​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๕

 

              คำว่า สามี แปลว่า เจ้านาย
              “พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ข้าพเจ้าเป็นทานของพระพุทธเจ้า พุทโธ เม สามิกิสสะโร พระพุทธเจ้าเป็นนายเหนือข้าพเจ้า”
*************************

      ถาม :  (เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ) ?
      ตอบ :  โรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับกาฝาก สภาพร่างกายของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าจะแยกกาฝากออกจากต้นไม้ได้ จะต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่า ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นไม้ ...กาฝากก็ไม่ใช่กาฝาก
              ทั้งสองอย่างล้วนเป็นส่ิงที่สมมติขึ้นมา ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงแท้ก็จะเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นสมมติกับปรมัตถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะต่างคนต่างไป ทำให้หายจากอาการเจ็บ่วย
              บางทีเราจะสงสัยว่า ทำไมบางคนปฏิบัติธรรมหายจากโรคได้ เพราะท่านเห็นความจริงตรงจุดนี้ ไปลองพยายามดู....ถ้าหากบุญพาวาสนาช่วย เราเข้าถึงจริง ๆ ว่า สิ่งไหนเป็นสมมติ สิ่งไหนเป็นปรมัตถ์ แยกออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะไปเอง ตัวใครตัวมัน
              ความเจ็บป่วยเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราและมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็หมดความอยากที่จะเกิด เราก็เอาใจเกาะพระเกาะนิพพานเท่ากับเรามีโอกาสหลุดพ้นสูงกว่าคนอื่นเขา เห็นทุกข์เห็นสภาพเป็นจริง ว่าร่างกายมีปกติเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็หมดความต้องการ ท้ายสุดก็คิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชดใช้กรรมไป จบจากชาตินี้เราก็ไปพระนิพพานแล้ว
              โดยเฉพาะคำว่าชาตินี้ บางทีฟังดูว่าไกล เราต้องคิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้วันเดียว หรืออยู่กับร่างกายแค่ชั่วลมหายใจเดียว พ้นจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า หรือไม่ก็เราหายใจออกก็ไม่รู้จะได้หายใจเข้าหรือไม่...ก็จะพ้นไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าแค่เดี๋ยวเดียว ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก
              บางคนเขาสงสัยว่า อาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้แล้วอยู่ได้อย่างไร ก็อยู่กับร่างกายวันเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็อยู่แค่อีกวันหนึ่ง แต่อาการป่วยนี้ดี...ทำให้ไม่อ้วน เพราะโรคเอาไปกินหมด ไม่เหลือไว้ให้เลย
      ถาม :  ถ้าเราคิดว่าเราอยู่แค่วันเดียว ?
      ตอบ :  นั่นยังหยาบไป เอาแค่ลมหายใจก็พอ หายใจออกเราอาจจะไม่ได้หายใจเข้าก็ได้ หายใจเข้าเราอาจจะไม่ได้หายใจออกก็ได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว
              ในเมื่อรู้สึกว่าเราจะพ้นจากร่างกายในชั่วอึดใจนี้ ก็จะอยู่ด้วยความปีติปลื้มใจ เพราะเราไม่ต้องทุกข์กับร่างกายนาน แค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากตรงนี้ก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่พระนิพพาน ที่อื่นไม่เอาแล้ว
      ถาม :  รู้สึกแย่ ?
      ตอบ :  แต่ละคนไม่มีใครไม่แย่หรอก สมัยก่อนรบทัพจับศึกกันมาตั้งเท่าไร ฆ่าเขาเอาไว้ตั้งเท่าไร ใช้คืนเขานิดหน่อยไม่ได้หรือ ?
*************************

              “เช้ามืดวันที่ ๑ กันยายน กำลังนอนภาวนาอยู่ นิมิตเห็นน้ำป่ากำลังพุ่งเข้าใส่หมู่บ้านที่สุโขทัย สัญชาตญาณของตัวเองทำให้อดไม่ได้ กระชั้นชิดจนไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ
              ถ้าใครไม่เคยเห็นน้ำป่า จะไม่รู้หรอกว่ามาเร็วและมาแรงขนาดไหน ดูจากสภาพแล้วคงจะกวาดไปทั้งหมู่บ้าน และเป็นเวลากลางคืนตีสองกว่า อาตมาก็เลยต้องเบนน้ำออก แทนที่จะถล่มทั้งหมู่บ้านก็เหลือแค่น้ำท่วมเท่านั้น
              ทันทีที่ทำเสร็จ กระแสกรรมที่จะเกิดแก่คนหมู่มากก็ถล่มใส่อาตมา ความรู้สึกเหมือนกับโดนใครยิงด้วยปืนกล หรือไม่ก็ผึ้งฝูงหนึ่งมารุมต่อยพร้อม ๆ กัน พอไปถึงวัดไร่ขิงก็นอนยาว ลุกไม่ขึ้น
              คนทดสอบเขาทดสอบได้แสบมากเลย คือ วิสัยเดิมที่คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อาตมาทำมาเยอะต่อเยอะ ภาพที่เขาทำให้ปรากฎก็ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ เพราะว่าน้ำป่ามาถึงบ้านแล้ว ก็มีอยู่แค่สองอย่างคือ ช่วยกับไม่ช่วย
              ความเคยชินที่คิดจะช่วยเขามาทุกชาติก็ต้องช่วย พอช่วยแล้วก็ต้องรับเละเอง หลังจากที่นอนเลื้อยไปวันหนึ่งแล้ว ลุกไม่ไหว ก็มานึกถึงหลวงปู่พุฒ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก มั่นใจเลยว่าท่านมรณภาพเมื่อไรท่านไปพระนิพพานแน่
              แต่ปรากฎว่าพอหลวงปู่พุฒมรณภาพ ไปได้แค่พรหมชั้น ๑๒ ถามว่า พรหมชั้นที่ ๑๒ ดีหรือไม่? ดี...เพราะเป็นสุทธาวาสพรหม ไม่ต้องเกิดใหม่บำเพ็ญบารมีไปพระนิพพานข้างบนได้ แต่ก็ทำให้ช้าไปอีกหลายกัป
              เหตุที่ท่านไปไม่ได้ เพราะว่าก่อนท่านมรณภาพมีนิมิตเป็นสมุดบัญชีของวัด ท่านยังไม่ได้มอบหมายให้ใครรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จิตพะวงอยู่นิดเดียวเอง เลยไปได้แค่พรหม
              เรื่องการทดสอบนั้น มีการทดสอบทั้งหลับทั้งตื่น ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที เขาทดสอบเราอยู่ตลอด อย่างที่เคยตักเตือนพวกเราว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด ต้องระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปไม่รอด และทดสอบได้ร้ายกาจจริง ๆ เขาสอบแบบไม่เหลือเวลาให้ตัดสินใจ เพราะอีกไม่กี่ศอกน้ำก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว
              โดยเฉพาะคนที่เรารัก จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้น...เวลาที่มารเขาทดสอบเรา ข้อสอบเขาออกได้โหดมากไม่เปิดโอกาสให้เราด้วยประการทั้งปวง เพราะเขาต้องการจะรั้งเราให้อยู่
              หลายต่อหลายคนเวลาปฏิบัติธรรมไประดับหนึ่ง พอกิเลสดิ้นทำท่าจะตาย เราก็ไปปล่อย แต่ถ้าเราจะตายกิเลสไม่เคยปล่อยเรา
ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้ดี สอบตกก็ต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน สอบได้ก็ผ่านไป
              แค่เล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้ไปยุ่งกับชาวบ้าน เลยป่วยจนงอมพระราม ลองไปหาข่าวดูว่ามีน้ำท่วมสุโขทัยบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่มีคนตายหรอก เพราะช่วยเขาไปแล้ว”
*************************

              “ถ้าใครไม่เคยเจอน้ำป่า จะไม่รู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน มาทีอย่างกับภูเขาถล่ม
              น้ำป่านั้นเกิดจากท่อนไม้บ้าง ใบไม้บ้าง มาขวางลำธาร พอสิ่งกีดขวางสะสมมากเข้า ๆ ก็เท่ากับเป็นเขื่อนกั้นน้ำ พอเวลาน้ำสูงขึ้น แรงดันก็มากขึ้น พอกั้นไม่อยู่พังโครมลงไปก็เป็นน้ำป่า
              อาตมาเคยธุดงค์อยู่รอบหนึ่ง เจอน้ำป่าด้วย เจอพายุลูกเห็บด้วย ช่วงนั้นเดินตัดทุ่งใหญ่ขึ้นไปทางอุ้มผาง พอตอนเย็นก็ปักกลด ดินฟ้ามืด ๆ พิกล สักพักฝนก็เกรียวกราวมา ประเภทฝนเม็ดโต ๆ บริเวณที่อาตมาอยู่ฝนก็ตก อาตมาก็แปลกใจว่าตาลายหรือเปล่า เพราะเม็ดฝนเด้งได้ กระทบพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปทั่ว
              ความจริงนั่นเป็นลูกเห็บ พอตกกระทบพื้นแล้วก็เด้ง แรก ๆ ขนาดเท่านิ้วก้อย สักพักเม็ดเท่านิ้วชี้ สักพักเม็ดเท่านิ้วโป้ง ตกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ต้นไม้ใบหญ้าปรุหมด จากป่าที่รกกลายเป็นโล่งไปเลย
              หลังจากนั้นฝนจริง ๆ ก็มา กระหน่ำอยู่ประมาณสองชั่วโมง โชคดีตอนนั้นมีเพิงหินอยู่หน่อยหนึ่งพอที่จะมุดหลบเข้าไปได้ พอฝนหยุดตั้งใจว่าเดี๋ยวจะหาฟืนมาก่อไฟ จะได้ตากผ้าที่เปียก
              ยังไม่ทันออกหาฟืนเลย เสียงน้ำป่ามาเหมือนกับภูเขาถล่ม ม้วนกลิ้งตกลงมา ถ้าหนีก็หนีไม่ทัน โชคดีตรงที่ว่า จุดที่ไปหลบฝนอยู่นั้นเป็นเนินเขา ไม่ได้ไปขวางทางนำ้ เลยปลอดภัย
              บริเวณด้านข้างเป็นลำห้วยกว้างมาก เป็นห้วยแห้งที่ไม่มีน้ำ เนื่องจากเป็นหน้าแล้ง เพราะฉะนั้น...อย่าไปไว้ใจว่าป่าหน้าแล้งแล้วะจไม่มีฝน ไปป่าเมื่อไรหน้าไหนก็เจอฝน”
*************************

              “เมื่อสองสามวันก่อน แฟลชไดร์ฟที่บรรจุข้อมูลได้หายไป มีข้อมูลรายงานสองเล่มที่ยังทำไม่เสร็จคาอยู่ในนั้น ตัดใจว่าทำรายงานใหม่ก็ได้ เพราะหาแฟลชไดร์ฟจนละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เจอ
              ปรากฎว่าเช้าวันที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านนั่นแหละแฟลชไดร์ฟมาวางอยู่บนกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะว่าอาตมาหิ้วกระเป๋าใบนี้ไปหลายต่อหลายที่ แล้วอยู่ ๆ แฟลชไดร์ฟจะไปวางอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
              เรื่องอย่างนี้เจอมาบ่อยเสียจนชินแล้ว จะมีใครบางคนแกล้งขโมยของสำคัญบางอย่างเพื่อทดสอบอารมณ์ พออาตมาไม่ใส่ใจ ทำความกระทบกระเทือนไม่ได้ เขาก็จะคืนให้ แต่ก่อนหน้านี้เขาคืนให้แบบซุก ๆ ไว้ทำเหมือนกับว่าอาตมาลืม หาไม่ทั่วเลยไม่เจอ แต่คราวนี้เขารู้ว่าอาตมาไม่ลืมแน่
              ถ้าเป็นคนอื่นคงไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าตัวเองแก่จนเป้นอัลไซเมอร์แล้วหรือ แต่นี่อาตมามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยเอามาคืนให้โต้ง ๆ ให้รู้ว่าเราไปเองจริง ๆ
              อย่างครั้งก่อนตอนฉันข้าวก็เหมือนกัน ปกติฉันเช้าหรือฉันเพล แม่ชีเขาจะเตรียมกาน้ำร้อนเอาไว้ให้ เพราะอาตมาติดนิสัยตอนไปพม่าว่าประเทศเขาสิ่งของสกปรกมกา ก็เลยลวกจานด้วยน้ำร้อนก่อน จึงติดเป็นนิสัยว่าจะลวกจานลวกช้อนด้วยน้ำร้อนเสมอ
              วันนั้นพอขึ้นไปแล้วไม่เห็นกาน้ำร้อน มองซ้ายมองขวา เห็นคนอื่นงานเต็มมือหมด คิดว่าเขาคงจะลืม ก็หยิบเหยือกน้ำเย็นขึ้นมา ตั้งใจจะล้างด้วยน้ำเย็น ปรากฏว่ากาน้ำร้อนเด้งขึ้น มาต่อหน้าต่อตา พระสี่ห้ารูปที่นั่งข้าง ๆ อ้าปากหน้าตาค้าง สงสัยว่ากาน้ำร้อนโผล่มาจากไหน...!
              ความจริงก็ตั้งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เขาบังไม่ให้เห็นเพื่อทดสอบอาตมา ถ้าเป็นคนอื่นประเภทขึ้โมโหหน่อย อาจจะด่าไปแล้ว ว่าของที่เคยตั้งอยู่ทุกวันทำไมไม่เอามาให้ แต่อาตมามองเห็นคนอื่นงานเต็มมืออยู่ ก็คิดว่าเขาอาจจะลืม จนกระทั่งบัดนี้พระทั้งสี่รูปนั้นก็ไม่รู้ว่ากาน้ำร้อนโผล่มาได้อย่างไร อาตมาก็ไม่ได้อธิบายให้ฟัง เวลาเขาทดสอบแบบนี้สนุกมากเลย
              ฉะนั้น...ระวังตัวระวังใจให้ดี ถ้ามารทดสอบใครแปลว่าคนนั้นมีคุณค่าพอจะให้ทดสอบได้แล้ว ถ้าขายังไม่ทดสอบแปลว่าเรายังแย่อยู่ อาตมาคิดว่าจะทดสอบไปทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรสักหน่อย แต่เขาก็ออกข้อสอบได้ทุกที ส่วนใหญ่มักจะชอบทดสอบตอนเราเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ประเภทง่วงนอนจนตาปิด คือเขารู้ว่าจังหวะนั้น ถ้ากำลังใจไม่ดีเราก็เสร็จเขา..!
*************************

      ถาม :  ที่ปฏิบัติมาจะมีบางกระแสที่ช่วยคนที่เขารักษาอยู่ แค่ไปสัมผัสเหมือนเราไปรับตรงนั้นมา ?
      ตอบ :  ก็ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาต้องรับเราไปช่วยเขา เราก็รับแทนไปเท่านั้นเอง
      ถาม :  บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วย ?
      ตอบ :  อาตมาที่แทบจะคลานอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหมือนกัน
      ถาม :  บางทีแค่คิดก็โดนแล้ว ?
      ตอบ :  คิดก็เป็นกรรม เขาเรียกมโนกรรม ถ้าพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม ถ้าทำเลยก็เป็นกายกรรม
      ถาม :  มาจากสาเหตุอะไรครับ ?
      ตอบ :  เราเคยมีกรรมเนื่องกับเขามาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
      ถาม :  ผมจะโดนบ่อยมาก ?
      ตอบ :  ไม่อยากโดนก็ต้องควบคุมกาย วาจา ใจ ของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะความคิด ถ้ายังควบคุมไม่ได้ก็สมควรที่จะโดน...!
              เพียงแต่ว่าคนอื่นจิตค่อนข้างจะหยาบ เวลาโดนจึงไม่รู้ ไปรู้เอาเฉพาะที่หนัก ๆ แต่ของคุณส่วนที่เบาก็ยังรู้ ก็แปลว่าความทุกข์ทรมานจะมีมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย
              เมื่อครู่เพิ่งจะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้าน แล้วตัวเองก็เดือดร้อน พอดีคุณก็มาช่วยยืนยันว่ายุ่งแล้วจะเดือดร้อนจริง ๆ
*************************

      ถาม :  บางทีเราเข้าใกล้คนที่มีกรณีแรง ๆ แล้วทำไมต้องหมดเรี่ยวหมดแรง ?
      ตอบ :  การรับสัมผัสสิ่งภายนอกก็ต้องใช้กำลัง อย่างเช่นพวกที่ใช้กำลังของทิพจักขุญาณก็ดี หรือพวกที่ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติ คราวนี้ในการใช้กำลัง ถ้าเราขาดการฝึกฝน ก็เหมือนกับการที่มีเงินในกระเป๋าน้อย แต่เราไปใช้ทีเดียวมาก ๆ เงินก็หมดกระเป๋าเท่านั้นแหละ
      ถาม :  จริง ๆ เราก็ไม่รู้ เขาเข้ามาใกล้ ๆ เท่านั้น ?
      ตอบ :  ต้องไปซ้อมให้ดีกว่านี้ ให้รู้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ ๆ จะได้ถีบเขาออกไปไกล ๆ ได้...!
*************************

              “การทำบุญบางทีก็แสดงออกซึ่งจริตนิสย อย่างโยมเขายกสังฆทานหลาย ๆ ครั้ง โยมก็สบายใจมีความสุข ถ้าเป็นอาตมาจะถวายครั้งเดียวจบเลย คือเอารางวัลที่หนึ่งไปเลย ขี้เกียจเอารางวัลเล็ก ๆ บ่อย ๆ
              ฉะนั้น...นิสัยคนไม่เหมือนกัน การทำบุญก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าเราช่างสังเกตจะเห็นอะไรเยอะ อย่างของโยมก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าเราช่างสังเกตจะเห็นอะไรเยอะ อย่างของโยมถ้าไปเกิดใหม่จะมีลาภผลมาเรื่อย ๆ ไม่ขาด แต่นิสัยของอาตมาชอบทำทีเดียว ถึงเวลาลาภผลก็มาตูมทีเดียว อาจจะโดนภูเขาทองทับตายไปเลย...!”
*************************

      ถาม :  โทรไปตรวจสอบมาแล้วครับ น้ำท่วมสุโขทัยแต่ไม่มีคนตายครับ ?
      ตอบ :  ไม่มีหรอก ก็อาตมาไปขวางเอาไว้
      ถาม :  นี่เป็นกรรมาของท่านด้วยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เขาแค่ทดสอบว่า อาตมายังไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่เชื้อเดิมที่คิดจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่างไรก็อดใจไม่ได้หรอก คราวนี้เห็นหรือยังว่าสันดานนั้นแก้ยากแค่ไหน
              สันดานเป็นภาษาไทย บาลีเขาเรียกว่า สันตติ คือความสืบเนื่องมีการสั่งสมสืบเนื่องมาชาติแล้วชาติเล่า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทีนี้พอทำมาแล้ว เวลาเห็นเขาจะทุกข์จะตาย ก็อดไม่ได้ แล้วเวลาในการตัดสินใจก็ไม่มี มีเวลาแค่ ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้นเอง เพราะที่เห็นน้ำป่าห่างหมู่บ้านแค่ไม่กี่ศอกแล้ว ไม่อย่างนั้นได้ตายกันยกหมู่บ้านแน่
              บางทีนิมิตพวกนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เชื้อเก่าของเราทำไว้เยอะเหลือเกิน เมื่อทำเอาไว้เยอะ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเพื่อตนเองเพื่อผู้อื่น ก็มักจะตัดสินใจเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ นึกถึงตอนที่ไปขอลาพุทธภูมิ พระท่านห้ามไว้สองครั้ง พอครั้งที่สามท่านบอกลาได้ แต่งานเก่าให้ทำไปก่อน
              อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ ว่าตกลงได้ลาหรือไม่ได้ลา คือ ลาได้แต่งานเก่าทำไปก่อน ก็แปลว่าถ้าเอ็งแน่จริงก็ไปพระนิพพาน ถ้าไม่แน่จริงก็จงเป็นต่อไป...!
*************************

              ในประวัติของกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะปาสิ ขุททกนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสกับนางกีสาโคตมี ที่อุ้มลูกไปขอให้ท่านรักษา ทั้ง ๆ ที่ลูกตายแล้วว่า
              “ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง ในแต่ละชาติที่เธอเกิดมา ต้องเสียน้ำตา เพราะคนที่รักจากไป เมือ่รวมกันแล้วน้ำตาของเธอทั้งหมด ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ” คิดดูสิว่าเกิดมากี่ชาิต น้ำตาไม่กี่หยดรวมกัน จนมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก...!
*************************

              “เมื่อวันที่ ๑๙ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตงานหล่อพระที่วัดบวรฯ พระท่านบอกว่าให้เป่ายันต์ปลายปีนี้ ก็คือ วันที่ ๑๑ ธันาคม ๒๕๕๓
*************************

              สมัยที่เป็นทหาร อาตมาเป็นคนไม่กลัวเจ้านาย เพราะว่าเจ้านายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนอาตมาตัวใหญ่กว่าจะต้องไปกลัวทำไม
              “มีโอกาสได้คุยกับบรรดาทหาร ว่าทำไมจึงกลัวผู้บังคับบัญชานัก เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน นายท่านนี้สงสัยจะมีนะหน้าเสือ ตัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่ใครเห็นก็สั่น
              ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นเกิดจากตบะที่ท่านสั่งสมมาวันแล้ววันเล่า อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้นำเขามามาก ทำให้พลังจิตของเขาเหนือกว่า ถึงได้บอกว่า ถ้าเรารู้สึกว่ามึใครสักคนหนึ่งที่เราต้องการจะข่มเขาให้ลงให้นึกถึงกำลังใจชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แล้วก็ดึงเอากำลังใจตรงนั้นมาใช้”
      ถาม :  พลังจิตที่สั่งสมมาหรือคะ ?
      ตอบ :  สั่งสมมาเรื่อย ขณะเดียวกัน ถ้าของเราสั่งสมมาแล้วของเขาเล่า ? เขาก็สั่งสมมาเหมือนกัน ก็เลยต้องไปเลือกชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แต่ต้องบอกว่าโบราณของเราดี ตรงที่ว่ามีอะไรก็ยกเอาบารมีครูบาอาจารย์ขึ้นมาก่อน
              อย่างสมัยก่อนเรียนคาถาบทหนึ่งชื่อ โอการมหาทมื่น เขาจะมีกล่าวถึงครู “โอม...กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้ครูกูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา...ฯลฯ”
              โองการมหาทมื่นเป็นคาถาที่ยาวมาก แต่เป็นคาถาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย จะในน้ำ บนบก กลางวัน กลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อาวุธทุกประเภท เขาเอ่ยถึงหมด ลองไปค้นในกูเกิ้ลดู น่าจะมี
              คาถานี้เขาทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน อาวุธสารพัดมีเอ่ยเอาไว้หมด แต่เชื่อเถอะท้ายสุดก็ต้องมีจุดอ่อนจนได้ แบบแสนตรีเพชรกล้าอะไรก็ฟันไม่เข้า แต่ท้ายสุดก็โดนหลาวทะลวงก้นตายจนได้”
*************************

              “วันก่อนที่ไปรับประกาศนียบัตรของพระนิสิต ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านให้โอวาทว่า ท่านขอแสดงความยินดีด้วยที่นักศึกษาสำเร็จการศึกษามารับประกาศนียบัตร
              สิ่งที่ทุกท่านเรียนไปนั้นเอาไปใช้ประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะประโยชน์ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ แต่ส่ิงนี้เป็นปัญญา มีเฉพาะปัญญาอย่างเดียวเราจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้มีสติควบคุมกันไปด้วย โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า สติและปัญญาควบคู่กันไป ปัญญาเป็นความรอบรู้ แต่สติเป็นความรอบคอบ ถ้ารอบรู้อย่างเดียว แต่ไม่รอบคอบ ก็จะผิดพลาดได้ง่าย
              ไม่รู้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับอาตมารู้สึกว่าท่านจี้ถูกจุดเลย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งปวงเกิดจากคนมีปัญญาแต่ขาดสติ ในเมื่อขาดสติก็จะทำอะไรขาด ๆ เกิน ๆ
              หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านอายุแปดสิบก็จริง แต่ท่านกล่าวให้โอวาท กล่างเปิดโดยไม่ต้องดูโพยเลย ส่งเล่มไปให้ท่าน ท่านก็วางเฉย ๆ แล้วก็ว่าเอาเอง คนอายุ ๘๐ กว่าแล้วสมองยังดีขนาดนี้ สุดยอดจริง ๆ”
*************************

      ถาม :  ฝันเห็นจระเข้ ?
      ตอบ :  ตีความได้สองอย่าง อย่างหนึ่งโบราณเขาว่าจะมีคนปองร้าย หรือติดสินบน (บนเอาไว้แล้วไม่ได้แก้บน) อย่างที่สองก็คือ กิเลสในใจของเราเอง
      ถาม :  ถ้าฝันเห็นเต่า ?
      ตอบ :  ไม่เห็นหรือว่าเต่ามีอะไรบ้าง ๑ หัว ๔ ขา ๑ หาง รวมแล้ว ๖ ถึงเวลาอะไรกระทบก็หดเข้ากระดอง เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเราถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไร เราก็หลบไม่ไปรับไว้ แล้วจะสบายไหมเล่า ?
      ถาม :  ถ้าฝันเห็นเต่า แล้วกลายเป็นจระเข้ ?
      ตอบ :  แปลว่ากิเลสจะเจริญงอกงามถึงขนาด จะแปลงจากเชื่อวช้าเชื่องเชื่อ กลายเป็นอาละวาดแล้ว ระวังให้ดี ...!
*************************