​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๖

 

      ถาม :  ท่านให้พร สิทธิกิจจัง แปลว่าอะไรครับ ?
      ตอบสิทธิกิจจัง ขอให้การงานสำเร็จ
              สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างจงสำเร็จ
              สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ขอให้มีลาภตลอดกาลนาน
              สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจที่ยั่งยืน
              สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ
*************************

              “ในเรื่องของศีลพระ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า ศีล ๑๐ ก็พอแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่าพระควรจะต้องเป็นอย่างนั้น
              ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะตำหนิเอา หรือขาดความเลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติศีลส่วนหนึ่งเพื่อตามใจชาวบ้าน เป็นศีลเพื่อชาวโลก ป้องกันเขากล่าวร้าย ว่าติเตียนพระสงฆ์”
*************************

              พระภัททิยะศากยราชา เป็นพระราชาของแคว้นศากยะ เป็นพระญาติพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า พอท่านมาบวชในพระพุทธศาสนา นอนกลางดินกินกลางทราย ท่านก็รำพึงว่า “อโห...สึขขัง สุขจริงหนอ”
              พอพระปุถุชนได้ยินเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า บอกว่าพระภัททิยะศากยราชาไปรำพึงถึงราชสมบัติ คงจะสึกในเวลาอันไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระภัททิยะไม่ได้รำพึงถึงราชสมบัติ แต่รำพึงถึงความสุขที่ไม่มีราชสมบัตินั้น
              ตอนที่ครองราชสมบัติอยู่ จะต้องทำมาหากินทุกอย่าง จะต้องสู้รบจะต้องดูแลประชาชน จะต้องคอยระแวดระวังว่าคนจะชิงราชสมบัติ แต่ละวันนอนไม่เต็มตาสักวัน มัวแต่หวาดผวา พอทิ้งหมดทุกอย่าง มานอนกลางดินกินกลางทราย กลับหลับสบาย ไม่มีอะไรให้ห่วง
              ทำอย่างนั้นให้ได้นะ ถึงเวลาเราก็ไปตัวเปล่า อโห...สุขขัง”
*************************

              “โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู
              อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากว่าไปลงเสียเอง
              สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่งกว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง”
      ถาม :  ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ?
      ตอบ :  ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมีในคัมภีร์ธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท
              ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตา เพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่
              แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าากรสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ
              มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย...!
              ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวช ด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาด มีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์
              ลูกศิษย์ก็บอกว่า “พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?” ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้
              พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกล้วคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่าปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถาม และอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า “อโห...ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ”
              ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม “อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?” พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห...ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
              จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ “ฝันเปียก” ลูกศิษย์เอาสบงไปซักเห็นเข้าจึงถามว่า “ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้วทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?” พระมหาเทวะก็บอกว่า พระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้
              มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือคำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่
              เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว...! จะว่าไปแล้วกำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย
              จากสาเหตุที่มุสลิมทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา ใช้เวลาเผาคัมภีร์ทิ้งอยู่สองเดือน นึกเอาแล้วกันว่ามีคัมภีร์พุทธศาสนาจำนวนมหาศาลแค่ไหน ? จึงทำให้คัมภีร์พุทธเถรวาทส่วนใหญ่สูญหายไป ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นของฝ่ายสันตกฤติ
              ในเมื่อไม่มีของเถรวาทมาเปรียบเทียบ จึงไม่รู้ว่ามหายานต่างจากของเราเท่าไร คัมภีร์ของมหายานบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต คัมภีร์ของเถรวาทบันทึกด้วยบาลี นี่ก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน
              ข้อดีของบาลีก็คือ เป็นภาษาที่เคนเขาเลิกใช้แล้ว ในเมื่อเลิกใช้แล้วความหมายจึงไม่เปลี่ยน เขียนอย่างไรก็แปลอย่างนั้น ภาษาสันสกฤตก็มีข้อดีของเขา ก็คือ บันทึกแล้วคนทั่วไปอ่านได้ เพราะว่าอินเดียใช้ภาษาสันตสกฤตบันทึกพวกหนังสือหรือคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นปกติ
              เหตุนี้จึงทำให้คัมภีร์มหายานแพร่หลายมากกว่า เพราะคนอ่านออกไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนแทบเป็นแทบตายกว่าจะแปลได้อย่างของบาลี แต่ของบาลีเนื้อความไม่เพี้ยน ยกเว้นว่าคนแปลจะแปลผิดเสียเอง
              หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถืได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน
              มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกายสุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือ ตาข่าย
              เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่าย คือ พระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าอยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน
              แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด
              ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น...ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน
              โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้วไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้
*************************

              “ตอนนี้บ้านเราเป็นศาสนาปฏิรูป เป็นศาสนาพุทธที่มีตรีมูรติ มีพระพรหม มีพระพิฆเณศวร์ มีเจ้าแม่กวนอิม แม้กกระทั่งพระสงฆ์ก็โดนทำให้กลายเป็นลักษณะของเทพ ก็คือ ได้รับการยกย่องบูชาเฉพาะตนไปเลย
              ลักษณะบูชาเฉพาะตนอย่างนี้เป็นลักษณะการบูชาแบบฮินดู ที่เขาบูชาเทพ กลายเป็นว่าสิ่งที่ศาสนิกอื่นปฏิบัติในศาสนาของเขา คนไทยรับมาโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อรับเอามาโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่ตนเองเคารพ อย่างเช่นท่านมรณภาพไป ก็สร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬารหรือสร้างมณฑปบรรจุสังขารเอาไว้ให้ลูกหลานบูชาต่อ
              กลายเป็นว่า ติดอยู่เฉพาะในส่วนของเปลือกเท่านั้น เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริง แต่ถามว่าดีไหม ? อย่างน้อยก็มีความดีอยู่ส่วนหนึ่ง ก็คือคนยังเกาะความดีอยู่ในขอบเขตของศาสนาอยู่ ยังอยู่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญอยู่ว่าควรกระทำ แต่คราวนี้ ถ้ายึดเกาะมากจนเกินไป ก็จะเอาตัวไม่รอด คำว่าเอาตัวไม่รอดในที่นี้ คือหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังไปยึดสังขารไปยึดตัวบุคคลอยู่”
*************************

              “รูปหล่อที่เห็นก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน อาตมาเรียกหลวงปู่มหาอำพันจนติดปาก พอบอกว่า ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ กลับไม่มีใครรู้จัก ถึงมีคนรู้จักแต่ก็รู้จักน้อย
              ขำตัวเองสมัยวัยรุ่น มีความรู้สึกว่าพระที่เป็นเจ้าคุณนั้นหาดีได้ยาก คราวนี้ไปได้เหรียญมา เห็นเขียนว่า เจ้าคุณนรรัตนราชนามิต (ธมฺมวิตกฺโก) ก็เลยไม่สนใ จึงโดนพี่ชายหลอกเอาเหรียญไปฟรี ๆ ตอนหลังถึงมารู้ว่าพระจะดีหรือไม่ดี ไม่ไ้ด้อยู่ที่ยศตำแหน่ง
              จริง ๆ แล้ว หลวงปู่มหาอำพันท่านมีน้ำหนักกว่า ๘๐ กิโลกรัม แต่พอป่วย เข้าโรงพยาบาลสองครั้ง นำ้เหนักท่านลดเหลือแค่ ๔๐ กว่ากิโลกรัม
              หลวงปู่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสันมาก ๆ ท่านเป็นโรคด่างขาวจนขาวทั้งองค์ ก็เลยกลายเป็นผิวขาวชมพู เพราะฉะนั้น...คนเห็นหลวงปู่รูปร่างสูงใหญ่ แล้วผิวขาวเป็นแบบนั้น ก็นึกว่าท่านเป็นฝรั่ง พอไปคุยภาษาอังกฤษกับท่านด้วย ท่านตอบน้ำไหลไฟดับอีก ก็ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะท่านเป็นนักเรียนทุน King’s Scholarship รุ่นแรก ท่านไปไหว้พระแก้วมรกต บนขอให้สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ปรากฎว่ามีเสียงเข้าหูชัด ๆ ว่า “air vision” เกี่ยวกับเรื่องการบิน ท่านก็เลยไปเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องการบิน แล้วไปให้อาจารย์ตรวจ อาจารย์ไม่พอใจตรงไหนก็ไปแก้ใหม่ หลายเที่ยวดวยกัน จนกระทั่งมั่นใจว่าเรื่งอนี้ท่านหลับตาก็เขียนได้ พอไปสอบปรากฎว่า หัวข้อออกมาให้เขียนเรื่องนี้จริง ๆ ท่านก็เลยสอบได้ที่ ๑
              ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่สอบได้ที่ ๑ แต่เรียนไม่จบ เพราะไม่ชินกับอากาศทางอังกฤษ จึงป่วยหนัก กลับมารักษาตัวอยู่ที่เมืองไทยปีกว่า เพื่อน ๆ เรียนจบกันกลับมา กลายเป็นคุณหลวง คุณพระไปหมด ท่านเองป่วยหนักจะกลับไปเรียนก็ไม่ทันเพื่อนแล้ว
              พอดีคุณแม่ขอให้บวช ก็เลยบวช ด้วความที่ท่านเป็นบุคคลที่ว่านอนสอนง่าย มีอปจายนมัยสูงมาก พ่อแม่บอกอย่างไรคืออย่างนั้น ท่านก็บวชให้
              หลวงปู่ท่านติดยาเส้น สูบตอนอยู่เมืองนอก สูบด้วยกล้อง ท่านน่าจะสูบมาทุกยี่ห้อ เพราะบางทีท่านก็มานั่งบรรยายให้อาตมาฟังว่า แต่ละอย่างรสชาติเป็นอย่างไร ฮาวานนาหอมฉุน อียิปเชียนออกหวานอย่างไร ท่านบอกได้หมด
              ถามหลวงปู่ว่าเลิกตอนไหน ? ท่านบอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง หลังเพลนั่งดูดยาเส้นอยู่ ดูดไปดูดมา “ยาก็แพง กล้องก็แพง เราเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยหาเงินให้พ่อแม่เลย ไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ได้ทำงานก็มาบวชแล้ว ตกลงว่าไม่ได้ตอบแทนคุณอะไรพ่อแม่เลย แล้วยังมาล้างผลาญพ่อแม่อีก” เพราะยาเส้นพวกนั้นต้องสั่งจากเมืองนอกทั้งหมด
              ท่านก็เลยโยนกล้องลงถังขยะ ตั้งแต่นั้นมาก็จบกัน
              เราจะเห็นสองอย่างที่ชัดที่สุด อย่างแรกคือ อปจายนมัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน หลวงปู่ท่านอ่อนน้อมถึงขนาดที่ว่า เจออาตมาที่เพิ่งบวช ท่านก็ยกมือไหว้ เล่นเอาอาตมานี่เหงื่อแตกพลั่ก
              อย่างที่สองคือ ความเด็ดขาดของกำลังใจ เลิกเป็นเลิก ไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา ท่านสูบกล้องเลยนะ แรงกว่าบุหรี่เยอะ แต่ท่านเลิกแล้วเลิกเลย
              จุดต่อไปก็คือ พอท่านเจ้าคุณนรฯ บวชเข้ามา กิตติศัพท์ความที่เป็นคนซื่อตรง จงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๖ และความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ศึกษาทุกอย่าง เรียนจนรู้จริงทุกอย่าง ก็เลยทำให้หลวงปู่ท่านไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองบวชก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่บวชก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ แปดเดือน
              หลวงปู่ท่านไปคบหาสมาคมสอบถามขอความรู้ด้วย ทีนี้ต่างคนต่างเก่งภาษาอังกฤษ อ่านตำรามามากพอ ๆ กัน บางทีเวลาคุยกันก็พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถ้าพวกเราอ่านตำราที่เจ้าคุณนรฯ เขียน ท่านเขียนตำราใช้ภาษาอังกฤษประกอบเยอะมาก แต่ท่านไม่เคยไปเมืองนอกเลยนะ ท่านฝึกจนแตกฉานเอง
              ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านทำสมาธิบ่อย ๆ จนเกิดผล ท่านก็บอกว่าให้หลวงปู่ลองทำดูบ้าง หลวงปู่ท่านเป็นคนว่าง่าย พอชอบใจท่านก็ลองทำดูบ้าง ทำไปทำมา ท่านอยากได้ตาทิพย์ แล้วท่านไม่เข้าใจ
              หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านได้ตาทิพย์ แต่ท่านก็อธิบายให้หลวงปู่มหาอำพันเข้าใจไม่ด้ ว่าตาทิพย์คืออะไร ? จนกระทั่งท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพ พอถึงปี ๒๕๑๖ หลวงปู่ก็ได้พบกับหลวงพ่อวัดท่าซุง
              หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้แยกแยะให้ว่า ตาทิพย์กับทิพจักขุนั้นคนละเรื่องกัน ตาทิพย์เป็นเรื่องของพรหมเทวดาหรือผี เขาจะมีเป็นปกติ แต่ทิพจักขุญาณ ก็คือความรู้เหมือนกับมีตาทิพย์ อยากรู้เรื่องอะไรก็จะรู้ได้
              นั่นแหละ...สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของหลวงปู่จึงได้หลุดมา หลวงปู่จึงได้กราบหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่อายุของหลวงปู่ก็มากกว่าเป็นรอบ พรรษาก็มากกว่าเป็นสิบพรรษา
              ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ในเรื่องการเอาจริงเอาจังและใฝ่รู้ใครมีโอกาสเข้าไปดูในกุฏิหลวงปู่ จะเห็นว่าตำราแน่นไปทั้งห้องเลยถึงเวลาท่านก็คว้าหนังสือขึ้นมานั่งอ่านสบายใจ ไม่จบไม่เลิก บางทีอาตมาก็นั่งสัปหงกรอ
              สี่ทุ่มก็แล้ว..ห้าทุ่มก็แล้ว คนสมาธิดีก็เหมือนกับดิ่งลึกเข้าไปอยู่กับเนื้อหา จึงไม่รู้ถึงเวลาที่เปลี่ยนไป พอท่านเงยหน้าขึ้นมาเห็นอาตมาสัปหงกครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ “อ้าว...นอนดีกว่า แต่...ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะ” แล้วก็ไปสวดมนต์ไหว้พระอีกเป็นชั่วโมง แล้วถึงจะเข้านอน
              อาตมามีจดหมายจากหลวงปู่อยู่หลายฉบับ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุงไม่สะดวกที่จะใช้โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์เป็นของกลาง ถ้าใช้ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้จ่าย
              มือถือก็ไม่ได้มีเกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ จำได้ว่ามือถือเครื่องแรกที่หลวงพ่อสั่งติดตั้ง ราคาแปดหมื่นบาท เครื่องใหญ่เท่ากระเป๋าเอกสารหนักอึ้งเลย ไปไหนก็ต้องหิ้วไปด้วย”
*************************

              “ปาลิภาสา อุตฺตมภาสา แปลว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาอันสูงสุด ในอรรถกถาท่านบอกว่า ที่เป็นภาษาสูงสุดเพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสเป็นภาษาบาลี พระพรหมสนทนากันด้วยภาษาบาลี บุคคลต้นกัปใช้ภาษาบาลีในการสื่อสาร
              เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ ถ้าไม่มีใครสอนภาษา ไม่เคยได้ยินภาษาอะไรมาก่อนเลย จะสื่อสารด้วยภาษาบาลี อย่างเช่น “อะมะ...ข้าแต่แม่” เพราะฉะนั้น ...ความพิเศษของภาษาบาลี ก็ดังที่ได้วิสัชนามานี้แล เอวัง.”
*************************

      ถาม :  วิธีการฝึกความเพียร ?
      ตอบ :  การฝึกความเพียร แค่ทำทุกอย่างบ่อย ๆ โดยไม่เบื่อเสียก่อนนั่นแหละคือการฝึก...!
              เรียนก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อนอ่านหนังสือ ๑ จบ เราต้องอ่านให้ได้อย่างน้อย ๒๐ จบ นั่นและคือความเพียร เพื่อนทำสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๕ นาทีเหมืนอกัน แต่เราทำ ๕ รอบ ๘ รอบ นั่นคือความเพียร
              สำคัญตรงที่ว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก กำลังใจต้องไม่ลดลงเบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ กำลังใจต้องเท่ากับครั้งแรกที่ทำ ไม่ใช่พอครั้งท้าย ๆ ก็ทำแบบซังกะตาย ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ความเพียร
              บุคคลที่ทำความเพียรต้องมุ่งประโยขน์ ดูตัวอย่างของพระมหาชนกท่านว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาถามว่าท่านจะว่ายไปทำไม ฝั่งยังมองไม่เห็นเลยว่าอยู่ตรงไหน ?
              พระมหาชนกตอบว่า ที่ท่านเพียรพยายามว่ายอยู่ ก็เพื่อหวังบรรลุถึงฝั่ง ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไม่ไกล ถ้าท่านรามือปล่อยให้จมน้ำตาย ก็ถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าหากฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง หลังจากที่เพียรสุดกำลังแล้ว ถึงจมน้ำตายก็ยังตอบตัวเองได้ว่า เราได้ใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว นางมณีเมขลาได้รับคำตอบแล้วชอบใจ ก็เลยช่วยอุ้มไปส่ง
      ถาม :  อารมณ์ตรงนี้เหมือนกับเราตื้อสู้กิเลส แล้วแพ้ ?
      ตอบแรก ๆ ก็จะเป็นอย่างนั้น ก็คือ กำลังของเรายังไม่พอหรอก เราแพ้กิเลสแน่ แต่พอทำไปบ่อย ๆ ก็จะเบาไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังของเราเข้มแข็งขึ้น กิเลสชักจะสู้เราไม่ได้ ก็ค่อย ๆ รามือถอยไป จนกระทั่งท้ายสุดเราไม่ต้องใช้ความพยายาม เราก็สามารถทำได้อย่างสบาย ๆ
              ลองไปดูพวกที่รักษาศีลไม่ได้ หรือไม่ก็ลองนึกถึงตัวเราที่รักษาศีลใหม่ ๆ ผิดแล้วผิดอีก แต่เราก็พยายามทำอย่างไรที่จะให้ศีลทุกสิขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้
              ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย สติ สมาธิ ปัญญา ความสามารถมีเท่าไรต้องทุ่มเทลงไปจนหมด แต่พอมาทุกวันนี้ศีลทรงตัวแล้วเรา ไม่เห็นต้องใช้ความพยายามอะไรเลย จะยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรก็อยู่ในศีล
              ขณะเดียวกันที่เขายังรักษาศีลไม่ได้ เขาจะเห็นเหมือนกับแบกช้างทั้งตัว ต้องทุ่มเทความสามารถชนิดจนหยดสุดท้ายแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอด ถ้ามองตรงนี้เราจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน
              หลังจากที่ได้เพียรพยายามมามาระยะหนึ่ง ความเข้มแข็งจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ งานก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด ทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำ ถึงได้บอกว่า ถ้าเบาก็ถูก ถ้าหนักยังไม่ใช่
*************************

              “ตอนอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ อาจารย์นั่งตรวจข้อสอบ อาตมาก็เลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปถามว่า “อาจารย์ครับ...วิชานี้ผมได้เท่าไร ?” อาจารย์ท่านถามว่าเลขที่เท่าไร ? “เลขที่ ๑๖ ครับ”
              พออาจารย์เปิดดูก็บอกว่า “ได้เต็ม...เก่งนี่ ทำคะแนนได้เต็ม ไม่พร่องสักคะแนนเดียว” ก็เรียนอาจารย์ไปว่า “อาจารย์ครับ...วิชาอาจารย์ผมอ่านน้อยที่สุดเลย ประมาณ ๒๐ เที่ยวเท่านั้น...!”
              คุณลองนึกถึง...วิชาที่อาตมาอ่านมากที่สุดจะกี่เที่ยว ? ขณะเดียวกันพวกเราเคยอ่านหนังสือจบจริง ๆ สักเที่ยวไหม ?
              ลองไปใช้ดู ...ไม่ต้องถึง ๒๐ เที่ยวหรอก สัก ๑๐ เที่ยวก็พอ บางอย่างเราอาจจะไม่เข้าใจในการอ่านครั้งแรก พออ่านครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ผ่านไป จะเริ่มจับเค้าหรือจับใจความได้
              พอครั้งที่ ๕ ครั้งที่ ๖ ครั้งที่ ๗ ครั้งที่ ๘ คราวนี้ความกระจ่างจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า สุตัง ปริโยทเปติ อะไรก็ตามได้รู้ได้ฟังมา ถ้าหากได้รับฟังซ้ำเข้า ก็จะเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้น
              ไปลองทำให้ระบือลือลั่นเสียที เต็มทุกวิชาไม่ได้ก็เอาให้เต็มสัก ๒-๓ วิชาก็ยังดี ไม่ใช่ทำทีไรก็ได้แค่คาบเส้นต่องแต่ง ๆ หรือตกจนต้องซ่อมเป็นประจำ”
*************************