​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๕

 

              “หลวงตาบัว” ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า หมูที่โดนฆ่าแล้วเขามาหาแม่ชีที่ทำกรรมฐานอยู่ มาบอกว่าเขาเพิ่งโดนฆ่า เดี๋ยววันนี้จะมีพระไปบิณฑบาตแล้วคนฆ่าจะเอาเนื้อนี้ใส่บาตรมาด้วย ให้แม่ชีช่วยบอกพระให้ฉันเนื้อเขา แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาหน่อย นี่มาสั่งไว้เลย
              พอถึงเวลาแม่ชีก็ไปถามว่าใครได้เนื้อหมูมาบ้าง ปรากฎว่าได้เนื้อหมูปิ้งมาจริง ๆ แม่ชีก็เลยเล่าให้พระฟัง พอรู้มากเข้า แม่ชีก็สงสัยถามหลวงตาว่า แม่ชีจะเป็นบ้าหรือเปล่า ? คือ แม่ชีรู้ไปทุกเรื่อง หลวงตายืนยันว่าธรรมะเป็นอย่างนั้นเอง คือ ถ้าเรารับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่เก็บมาใส่ใจก็ไม่มีปัญหาอะไร รู้แล้วไปคิดมากก็จะเครียด”
*************************

              “ก่อนใส่เสื้อตัวนี้ (ซีทรู) ตัดสินใจนานไหม ? ที่ว่าไม่ได้ตำหนิอะไรหรอก อยากจะบอกว่ากำลังใจที่เราตัดสินใจทำ ถ้าเราเอาไปตัดสินใจเรื่องอื่น ก็ใช้กำลังใจเท่ากัน
              ฉะนั้น...การที่เราต้องฝืนใจทำความดี ก็ต้องใช้กำลังใจระดับนั้น
ระดับเดียว กับที่ตัดสินใจว่า เอาละวะ...จะโป๊ก็ช่างมัน วันนี้เราจะใส่เสื้อตัวนี้แหละ”
*************************

      ถาม :  อารมณ์ใจที่เกาะพระนิพพาน คล้ายอารมณ์ตอนอยู่บนโลก คือเห็นสภาพความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง เป็นการยอมรับสภาพความเป็นจริงแต่เป็นเรื่องของพระนิพพานเลยสงสัยว่ามีอารมณ์นี้ด้วยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าอารมณ์ใจเข้าถึงจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็อารมณ์เดียวกัน
*************************

              “สมัยนี้คนเขาลืมเรื่องนิมิตหรือลางสังหรณ์ต่าง ๆ ไปแล้ว ตอนสมเด็จย่าสวรรคต ก่อนนั้นไม่กี่วัน อาตมาพอดีไปอยู่ที่บ้านโยม โยมเขาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวช่องสามอยู่ ผู้ประกาศข่าวทั้งหญิงและชายใส่สีดำทั้งคู่
              เมื่อเปิดไปช่องอื่นปรากฎว่าดำทั้งคู่อีก เปิดกลับมาช่อง ๗ ดูว่ามีอะไรบ้าง ช่อง ๗ กำลังเป็นข่าวนอกสถานที่ ผู้ประกาศหญิงก็ดำทั้งชุดอีก เราก็ว่าจะต้องมีใครสักคนที่จะต้องตาย เป็นบุคคลประเภทที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ อีกไม่กี่วันสมเด็จย่าก็สวรรคต
              เรื่องทั้งหลายนี้เป็นนิมิตที่น่าจะศึกษากันไว้บ้าง เพราะว่านิมิตบางอย่างเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า สมัยนี้นิยมกันจริง ๆ สีดำ ไม่รู้เป็นอะไร แต่งกันได้แต่งกันดี
              ของพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวงไหล เพราะว่านิมิตบางอย่าง อย่างเช่นว่าถ้าสัตว์อยู่ ๆ เกิดการแตกตื่น แสดงว่าจะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงขึ้น ก่อนที่ประเทศลาวจะแตกไม่กี่วัน อยู่ ๆ มีผีเสื้อ (ลาวเรียก แมงกะบี้) บินข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งเราเป็นหมื่น ๆ ไม่กี่วันลาวก็แตก
              จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ใช่ แต่บังเอิญจนน่าเกลียด เพราะว่าทุกครั้งที่มีเหตุใหญ่จะมีนิมิตบอกก่อน แต่คนมักจะไม่ระแวง พอถึงเวลาเกิดเหตุจึงรู้ตัวว่าที่แท้เรารู้ก่อนแล้วนี่”
*************************

              “ห้องน้ำห้องส้วม ภาษาพระเขาเรียกว่า ถาน บางทีก็บอกชัด ๆ ว่า ถานพระ ก็คือ ส้วมพระ เป็นคำโบราณ
              บางทีเขาก็เรียก เว็จ เว็จมาจาภาษาบาลี ที่เขาเรียกว่า วัจกุฎี ก็คือห้องส้วม บางคำเป็นคำค่อนข้างจะโบราณ หรือมีรากศัพท์มาจากบาลี เราจะไม่เคยชิน พอไม่เคยชิน ฟังแล้วบางทีก็ไม่รู้เรื่อง สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ท่านบอกว่า ขอเวลาไปนั่งกรรมฐานหน่อย ก็คือไปเข้าส้วมนี่แหละ”
*************************

              “จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่ใจเรา เพราะเวลาก็เท่าเดิม
              อย่างเวลาเรามีความทุกข์ หรือเวลาที่เรารอแหม...รู้สึกว่าเวลานานจริง ๆ แต่เวลามีความสุข ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
              เราจะเห็นเวลาในนรกสัญชีวนรก ๑ วัน เท่ากับ เก้าล้านปีมนุษย์ เพราะโดนทรมานอยู่ตลอด คนโดนทรมานอยู่ รู้สึกว่าเวลานานมาก ส่วนบนสวรรค์อย่างชั้นดาวดึงส์ วันหนึ่งเท่ากับร้อยปีมนุษย์ ทำไมมีความสุขรู้แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง”
*************************

              “อาตมาเป็นพระรูปเดียวในวัดท่าซุง ที่หลวงพ่อท่านห้ามไม่ให้บอกว่าคนตายแล้วไปไหน และห้ามบอกหวย เพราะว่าไปแผลงฤทธิ์ไว้เยอะ หลวงพ่อท่านบอกว่า การที่ไปบอกว่าคนตายแล้วไปไหนนั้น มีแค่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร เพราะว่าถ้าบอกเขาว่าทำดีแล้วไปดี เขาก็สบายใจว่าอย่างไรทำดีย่อมไปดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาทำดี ก่อนตายจิตเขาเศร้าหมองแล้วไปไม่ดี เราไปบอกลูกหลานจะไม่มีอารมณ์ทำดีอีกเลย เพราะว่าพ่อแม่ทำดีมาตลอดชีวิต แต่ต้องมาตกนรก
              แล้วหลวงพ่อก็ให้อาตมาไปดูในมหากัมมวิภังคสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
              บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปชั่วแน่นอน
              บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว
เพราะว่าความดีในอดีตอาจจะมาส่งผลทัน แบบมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
              บุคคลทีทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี เพราะฉะนั้น...ชาตินี้เราอาจจะเห็นพ่อแม่ทำดีตลอดชีวิต แต่ทำชั่วในอดีตตามมาทัน แวบเดียวเท่านั้นเอง เรียบร้อยเลย
              บุคคลทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ถึงจะไปดีแน่นอน
              พอไปอ่านแล้วจึงเข้าใจ ที่แท้อย่างนี้เองหลวงพ่อท่านถึงได้ห้าม ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้อาตาบอกเขามั่วไปหมด ใครถามบอกทั้งนั้น ส่วนหวยก็ไปแสดงวีรกรรมไว้เยอะ แต่วันนี้เวลาไม่พอที่จะเล่า”
*************************

              “อะไรที่ท่านห้าม ไม่เคยเผลอเลย ไม่ใช่อาตมาไม่เคยเผลอนะ หลวงพ่อท่านไม่เคยเผลอ พลาดเมื่อไรก็โดนท่านฟาดกบาล ตายแล้วตีเจ็บกว่าตอนเป็น ๆ อีก
              มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพี่ประทีป เดินหัวโนมา ถามว่า “โดนอะไรมาพี่ ?” พี่ทีปบอกว่า “ป๋าฟาดกบาลเอาสิ” ถามว่า “พี่ไปทำอะไรมา ?” พี่ทีปบอกว่า “กูคิดจะสึก...!”
              ก็คือ หลวงพ่อตายแล้ว พี่ทีปแกหมดอารมณ์ ภาระก็เยอะ เหนื่อยใจ ท้อ สึกดีกว่า คิดแค่นั้นเอง ท่านมาฟาดเปรี้ยง ไม่พูดไม่จาตีเอาไว้ก่อน ครั้งที่อาตมาไปพม่าแล้วหัวโน ครูบาน้อยถามว่าอาจารย์ไปโดนอะไรมา ? ก็บอกท่านไปว่า “อ๋อ...สัปหงกหัวไปโขกโดนรถ” ตอนนั้นอาตมาง่วง คนขับก็ง่วง ท่านจะให้ถ่างตาเป็นเพื่อนคนขับ อาตมาดันไปหลับก็โดนนะสิ...!”
*************************

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกันยายน ๒๕๕๓


              “วันที่ ๑ กันยายน อาตมาเรียนวิชาภาษาอังกฤษสำหรับการจัดการ ท่านอาจารย์ดร.มนตรา เลี่ยวเส็ง พาพระต่างประเทศมา ๓ รูป มีท่านจารึก จากประเทศกัมพูชา ท่านมังคละปิยะ จากบังคลาเทศ และท่านกุเวระ จากประเทศพม่า
              ท่านจารึกเขาเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนดวงยากเข็ญ เกิดปี ๑๙๗๕ ปีที่เขมรแตกพอดี เขาบอกว่า เขาอยู่ท่ามกลางสงคราม...สงคราม...และสงครามใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ตลอดเวลา ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยาก มีแต่ความเดือดร้อน บาดเจ็บล้มตาย ถูกเข่นฆ่าไประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ - ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน
              ตัวเขาเองโดนพ่อแม่หอบหิ้วมา เติบโตอยู่ในค่ายอพยพฝั่งไทย ได้รับการศึกษาจากทางด้านเจ้าหน้าที่อพยพของยูเอ็น จึงได้ภาษาอังกฤษติดตัวมา หลังจากที่สงครามสงบแล้ว เขากลับไปบ้านเกิดของตัวเอง ไปเห็นแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน
              มีแต่คนจน คนเจ็บ คนพิการ เขาบอกว่า รัฐบาลปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เขาย้ำว่า พวกท่านทั้งหลายที่เป็นพระเถระเกิดในเมืองไทยเป็นผู้ที่โชคดีอย่างยิ่ง คำนี้ท่านใช้คำว่า Most Venerable ซึ่งก็คือพระที่มียศมีตำแหน่ง
              ท่านบอกว่าคนไทยไปไหน พอบอกว่ามาจากเมืองไทย ชาติอื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างมีเกียรติ แต่พอเขาบอกว่ามาจากกัมพูชา มีแต่คนดูถูก (look down) อาตมาฟังดูแล้ว รู้สึกว่า รัฐบาลห่วย ๆ ของเราก็ยังไม่เลวนะ ดีกว่าประเทศของท่านจารึกเยอะเลย...!
              เขาบอกว่า บ้านเราอย่างน้อยก็มีกฎหมายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประมง กฎหมายป่าไม้ ฯลฯ แม้แต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ของเราก็มี แต่ของเขาไม่มี แม้แต่กฎหมายบริหารประเทศก็มีแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้นำ ความจริงเขาใช้คำพูดแรงว่า I have a badly leader เขาบอกว่าสู้เมืองไทยไมได้ ที่เขาต้องมาศึกษาที่เมืองไทย เพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เจริญกว่า เขาจะเอาความรู้นี้กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของเขา เขาย้ำว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว รัฐบาลไหนที่ปกครองโดยยุติธรรม ประเทศชาติก็จะสงบสุข บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง อาตมานึก ๆ ดู เพื่อนบ้านเขามองบ้านเราเหมือนเป็นสวรรค์ แต่บ้านเขาเป็นนรก
              พอมาถึงท่านมังคละปิยะ สาหัสกว่าท่านจารึกอีก ท่านเกิดอยู่บังคลาเทศ มีประชากร ๑๖๐ ล้านคน
              ท่านเกิดมาท่ามกลางคนถือศาสนาอิสลาม เป็นชาวเผ่าบารัวที่นับถือศาสนาพุทธ อยู่ในเมืองจิตตะกอง มีประชาชนในจิตตะกองที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณห้าแสนคน อาตมาได้ยินก็คิดว่าเยอะ แต่ท่านบอกว่าลองเปรียบเทียบตัวเลขกับ ๑๖๐ ล้านคนดูสิ จะเหลือประมาณ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
              ตอนที่ซักถามเขาก็เลยถามว่า คุณอยู่ท่ามกลางอิสลามย่อมโดนเขารังแก และปฏิบัติอย่างอยุติธรรมอยู่แล้ว คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไรที่จะไปใช้รับมือพวกเขา ? ท่านบอกว่าอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั่นแหละ ที่ช่วยให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำว่า ให้ลืมและให้อภัย (forget & forgive)
              สุดยอดจริง ๆ เลย ใครเขาร้ายกาจกับเราอย่างไร ให้ลืมแล้วให้อภัย เขาบอกว่า เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พวกเขาไม่ลำบากมากนัก คือยอมทุกย่าง ไม่ว่าเขาจะรังแกอย่างไรก็ให้อภัย ในเมื่อเขารังแกจนพอใจก็เลิกไปเอง เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นหัวหน้าเผ่าบารัว จึงมีฐานะดีกว่าเพื่อนบ้าน พอเขาจบมัธยมแล้วก็เลยส่งไปเรียนต่อที่ศรีลังกา เขาบอกว่าเป็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจนที่สุด อย่างชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย
              คุณเป็นประชากรแค่ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์ในประเทศอิสลาม ๑๖๐ ล้านคน อิสลามครอบงำไปทุกซอกทุกมุม แต่พอคุณไปอยู่ศรีลังกาประชากร ๗๐ เปอร์เซ็นต์ที่นั่นเป็นพุทธศาสนิกชน และพระมีอำนาจถึงขนาดเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นผู้นำนชุมชน ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนยกย่อง
              อาตมาถามท่านมังคละปิยะว่า ทำไมคุณมาเรียนที่เมืองไทย ? ท่านบอกว่าเมืองไทยมีการเรียนเปิดกว้างกว่า มีวิชาให้เรียนหลากหลายกว่า เพราะท่านไปเรียนที่ศรีลังกาก็เรียนแต่คัมภีร์ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาต่าง ๆ เพื่อให้แตกฉานทางศาสนาพุทธอย่างเดียว ท่านก็เลยขอทุนมาเรียนที่บ้านเรา
              พวกเราถามท่านว่าในระหว่างประเทศ คือ บังคลาเทศบ้านเกิดของคุณ ศรีลังกาที่คุณไปร่ำเรียนศึกษา และเมืองไทยที่คุณมาเรียนต่อ ถ้าหากคุณเรียนจบแล้วคุณจะเลือกอยู่ประเทศไหน ?
              ท่านบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก บังคลาเทศเป็นบ้านเกิด คนที่เป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับท่าน รอท่านกลับไปช่วยเหลือ แต่ท่านรู้ถึงความเลวร้ายชนิดไม่อยากกลับไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าถ้ากลับไปก็ตกอยู่ในภาวะจำยอม
              ศรีลังกา...พระมีอำนาจกว่าไทยเยอะมาก ไปไหนก็ได้รับการยกย่อง แต่เมืองไทยทุกคนเป็นมิตรกับเขาหมด เขาบอกว่าถ้าให้เขาเลือกระหว่างศรีลังกากับไทย เขายังติดสินใจไม่ได้ แต่เขาไม่อยากกลับบ้าน จริง ๆ แล้วท่านมังคละปิยะเป็นเจ้าชายนะ เพราะว่าพ่อของท่านเป็นหัวหน้าเผ่า
              ส่วนท่านกุเวระ ท่านเกิดที่ทวาย ทางภาคใต้ของพม่า ก็คือมณฑลตะนาวศรี ท่านพยายามจนได้บวชเณร แล้วขอพระอาจารย์เข้ามาเรียนในย่างกุ้ง จนกระทั่งจบธัมมจริยะ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับจบประโยค ๙ ของบ้านเรา
              ท่านบอกว่าตลอดระยะเวลา ๑๐ ปีที่ท่านเรียนอยู่ ท่านต้องกินอาหารบูด ๆ เน่า ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่กินก็ไม่มี คนที่ไม่เคยไปพม่าจะไม่เห็นภาพนี้ อาตมาไปมาหลายปี
              ไปพักที่สำนักบุปผารมย์ ที่หงสาวดี เป็นสำนักเรียนมีพระ ๔๐๐ กว่ารูป เขามีกับข้าวอย่างเดียว พี่เลี้ยงเขาจะหิ้วหม้อยักษ์มาสองคน คนที่สามจะตักข้าวใส่จานตรงหน้าให้ ข้าวคุณเติมได้ตลอดเวลา แต่กับข้าวมีอย่างเดียว
              อาตมาเป็นพระอาคันตุกะ นอกจากแกงถ้วยนั้นแล้ว เขายังมีปลาทอดให้สองตัว มีของหวานเป็นกล้วยอีกสองผล วางอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้า แต่อาตมาฉันไม่ลงเพราะเณรเขามอง มองในลักษณะที่ว่า ถ้าสายตาของเณรกินได้ก็ไม่เหลือแล้ว ลองคิดดูแล้วกัน ว่าบ้านเขาอดอยากกันขนาดนั้น...!
              ท่านบอกว่า ต้องบิณฑบาตตั้งแต่ตีสี่ ฉันเช้าเสร็จก็เก็บอาหารไว้ แล้วก็ไปเรียนจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง กว่าจะได้ฉันเพลอาหารก็บูดหมดแล้ว แล้วก็เรียนต่อจนถึงห้าทุ่มจึงได้นอน ตอนเช้าตีสี่ต้องตื่นขึ้นอีกแล้ว
              ที่ท่านขวนขวายเรียน เพราะท่านเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ ถ้าไม่มีความรู้ก็จะโดนปิดบังอยู่ตลอดเวลา อยู่บ้านท่านไม่มีโอกาสที่จะพูดถึงเรื่องการปกครองหรือประชาธิปไตยแม้แต่คำเดียว พูดเมื่อไรไม่ติดคุกก็ตาย...!
              ถามท่านว่าการเรียนเบื้องสูงของพม่ายังมีอยู่ ทำไมไม่เรียนต่อ ? ท่านบอกว่าการเรียนเบื้องสูงขึ้นไป คือ บาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวันก็ดี หรือว่าการเป็นตรีปิฎกะบัณฑิต การเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกก็ดี ก็ยังเป็นเรื่องในแวดวงพระพุทธศาสนา
              ท่านอยากเรียนรู้อะไรนอกจากเรื่องหลักธรรม ที่เอากลับไปช่วยชาวบ้านได้บ้าง พอรู้ว่าเมืองไทยเปิดกว้างกว่า มีการเรียนวิชาต่าง ๆ นอกเหนือจากพระไตรปิฎกก็เลยอยากเรียน ดิ้นรนจนมาบ้านเราได้ แล้วท่านก็ย้ำอีกเหมือนกันว่า คนไทยโชคดีมากที่มีประชาธิปไตย บ้านเขาขนาดเป็นพระยังทำอะไรไม่ได้เลย
              ฟังไปฟังมา อาตมาก็คิดว่าบ้านเรานี่เป็นกบเลือกนายจริง ๆ รัฐบาลที่เราเห็นว่าไม่เอาไหนเลย ในสายตาของชาวโลกกลับกลายเป็นดี คืออย่างน้อยก็ยังเป็นประชาธิปไตย
              คราวนี้เรามาดูว่าท่านจารึก ท่านเกิดอยู่ท่ามกลางสงคราม พ่อแม่ต้องหอบหิ้วอุ้มข้ามมาเมืองไทยเพื่อเอาตัวรอด เมื่อย้อนกลับเข้าไปประเทศตนเอง ญาติพี่น้องก็ตายหมด ตัวเองต้องดิ้นรนจนกระทั่งบวชพระได้ เข้ามาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อ โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะกลับไปช่วยคนในชุมชนของท่าน
              กำลังใจในลักษณะอย่างนี้ เป็นกำลังใจที่เปิดกว้างมาก อยู่ในลักษณะของพรหมวิหารสี่แบบอัปมัญญา คาดว่าต้องเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ ประโยคที่ท่านบอกว่า คุณไปไหนคุณบอกว่าเป็นคนไทย ต่างชาติเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างมีเกียรติ แต่ท่านไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น พอบอกว่าเป็นกัมพูชา มีแต่คนดูถูกเขาเหมือนกับเป็นพลเมืองชั้นสอง
              ถ้าเราไม่ได้โดนเองก็จะไม่ซาบซึ้ง ตอนแรกท่านใช้คำว่า suffering คือ ความทุกข์ แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจ พอท่านใช้คำว่า painful ค่อยเห็นชัดหน่อย คือเป็นความเจ็บปวดจริง ๆ เกิดเป็นคนแต่คนอื่นเห็นเหมือนกับว่าคุณไม่ใช่คน...!
              ท่านมังคละปิยะ เหมือนกับนำ้หยดเดียวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย จะระเหยหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะประชากรห้าแสนคน ไม่รู้ว่าจะขยับขยายขึ้นมาได้หรือเปล่า แต่ท่านบอกว่า ท่านพยายามตั้งสมาคมชาวพุทธต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะให้กำลังใจ
              ให้กำลังใจในการดำรงอยู่ในความเป็นชาวพุทธของตน โดยไม่ถูกอิสลามครอบงำและดึงไปหมด และพยายามจะสร้างเว็บไซต์ติดต่อกับโลกภายนอก เพื่อที่ให้ชาวโลกรู้ว่า ยังมีชาวพุทธอยู่จุดหนึ่งในเมืองจิตตะกอง ถ้าหากอิสลามจะทำอะไรรุนแรง อย่างน้อยก็จะเกรงใจบ้างว่ายังอยู่ในสายตาของชาวโลก
              ท่านเองก็สารภาพตามตรงว่า เรียนจบก็ไม่อยากกลับบ้าน แต่ท่านก็ต้องไป เราลองเทียบกำลังใจดูซิว่า ถ้าเราพ้นจากนรกมาแบบท่าน เราคิดจะกลับไปไหม ? แต่ท่านต้องไป ที่ต้องไปเพราะผู้ที่รออยู่ก็คือพี่น้องของท่าน ก็คือประชาชนของท่าน
              กำลังใจประเภทนี้ก็คงไม่แคล้วพระโพธิสัตว์อีกเหมือนกัน โดยเฉพาะสถานภาพของท่านเหมือนกับเจ้าชาย จะต้องกลับไปดูแลคนในเผ่าของตน
              ท่านกุเวระท่านเกิดในประเทศพม่าที่เผด็จการทหารครอบงำมายาวนาน พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่ได้เอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ ๖๐ - ๗๐ ปี มีแต่เผด็จการทหารปกครองมาตลอด
              ท่านต้องดิ้นรนอยู่ด้วยความยากลำบาก ต้องการการศึกษาแต่ไม่มีหนทาง เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน ก็ต้องบวชเพื่อให้มีโอกาสได้เรียน ต้องลำบากและอดทน ต้องอดนอน โดยเฉพาะอาหารบูด ๆ เน่า ๆ ที่ต้องทนฉันเป็นสิบปีเพื่อเรียนให้จบ...
              ถ้าเรามาเปรียบเทียบดูว่า กำลังใจในการต่อสู้กับความทุกข์ยากแบบของท่าน กับกำลังใจที่ต่อสู้กับความทุกข์ในบ้านเราของพวกเราจะแตกต่างกันมาก พวกเราสบายตนกระทั่งไม่ค่อยรู้สึกถึงความทุกข์ พอทุกข์หน่อยก็โวยวาย พูดง่าย ๆ ว่าความเข้มแข็งอดทนไม่มีเลย...!
              เรานึกดูว่า ถ้าเราเป็นอย่างทั้งสามท่าน ต้องไปต่อสู้ดิ้นรนในลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถ้าผ่านสภาวะเหล่านั้นไปได้ จะยืนหยัดเป็นหลักได้ทุกคนเลย เพราะท่านผ่านบทเรียนที่เป็นของจริงมาแล้ว
              แต่พวกเราพอเจอทุกข์เข้าก็ถอย คอยไปผ่อนผันให้กิเลส ยิ่งตอนที่เริ่มปฏิบัติไป กิเลสดิ้นรนใกล้จะตาย พอกิเลสรู้ว่าจะตายก็ดิ้นเรามักจะไปผ่อนให้ทุกที เราไปผ่อนให้เพราะเรากลัวว่าเราจะตาย ทั้งที่กิเลสกำลังหลอกเรา เพราะจะว่าไปแล้วกิเลสก็คือเรา พอจะตายก็หลอกว่าเราจะตาย เราก็เชื่อเสียอีก เพราะฉะนั้น...เราจึงเอาดีได้ยาก

              แต่ถ้าเราดูกำลังใจของสามท่านที่ดิ้นรน จนกระทั่งได้รับการศึกษาได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ต่อสู้กับความยากลำบากทุกอย่าง เข้ามาแล้วการสื่อสารก็ได้แต่ภาษากลาง คือภาษาอังกฤษ และอย่างท่านมังคละปิยะและท่านกุเวระ โอกาสที่จะสื่อสารกับคนไทยได้รู้เรื่องนั้นยากมาก เพราะสำเนียงการพูดของท่านฟังยากจริง ๆ
              อยากให้พวกเราลองคิดดูว่า ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขาเราจะทำอย่างไร ? อย่างของท่านจารึก ท่านเกิดมาท่ามกลางสงครามเลย ถ้าไม่ใช่บุญรักษาหรือกรรมรักษา คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ญาติพี่น้องล้วนกลายเป็นโครงกระดูกในทุ่งสังหาร
              อาตมาไปชายแดนตาพระยา ช่วงปี ๒๕๒๔ อยู่นั่นปีกว่า เชื่อหรือไม่ว่าในทุ่งมีแต่โครงกระดูก บางโครงยังโดนมัดติดกับต้นไม้อยู่เลย ต้องไปค่อย ๆ เก็บฝังให้เขา เพราะว่าช่วงนั้นทหารญวนเฮงสัมรินลุยเข้ามาปะทะกันที่โนนหมากมุ่น ตายไปสามร้อยกว่าศพ พวกที่เกิดไม่ทันไม่รู้หรอกว่าทหารต้องลำบากแค่ไหน
              อาตมาต้องไปกอดปืนยืนหนาวอยู่กลางป่าเป็นปี
              ท่านมังคละปิยะ ท่านเกิดมากลางดงอิสลาม เป็นชนกลุ่มน้อย และศาสนาอิสลามเขาไม่ถือว่าศาสนาอื่นเป็นคนอยู่แล้ว เขาลำบากทุกข์ยากกว่าเรามากนัก
              ท่านกุเวระอายุยังน้อยมาก ๒๐ เศษ ๆ ไม่ถึง ๓๐ ปี ก็เลยกลายเป็นว่าตอดชีวิตของท่านตั้งแต่เกิด รู้ความมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ประเทศพม่าไม่เคยว่างเว้นจากเผด็จการทหารเลย ต้องการอะไรทหารเอามาจากชาวบ้านไปหมด
              ท่านอาจารย์เตชะ เป็นพระธรรมทูตพม่ามาอาศัยอยู่วัดท่าขนุน วันนั้นที่ฉันอาหารกันอยู่ ท่านก็หยิบลำไยให้ดู แล้วถามว่า “นี่เรียกว่าอะไร ?” พระครูหน่อยก็บอกว่า “ลำไย...พม่าไม่มีละสิ” พูดในลักษณะหัวเราะ ท่านเตชะก็สั่นหัวเพราะว่าไม่มีจริง ๆ
              อาตมาถึงได้บอกว่า “พระครูหน่อย...ในพม่าแค่ปลูกข้าวพอให้ชาวบ้านกินก็ยากแล้ว เขาไม่มีเวลาไปปลูกอย่างอื่นหรอก เพราะเวลาได้ข้าวมา ถ้าทหารต้องการเขาจะเอาไปหมดเลย เขาไม่สนใจว่าคุณมีกินหรือเปล่า”
              ตอนที่ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีบ้านมอญ บ้านทวาย ล้อมรอบอยู่สามหมู่บ้าน ถึงเวลาวันตรุษจีน วันสารท วันสงกรานต์ เดี๋ยวก็ อส. เดี๋ยวก็ ตชด. เดี๋ยวก็ตำรวจ เดี๋ยวก็ทหาร เดี๋ยวก็ผู้ใหญ่บ้าน มาถึงก็จับคนของเขาไป ต้องเอาเงินไปไถ่ตัวคนละสามพันหรือห้าพัน จึงได้ตัวกลับมา พวกนั้นแค่อากได้เงินไปกินเหล้าเท่านั้น ก็มาจับคนของเขาไปดื้อ ๆ
              อาตมาถามพวกเขาว่า ลำบากขนาดนี้แล้วยังมาเมืองไทยทำไม เขาบอกว่า นี่ยังดี...เขาอยู่เมืองไทย เขาทำแบบนี้เขายังเหลือเป็นครึ่ง ๆ แต่เขาอยู่พม่า ถ้าทหารเอานี่หมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย ทหารเขาไม่สนใจว่าคุณจะอยู่หรือจะตาย รู้แต่ว่าเขาจะเอา เขาจะต้องได้
              อาตมายังชื่นชมว่า หมู่บ้านหนองบัวมีการจัดการที่ดีมาก บ้านหนองบัวเขาสละพื้นที่ส่วนกลางประมาณ ๓๐ ไร่ ปลูกข้าวให้ทหารโดยเฉพาะ ถึงเวลาคนก็ไปช่วย ๆ กันทำ พอทหารเขามาก็เอาข้าาวส่วนกลางให้เขาไปเรื่องก็จบ แต่ที่หมู่บ้านอื่นเขาไม่มีระบบการจัดการอย่างนี้ พอทหารไปไม่มีใครรวบรวมให้ เขาก็ไปค้นเอาเอง ไปซุกไปซ่อนอยู่ในโอ่งในไหก็เอาหมด ทั้งสามท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทยแล้ว พวกเรารู้สึกโชคดีกันบ้างหรือไม่ ?
              หมู่บ้านเราทุกข์ยากขนาดไหนก็ยังพออยู่ได้ แต่อยู่บ้านเขาทุกข์ยากนี่หาทางออกไม่ได้ เขาก็พยายามดิ้นรนสู้กันไปโดยเฉพาะว่าที่อาตมาเขียนลงหนังสือ อ่านแล้วคิดบ้างไหม ว่าทำไมคนพม่าจึงต้องกินข้าวสองมื้อ เพราะเขาไม่มีจะกิน เขากินมื้อสาย ๆ สิบโมงถึงสิบเอ็ดโมง แล้วไปกินอีกทีตอนเย็น
              คนเราพอสบายแล้ว กำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าจะลดน้อย พระที่ออกธุดงค์ก็เพื่อให้เคยชินกับความยากลำบาก ถ้าหากว่าความลำบากทางกายสามารถทนได้ ความลำบากทางใจก็ไม่เท่าไร เพราะว่ากายกับใจเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
*************************

      ถาม :  อาราธนาพระเผื่อคนในบ้านได้ไหม เพราะคนในบ้านเขาไม่ได้อาราธนาพระทุกวัน ?
      ตอบ :  กินแทนกันได้ไหมเล่า ? กรรมใครกรรมมัน
*************************

      ถาม :  สมัยเด็ก ๆ ไปเคี้ยวพระ บาปหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ขอขมาก็ใช้ได้แล้ว เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาหน้าพระพุทธรูป อะไรที่เราล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนา ตั้งแต่ต้นจนบ้ดนี้ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ด้วย
*************************