็น ชาวบ้านฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ พระฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
*************************

      ถาม :  อยากได้ลูกน้องที่ดี ๆ เก่ง ๆ ต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ตั้งเครื่องบวงสรวง ขอกับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ
      ถาม :  ตั้งกลางแจ้งใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่…เมื่อสำเร็จแล้วก็แก้บนแบบนั้นอีก ๑ ชุด
*************************

      ถาม :  ถ้าต้องการเจิมรถ โดยไม่รบกวนท่าน ต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  เจิมเอง
      ถาม :  ใช้อะไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  แป้งหอม น้ำมันหอม คาถา บวกกับสมาธิเยอะ ๆ
      ถาม :  แล้วน้ำมันชาตรี ?
      ตอบ :  น้ำมันชาตรีเจิมได้ ดีที่สุดเลย เอาอย่างนี้สิ หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจอาราธนาติดรถไว้ด้วย
              จริง ๆ แล้วเราสามารถเจิมเองได้ เวลาเจิมให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบตัวไว้ ว่าเป็นพระหรือครูบาอาจารย์ท่านเจิม ถ้ารู้สึกแน่น ๆ หรือของขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าใช่เลย ออกรถเอาสีอะไรก็ได้ แต่อย่าไปใช้สีดำ
*************************

      ถาม :  เป็นพระถอนขนรักแร้ได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ในพระวินัยห้ามไว้ชัดเลย
      ถาม :  โกนได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้
      ถาม :  ต้องให้ร่วงโดยธรรมชาติ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว เกิดจากพระไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วช่วยกันถอน มีคนเขาตำหนิว่า ในเมื่อเป็นพระแล้วทำไมยังทำอาการเหมือนฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พอพระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เลยห้าม ป้องกันชาวบ้านติเตียน พระแล้วเกิดโทษแก่เขา
*************************

      ถาม :  ภิกษุฉันน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ภิกษุสามเณรห้ามฉัน ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง ไวตามิลค์ น้ำเต้าหู้ ถือว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นถั่วจัดว่าเป็นอาหาร ถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร แต่ถ้าฆราวาสถือศีลแปดกินเข้าไปเถอะ ท่านไม่ได้ห้ามหรอก เพราะท่านห้ามศีลพระไม่ใช่ศีลฆราวาส
      ถาม :  นมสัตว์ห้ามไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากเป็นนมข้น พระธรรมยุติจะไม่ฉัน เนื่องจากมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องพูดถึงไมโล โอวัลติน นั่นเป็นข้าวบ้าง ไข่บ้าง ยิ่งเป็นอาหารหนักเข้าไปใหญ่
              นึกถึงหลวงตาบัว ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ ไมโล โอวัลติน หน้าตาเป็นอย่างไร แค่จะฝันก็ยังฝันไม่ถึงเลย เพราะไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องพูดว่าจะได้ฉัน
              ที่จะได้ฉันก็คือ ใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่เอามาต้มเป็นสมุนไพร​โดยเฉพาะน้ำต้มบอระเพ็ด น้ำต้มใบชุมเห็ด หรือถ้าเป็นพวกผลเภสัช อย่างสมอหรือมะขามป้อมก็พอได้อยู่ แต่อย่างอื่นในป่าไม่มี
              พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึง หลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) แต่ละเดือนเมื่ออาตมาลาหลวงพ่อได้ก็จะไปธุดงค์ พอกลับมาก็มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด ก็คือ ไปลามาไหว้ พี่โอท่านก็ปรารภว่า “ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีกาแฟว่ะ...!”
              ท่านบอกว่า ท่านขาดกาแฟไม่ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ...! แสดงว่าเป็นเอามาก อาตมาก็เพิ่งรู้จากหลวงพี่โอนั่นแหละ ว่ากาแฟมีทั้งฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะไม่ได้ฉัน
*************************