​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๔

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๓


      ถาม :  ปฏิปทาที่เราร่วมแรงร่วมใจกันทำความดี จะมีผล ?
      ตอบ :  อย่างนั้นแหละดีแล้ว อย่างน้อย ๆ ได้ร่วมกันสร้างความเย็นให้เกิดขึ้นสักจุดก็ยังดี จะได้แบ่งเบาภาระของพระท่านไปจุดหนึ่ง
              เป็นพระแล้วพูดเกินวาระกรรมไม่ได้ ได้แต่ใบ้ ๆ ให้ฟัง ใครตีหวยถูกก็โชคดีไป ถ้าตีหวยไม่ถูก ไปรู้เอาตอนหวยออกก็ตั้งหลักไม่ทัน
*************************

      ถาม :  เพื่อนเป็นมะเร็งลำไส้ จะผ่าตัดวันพรุ่งนี้ ควรจะทำบุญอย่างไร ?
      ตอบ :  บอกให้เขารีบปล่อยชีวิตสัตว์เยอะ ๆ โดยเฉพาะพวกปลาหรือสัตว์อะไรที่เขาขายให้ฆ่า อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ขออานิสงส์นี้ส่งผลให้ปลอดภัย
      ถาม :  ทำว้นนี้เลยหรือคะ ?
      ตอบ :  ต้องรีบทำก่อนผ่าตัด
      ถาม :  ต้องปล่อยกี่ตัว ?
      ตอบ :  กี่ตัวก็ทำไปเถอะ ถ้าเป็นอาตมาก็เหมาแม่ค้าหมดเป็นราย ๆ ไปเลย
*************************

              “สมัยแรก ๆ ที่บวชอยู่วัดท่าซุง ด้วยความที่ตั้งใจจะเจริญกรรมฐานให้ได้มากที่สุด ทุกวันก็ต้องรีบตื่นแต่เช้า ตอนนั้นอาตมาใ้ช้นาฬิกาปลุกหลายเครื่อง วางไว้เครื่องละมุมกุฏิ ไกลจากจุดที่ตัวเองนอนมาก กะว่าถ้านาฬิกาดัง พอคลานไปกดให้เงียบ จะต้องหายง่วงแน่เลย แต่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ มือ เรายกมือไปปิดเครื่องนิดเดียวก็ได้แล้ว อาจะจะทำให้ไม่ยอมตื่น
              แต่วันหนึ่งนาฬิกาปลุกเหลืออยู่แค่สองเครื่อง มีสาเหตุมาจากผี ตอนนั้นผีมาแกล้งทุกวัน ต้องวางมวยกับผีกันอุตลุด อาตมาเตะผีเสียเต็มที่ แต่ไปโดนนาฬิกาปลุกพังไปเลย ตอนเตะก็ว่าเตะผีนะ แต่ไปโดนนาฬิกาแทน พวกนี้เขารู้ความคิดของเรา ในเมื่อรู้ความคิดของเรา เราจะทำอะไรเขารู้หมด เขาจึงหลบทัน
              ตอนไปอยู่ที่ตึกกองทุน ชอบใจตรงที่ว่าห้องพักมีเยอะ มีอยู่ ๘ ห้องใหญ่ ๆ ส่วนตรงกลางเป็นโถงใหญ่ สามารถเดินจงกรมได้สบาย อาตมาก็เดินจงกรมไปจนกระทั่งหมดแรง ถ้าเหนื่อย ๆ ไม่ไหวตรงไหนก็นอนตรงนั้นแหละ ซึ่งแถวนั้นไม่ต้องห่วง ผีดุทุกห้อง...!
              มีอยู่คืนหนึ่งประมาณตีสองกว่า ๆ กำลังนอนตะแคงขวาสีหไสยาสน์อย่างดีเลย แต่ว่านอนหันหลังให้ประตูทางเข้า ปรากฎว่ามีนักเลงดีย่องมาตอนไหนไม่รู้เดินทีตึกไหวทั้งหลังเลย...! ยวบ...ยวบ ตามจังหวะเดิน ตึกคอนกรีตเสริมเหล็กไหวทั้งหลังนี่ก็เกินไปนะ ก็รู้ว่าเขาแกล้งอีกแล้ว
              อาตมานอนภาวนาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กะว่าพอจังหวะยวบสุดท้าย เท้ายาวถึงแน่ก็พลิกตัวเตะเลย...! ปรากฎว่าที่เดินมาเป็นลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว เขากระโดดข้ามเท้าอย่างนิ่มนวล แล้วเดินออกไปประตูหลัง หันกลับมายิ้มให้ด้วย เคยเห็นแมวยิ้มไหม ? เห็นแล้วจะสยอง ...! แล้วเขาก็เดินทะลุประตูหลังหายไป...!
              น่าเตะจริง ๆ เลย ลูกแมวบ้าอะไรเดินทีตึกไหวทั้งหลัง เขาแกล้งอย่างนั้นทุกวัน เกิดมาเป็นที่รักของผีก็อย่างนี้แหละ ถูกผีแกล้งได้ทุกวัน แรก ๆ ที่ไปอยู่ก็ขอเขาว่า ให้ช่วยปลุกเวลา ๐๒.๕๕ น. ด้วย จะได้ตื่นขึ้นมาเจริญกรรมฐานก่อน ปรากฎว่าวันนั้นเพลียจัด ทำงานมาทั้งวัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะไปกว้านเรือแม่ใหญ่ขึ้นคาน
              พี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) ท่านโหนรอกจนหมดแรงแล้ว อาตมาก็ต้องไปช่วยทำต่อ กว้านมาได้ทีละนิ้ว ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ. กว่าจะเชิญท่านแม่ขึ้นแท่นได้ก็เหนื่อยจนหมดแรง
              หมดสภาพ กลับไปนอนแผ่หลาอยู่ที่ห้อง เวลา ๐๒.๕๕ น. เขาก็ปลุกตามเวลาของเขา พอเขาปลุกตามเวลา อาตมาก็บอกว่า “ไม่ไหวโว้ย ขอนอนอีกหน่อยเถอะ” ได้เลย...เขาจัดให้ กระบองอันเบ้อเร่อ ฟาดมาเต็ม ๆ กลางกบาล...! บอกให้ปลุกก็ปลุกตามเวลา ปลุกแล้วไม่อยากจะตื่น พ่อเลยฟาดซะ...! โหดจริง ๆ
              พวกนี้เวลาปลุกเขาจะจับขากระตุก ถ้าคนไม่รู้จะคิดว่ากล้ามเนื้อขาเกร็งแล้วขาสะบัดเอง แต่จริง ๆ แล้ว เขาจับกระชากขึ้นมา อย่างไรก็ต้องตื่น แต่ตื่นแล้วจะลุกหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
*************************

      ถาม :  อ่านหนังสือมาว่า ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ในชาตินี้ ให้สร้างพระ ๑๒ นิ้ว ?
      ตอบ :  แค่ ๑๒ นิ้วยังชำระไม่ได้ การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ต้องสร้างพระอย่างน้อยหน้าตัก ๔ ศอก ก็แปลว่า ๒ เมตร หรือ ๘๐ นิ้วขึ้นไป แล้วถ้าไม่ได้ปิดทองพระ ก็ชำระหนี้สงฆ์ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าสร้างแล้วปิดทอง กี่คนที่ร่วมบุญมาก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพทั้งหมด มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้ทุกคน
      ถาม :  ขอร่วมบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ด้วยค่ะ ?
      ตอบ :  ได้…แต่ห้ามเป็นหนี้สงฆ์ใหม่นะ ...ชำระหนี้สงฆ์แล้วก็พยายามระมัดระวังไว้ อย่าไปทำเข้าอีก
      ถาม :  อยากได้ลูกค่ะ ?
      ตอบ :  ลองไปบนท่านปู่พระอินทร์ดู ตั้งเครื่องบวงสรวงเข้าสักชุดหนึ่ง บอกกับท่านปู่พระอินทร์ว่า
              “เทวดาหรือนางฟ้าท่านใดที่ต้องการจะเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา และขอให้ช่วยครอบครัวของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย”
      ถาม :  เครื่องบวงสรวงมีอะไรบ้างคะ ?
      ตอบ :  ในหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุงน่าจะมีบอกไว้ ลองไปดูเอาในนั้นแหละ
*************************

      ถาม :  ผมกำหนดจิตไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัด ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าไม่ได้ผิดศีล ยันต์ก็ยังอยู่ ถ้าคุณไม่กินเหล้า ไม่ลักขโมยยันต์ก็ยังอยู่แน่ ๆ
*************************

              “จริง ๆ แล้วพวกบรรดาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในบ้านเมืองเรามีเยอะมาก แต่ที่ยังขึ้นมาไม่ได้ เพราะคนของเรายังมีศีลมีธรรมไม่พอ ถ้าขึ้นมาก็จะเป็นของคนที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน
              ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่สมบัติของคนทั้งประเทศ ทรัพย์แผ่นดินจะต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ
              จะเห็นได้ว่า อาตมาไปดูเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว จนป่านนี้ยังเอาออกมาไม่ได้ รอไปเถอะ พอน้ำท่วม คนไทยเหลือสัก ๗ - ๘ ล้าน จะได้ดูแลกันง่ายขึ้น ถึงเวลานั้นอาจจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะพวกก้างขวางคอตายไปหมดแล้ว...!”
      ถาม :  ทุกอย่างที่คนอื่นทำ เป็นไปโดยลีลากรรมเท่านั้น พอเห็นอย่างนี้ก็ไม่เกิดการเพ่งโทษ หรือไปว่าร้ายตำหนิใคร เพราะไม่มีใครดีหรือไม่ดีอย่างไร ทำให้รู้สึกสงบ ลดความวุ่นวาย เห็นความดับของเหตุนั้น ?
      ตอบ :  ชื่นใจ...อาตมาพูดปากเปียกปากแฉะมานาน อย่างน้อยก็มีคนเห็นบ้างแล้ว
              พอวาระสุดท้ายก็ไม่มีใครดีใครชั่ว ทุกคนกำลังเป็นไปตามกรรม ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครให้ตำหนิในเมื่อไม่มีใครให้ตำหนิ เราก็ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กับใคร
              ไปนั่งมองต่อ พอนาน ๆ แล้วจะสนุก บางทีก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว คนอื่นเห็นว่าบ้าชัด ๆ เพราะเหมือนกับว่าในขณะที่เรานั่งอยู่สบาย ๆ แต่คนอื่นกระโดดโลดเต้นของเขากันไม่เลิก กลายเป็นอะไรที่ตลก ๆ ไป
      ถาม :  ขณะที่คนอื่นมองว่าสิ่งนี้แปลก น่าตื่นเต้น เรากลับมองว่าธรรมดาาที่เป็นอย่างนั้น ?
      ตอบ :  เมื่อวานบอกไปแล้วว่า ที่แปลกเพราะเรายังไม่เคยเจอ เจอแล้วก็เลิกแปลก
              พอนาน ๆ ไป ความเป็นชายเป็นหญิง เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุสิ่งของก็จะไม่มี จะเห็นเหมือนกันหมด คือ สักแต่เป็นรูป เป็นนาม เป็นธาตุที่สมมติขึ้นมา
              ที่มีจิตวิญญาณครองอาศัยก็แสดงอาการต่าง ๆ ออกไปตามแต่จิตวิญญาณที่ประกอบไปด้วยกรรมมาบงการ ที่ไม่มีจิตวิญญาณก็แสดงธรรมชาติของเขาให้เห็นว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด
              พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกอย่างเป็นเหมือนกันหมด คือสักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม สักแต่ว่าเป็นธาตุ เมื่อเป็นดังนั้น พวกราคะ โทสะ โมหะ ก็เลยเกิดไม่ได้ เพราะการปรุงแต่งไม่มี ทุกสภาพเหมือนกันหมด

              ไปทำต่ออีกหน่อย ทำ ๆ ไป แล้วโลกนี้่จะตีลังกากลับ เพราะเห็นอะไรในมุมที่เราไม่เคยเห็นเยอะแยะ ความเป็นธรรมดาในส่วนที่ปัญญาเรายังไม่ถึง เราก็จะมองข้ามไป พอถึงแล้ว มองเห็นแล้ว ทุกอย่างก็จะปรากฎเด่นชัดขึ้น ทีนี้เราก็เลือกเอา อันนี้เพชร อันนี้พลอย อันไหนราคาแพงสุด เราก็คัดเลือกเอา จะได้ไม่ต้องแบกเยอะ
*************************

              “ในเรื่องทิฐินั้นก็แบบเดียวกับที่พระเจ้าปายาสิถามพระกุมารกัสสปะแล้วพระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง แต่พระเจ้าปายาสิก็ไม่ยอมละทิฐิ ท้ายที่สุดท่านก็เถียงข้าง ๆ คู ๆ ว่า ที่ไม่ยอมละทิฐิเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านมีทิฐิอย่างนี้ ถ้าไปละคนอื่นเขาก็ว่าเอาสิ...!
              พระกุมารกัสสปะจึงบอกว่า “ดูก่อน...มหาบพิตร ชายสองคนไปเจออุจจาระแห้ง คิดว่าเอาไปใช้ประโยขน์ได้ ก็เลยห่ออุจจาระแห้งกับผ้าแล้วทูนหัวไป พอเดินไปเจอกองปอมัดอยู่ ชายคนหนึ่งทิ้งอุจารแห้งแล้วแบกกองปอไป ส่วนชายอีกคนกลับไม่ยอมทิ้งอุจจาระแห้งนั้น
              เดินไปอีกเจอกองป่าน ชายคนนั้นก็ทิ้งปอ แล้วเอากองป่านไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกห่ออุจจาระไว้ พอเดินไปอีกก็เจอป่านที่ทอเป็นผ้าแล้ว ชายอีกคนก็ทิ้งป่านแล้วแบกเอาผ้าไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกกองอุจจาระไปตลอดทาง จนกระทั่งท้ายสุด เจอเงิน เจอทอง ชายอีกคนก็เอาทองไป
              ส่วนชายที่แบกอุจจาระ พอเดินไปแล้วฝนตก อุจจาระก็ละลาย ทำให้ชายคนนั้นเหม็นไปทั้งตัว แต่ก็ยังไม่ยอมทิ้งอีก”
              พระกุมารกัสสปะเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพระเจ้าปายาสิ ที่ไม่ยอมละทิฐิ พระเจ้าปายาสิทรงพระสรวล ตรัสว่า ...โยมเชื่อแต่แรกแล้ว แต่ที่ว่าดังนั้นเพราะอยากฟังท่านสมมติไปเรื่อย ๆ เพราะว่าพระกุมารกัสสปะสามารถที่จะสมมติได้วิจิตรชัดเจนมาก ฟังแล้วเห็นภาพพจน์ เข้าใจได้ทันทีเลย
              พระเจ้าปายาสิเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก เช่น ตายไปแล้วมีนรก มีสวรรค์จริงหรือไม่ ลองไปอ่านดูในปายาสิราชัญสูตร ในพระสุตตันตปิฎก
              พระเจ้าปายาสิบอกว่าไม่เชื่อว่านรกมีจริง เพราะถ้าคนตายไปแล้วไปนรกจริง ให้กลับมาบอกด้วย รอคนแล้วคนเล่า ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกท่าน
              พระกุมารกัสสปะบอกว่า “ดูก่อน...มหาบพิตร ถ้าหากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ พระองค์ท่านจับได้แล้ว ตัดสินประหารแล้ว ถ้าเขาขออนุญาตกลับไปบอกญาติสาโลหิตต่าง ๆ แล้วจะกลับมาให้ประหาร พระองค์ท่านจะยอมปล่อยไปหรือไม่ ?” พระเจ้าปายาสิก็ตรัสว่า “ปล่อยไปไม่ได้หรอก มีแต่จะเร่งประหารเสียก่อน...”
              พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า “ลักษณะเดียวกัน ในนรกเขาลงโทษหนักกว่านี้อีก ใครเขาจะปล่อยออกมาให้มาบอกข่าวได้..” แล้วพระเจ้าปายาสิจึงกล่าวถึงพวกท่ไปสวรรค์ไปสบายแล้ว “เราบอกแล้วว่าใครไปสวรรค์ให้กลับมาบอกข่าว แต่ก็ไม่เห็นมีใครกล้บมาบอกเลยสักคน...”
              พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบว่า “เหมือนกับบุรุษตกลงไปในในหลุมคูถ(หลุมอุจจาระ) พระองค์สั่งให้ราชบุรุษเอาตัวขึ้นมา อาบน้ำให้ตัวสะอาดเอี่ยม เปลี่ยนผ้าใหม่ให้ ประด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม เอาพวงมาลัยสวยสดงดงามคล้องคอ แล้วบอกให้กระโดดลงไปในหลุมคูถตามเดิม จะมีใครกระโดดลงไปไหม ? ก็ลักษณะเดียวกัน คนไปสวรรค์แล้ว เขามองเห็นว่าโลกนี้น่ารังเกียจประดุจหลุมอุจจาระ จึงไม่มีใครคิดที่จะย้อนกลับมา”
              ท่านค่อย ๆ เปรียบทีละอย่าง...ทีละอย่าง ลองไปหาอ่านดู สำนวนโวหารท่านสุดยอด ในฉันท์บาลีท่านแต่งว่า กุมาระกัสสโปเถโร มะเหสีจิตตะวาทะโก แปลว่า พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นใหญ่ในทางใช้ถ้อยคำอันวิจิตร คือ สามารถเปรียบเทียบได้สุดยอดมาก”
      ถาม :  มเหสี แปลว่าอะไร ?
      ตอบ :  แปลว่า เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น...ผู้หญิงต้องเป็นใหญ่กว่า โบราณเขารู้ดี...!
*************************

              “พระเจ้าปายาสิอยากจะหาวิญญาณของคน ก็คือดวงจิต ถึงขนาดจับโจรมาใส่หม้อทั้งเป็น เอาหนังรัด เอาดินเหนียวพอกแล้วตั้งไฟจนกระทั่งเขาตาย เปิดดูก็ไม่เห็นมีวิญญาณ
              บางทีก็จับมาเชือดทีละชิ้น ๆ รัดคอจนตายก็มี แล้วหาว่าวิญญาณอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ พระเจ้าปายาสิก็เลยไม่เชื่อว่าจิต หรือวิญญาณมี ไปเกิดโลกใหม่ได้ก็ไม่เชื่อ
              พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า อาจารย์ที่เป็นนักบวชสั่งลูกศิษย์ให้ก่อไฟเพื่อต้มน้ำ ลูกศิษย์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า แค่สีไฟให้ติดก็ก่อไฟได้ แต่ลูกศิษย์ก็ผ่าฟืน ผ่าเพื่อหาว่าไฟมาจากไหน เพราะเห็นไฟติดมาจากฟืนเลยพยายามผ่าฟืนหาไฟ แล้วจะมีโอกาสเจอไฟไหม ?
              ท่านเปรียบแต่ละอย่างเห็นภาพพจน์จะชัดเจนมาก ไปหาอ่านให้ได้ ถ้าไม่อ่านพระไตรปิฎกเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต”
*************************

              “คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ นาน ๆ ไปบุคลิกจะเป็นฝรั่ง ที่ว่าบุคลิกเป็นฝรั่งไม่ใช่ว่าหน้าตาเหมือน คือเขากล้าแสดงออก ตรงไปตรงมา เคารพกฎหมายและมีระเบียบ บุคลิกพวกนี้จะติดตัวมา จนกลายเป็นสมบัติของเขาไปแล้ว
              ต่อไปจะอยู่ประเทศไทยยาก เพราะจะทนความไม่มีระเบียบไม่ได้แล้ว ประเภทนัดตอนนี้แล้วอีกชั่วโมงยังไม่มา ได้ทะเลาะกันบ้านแตกแน่ แต่ต่างประเทศเขาตรงเวลาชนิดนาทีต่อนาที
              บ้านเขามีส่วนดีของบ้านเขา บ้านเรามีส่วนดีของบ้านเรา แต่ทีนี้พอเราเคยชินกับที่หนึ่ง แล้วเอาไปวัดกับอีกที่หนึ่ง ก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบที่ต่างกันมาก
              ตอนที่ไปพม่าเมื่อ ๕ - ๖ ปีก่อน แรก ๆ อาตมารับเขาไม่ค่อยได้ เพราะเขาทำอะไรยืดยาดมาก เราต้องการจะเช่ารถตอนนี้ เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันไม่ดี ออกรถไม่ได้ ให้รอก่อน พอถึงเวลารถวิ่ง เขาก็วนไปรับคนก่อน คือ ไหน ๆ ออกแล้วก็รีบคนให้เต็มที่ นั่นเราเช่ารถเขามาแล้วนะ
              วนแล้วหมู่บ้านนี้ไม่มี ก็วนไปหมู่บ้านอื่นอีก วนเสร็จย้อนกล้บมาหมู่บ้านเดิม ถามว่ามีใครเปลี่ยนใจไหม ? คนเขาก็บอกว่ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย คนขับรถก็บอกว่าไม่เป็นไร...รอได้...! สรุปแล้ววันทั้งวันเขาพาอาตมาวิ่งไปได้แค่ ๒๒ ไมล์ แล้วก็ต้องไปค้างคืนกลางทาง
              ถ้าสภาพจิตยอมรับไม่ดิ้นรนมากก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าดิ้นรนมาก เดี๋ยวก็เตลิดกลับไปต่างประเทศอีก”
*************************

              “ในเรื่องของศาสนาทุกศาสนา ตัวศรัทธาจะต้องมาก่อนทุกอย่าง ถ้าขาดศรัทธาก็จะไม่เข้ามาสอบถาม ไม่เข้ามาศึกษา
              ในเมื่อไม่มาสอบถาม ไม่มาศึกษา ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าศาสนาดีอย่างไร ฉะนั้น...เรื่องของศรัทธาจะต้องมาก่อน”
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดีครับ ?
      ตอบ :  ภาวนาเยอะ ๆ แล้วจะดีเอง บุญของการภาวนาเป็นบุญใหญ่ จะช่วยให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด เร็วกว่าบุญอื่นทุกอย่าง
*************************

      ถาม :  เวลาสอนเด็ก บางทีรู้สึกแน่น ๆ อึดอัด ถ้ารู้สึกแบบนี้ เนื้อหาที่สอนไปเด็กจะไม่เข้าใจ แต่พอสอนด้วยอารมณ์เป็นสุข เด็กก็เข้าใจเนื้อหาที่สอนตอนแรกงง คิดว่าคงกินข้าวมากเกินไป ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก ถ้าอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นแสดงว่ามีใครสักคนที่สงเคราะห์
      ถาม :  สงเคราะห์เขา ?
      ตอบ :  ใช่…อาจจะสงเคราะห์เด็กทั้งหมดก็ได้
      ถาม :  แต่ทำไมเราจึงรู้สึกอึดอัด ?
      ตอบ :  ถ้าคนไม่ช่างสังเกตจะไม่รู้สึก เพียงแต่สงสัยว่า ตั้งใจพูดอย่างหนึ่ง แต่ทำไมกลายเป็นอีกอย่าง
      ถาม :  เป็นทุกคนหรือเปล่า ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องเฉพาะคน แต่ถ้าคนช่างสังเกตก็จะรู้สึก ถ้าไม่ช่างสังเกตก็ขะไม่รู้สึก ว่าทำไมวันนี้เราพูดอะไรไปเยอะแยะ ความจริงแล้วไม่ใช่เราพูด แต่เป็นใครก็ไม่รู้ยืมปากเราพูด
      ถาม :  บางทีอยู่เฉย ๆ แล้วง่วงมากเลย ปรากฎว่าเด็ก ๆ นั่งอยู่ก็ง่วง พอขึ้นเรื่องใหม่เด็กหายง่วง ตัวเองก็หายง่วงด้วย ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก สอนเด็กได้ก็ใช้ได้
*************************

              ก่อนเข้าพรรษา โรงเรียนอนุบาลเฟื่องฟ้าพาเด็กไปวัดท่าขนุนประมาณ ๑๐๐ คน เพิ่งจะรู้ว่าครูสอนเด็กอนุบาลต้องมีความอดทนมาก คือ พูดอะไรเด็กก็ไม่ฟังสักอย่าง เขาจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบ ขนาดแบ่งเด็กออกเป็นสี ๆ แล้ว ก็ไม่ฟังหรอก เขาจะไปกับเพื่อนอย่างเดียว สีไหนก็จะไป
*************************

      ถาม :  โยมถวายของพระ แล้วต่อมาขอคืนโดยผาติกรรมไป ?
      ตอบ :  “แบบนี้เขาเรียกว่า ถวายแล้วตัดใจไม่ได้ เป็นพวกศรัทธาแบบหัวเต่า เดี๋ยวหดหัวเข้า เดี๋ยวโผล่หัวออกมา ศรัทธายังไม่แน่นอน”
*************************

      ถาม :  ไม่เอาเรื่องกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ?
      ตอบ :  ค่อย ๆ ทำไป พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะเห็นว่า จริง ๆ แล้วคนเราไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่เป็นไปตามวาระกรรมเขา แล้วเราก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอนาคตของเขา
              มีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือตามหน้าที่ของเรา พ้นจากนั้นแล้วเราก็ไม่ยุ่งกับเขา เราก็จะไม่แบกอารมณ์ของคนอื่น
      ถาม :  จะทำอย่างไรเวลาที่อารมณ์ปรี๊ดขึ้นมา ?
      ตอบ :  หยุดไว้ให้ได้ก่อน
*************************

      ถาม :  รู้สึกว่าเป็นอารมณ์ “ใช่” กับ “ไม่ใช่” ตลอดเวลา บอกให้มองเป็นกลาง ๆ บางครั้งก็มองออก บางครั้งก็มองไม่ออก ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วก็จะเริ่มกลมกลืนไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
*************************

              “พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านเป็นสุดยอดของอัจฉริยะจริง ๆ
              พรหมวิหาร ๔ ถ้าเรามีแต่เมตตากรุณาอาจจะแย่ เพราะว่าส่วนใหญ่เวลาช่วยคนอื่นไม่ได้แล้วใจจะหมอง พระองค์ท่านจึงประทานอุเบกขามาให้ด้วย แต่คราวนี้คนที่จะใช้อุเบกขาเป็นต้องมีปัญญาจริง ๆ มีปัญญาอย่างเดียวไม่พอ จะต้องเด็ดขาดด้วย
              เด็ดขาดในระดับตัดกิเลสฉับได้เลยย่ิงดี เพราะถ้าไม่มีอุเบกขา คาดว่าคนดี ๆ คงจะบ้าอีกเยอะ ช่วยเขาไม่ได้แล้วก็มานั่งเสียอกเสียใจ ตีอกชกตัวเอง เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมเราช่วยเขาไม่ได้ ?
              ในเมื่อมีตัวอุเบกขา แสดงว่าทุกอย่างมีคำตอบ เราเข้าใจแล้วว่าวาระเป็นอย่างนั้น แบบเดียวกับเมื่อวานที่โจเซฟเขาบอกว่า กรรมเฉพาะตัวเขารู้เขาเข้าใจ ว่าใครทำใครได้ แต่ประเภทที่โดนสึนามิ ตายทีเป็นแสน เขาทำกรรมอะไรกันมา ?
              อาตมาก็บอกว่า พวกนี้เมื่อก่อนยกทัพไปตีบ้านตีเมืองเขา ถึงเวลาก็รับกรรมพร้อม ๆ กัน นั่นฝรั่งเขาถามนะ โจเซฟเขาเป็นชาวเยอรมัน มาถามปัญหาครั้งนี้เขาลืมพาสปอร์ต ก่อนเดินทางก็ท้องเสีย มารเขาทดสอบกันขนาดนี้เลย
              ในเรื่องของอุเบกขา จำเป็นต้องใช้ปัญญาช่วยเยอะมาก ๆ เพราะถ้าไม่มีปัญญา เราก็ไม่รู้ว่าจะหยุดจะควรในวาระที่เหมาะอย่างไร ?”
*************************