เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓
ถาม : นั่งสมาธิแล้วมีอาการประหลาด ๆ อย่างตอนเลื่อนฌาน จะคล้ายกับเราเผลอ แล้วจะมีภาพแปลก ๆ บางทีก็เป็นภาพสะพาน บางทีก็เป็นภาพคนกำลังสู้กับสัตว์ประหลาด แต่ถ้าเราไม่สนใจมองภาพแล้วก็ภาวนาไป ก็จะข้ามไปฌานต่อไป แต่ถ้าเราไปรู้สึกว่ากำลังฟุ้งซ่านแล้ว มีการตกใจ แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจ ก็จะคาอยู่ที่เดิม จะไม่ไปต่อค่ะ ?
ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังเสียด้วยซ้ำไป
ถาม : แล้วภาพนั้นคืออะไรหรือคะ จะว่าฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นั่นเป็นนิมิต ถ้าเราไปให้ความสนใจ มารเขาก็ขวางเราได้สำเร็จ ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ มารเขาขวางไม่ได้ เราก็ไปต่อ ถือเป็นเรื่องปกติ
ถาม : นึกว่าเป็นการฟุ้งซ่าน ยังสงสัยว่าทำไมข้ามไปได้ ก็เลยไม่เข้าใจค่ะ ?
ตอบ : ซ้อมการทรงฌานให้คล่องกว่านี้ ประเภทว่าจะข้ามชั้นจะลดชั้นเมื่อไร ต้องให้ได้อย่างใจเรานึกเลย แล้วช่องว่างระหว่างนั้นไม่มี ภาพจะปรากฎไม่ทัน แต่ถ้าหากว่าเรายังเข้าฌานออกฌานช้าอยู่ ยังต้องรอระยะเวลาอยู่ ภาพพวกนี้ก็จะแทรกได้
ถาม : ทำอย่างไรพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ?
ตอบ : ซ้อมใหม่ เข้าฌานออกฌาน ขึ้น ๆ ลง ๆ ...ลง ๆ ขึ้น ๆ เอาให้คล่อง ชนิดนึกเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น
*************************
ถาม : ปกติถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ต้องเป็นฌาน ๔ เท่านั้นหรือเปล่าคะ เป็นฌาน ๓ ปลาย ๆ ได้หรืเปล่า ?
ตอบ : เป็นฌาน ๔ อย่างเดียว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราจะเข้าใจผิด การฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เป็นฌาน ๔ ส่วนครึ่งกำลังที่ว่าเป็นแค่ตอนที่เป็นอุปจารสมาธิ แล้วทิพจักขุญาณเกิดขึ้นเท่านั้น
ถ้าหากว่าเราเห็นภาพก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าเรากำหนดจิตไปถึงตรงนั้นได้ นั่นเป็นกำลังของฌาน ๔ แล้ว แต่ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้บอก เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น
เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ว่า คนที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังแล้ว ถ้าไปฝึกเต็มกำลัง มักจะไม่ค่อยได้อะไรกับใคร คำว่าไม่ค่อยได้อะไรกับใครก็คือว่า แยกแยะความแตกต่างไม่ออก
ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ว่า พอไปฝึกเต็มกำลัง ความคล่องตัวมีมากขึ้นนิดหน่อย ความชัดเจนมีมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่าการไปครึ่งกำลังก็คือฌาน ๔ เหมือนกันจนชินแล้ว
ถาม : แต่ว่าพอตัวเองถึงจุดนั้น ก็จะเด้งออกไปทุกทีเลยค่ะ ?
ตอบ : ก็ไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ?
ถาม : บอกว่าจะมีการทรงสมาธิสูงสุด แล้วเลื่อนออกมาพิจารณา ?
ตอบ : อันนั้นเสียเวลา ไม่ทันกิน ไม่ทันพิจารณาเขาก็ออกไปกันแล้ว
ถาม : ก็ถอยออกมาพิจารณาไม่ได้สิคะ เพราะเด้งออกไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง เราก็พิจารณาตอนเด้งออกไปแล้วว่า ร่างกายไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นคนละตัวกันเลย
ถาม : เวลาที่ออกไปรู้สึกว่าสติจะน้อยลง มักจะทรงอยู่ได้ไม่นาน แสดงว่าสมาธิน้อยไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้วิธีที่อาตมาเคยทำ ไปสวดมนต์ถวายพระท่านเยอะ ๆ ให้ใจเราผูกอยู่บนพระนิพพานตนรงนั้นว่า ถ้าสวดยังไม่จบเราจะไม่เลิก พอมีงานก็จะอยู่ตรงนั้นไปได้เรื่อย ๆ
ความจริงกำลังจิตของเรายังหยาบอยู่ ไม่ใช่กำลังของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง จึงยังไม่ชินกับพระนิพพานหรือระดับภพภูมิสูง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปก็เหมือนกับไม่เคยชิน เหมือนจะโดนยันกลับอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้กำลังไปต้านอยู่
คราวนี้ถ้าจิตมีงาน...ก็จะอยู่ได้ ถ้าไม่มีงาน...ไม่ทันรู้ตัวเราก็ลงมาแล้ว ใครที่ไปแล้วกลัวกลับไม่ได้ ขอประกันว่ากลับทุกรายแหละ เลิกกลัวได้แล้ว ประเภทกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ เพราะไม่ทันคิดจะกลับ เราก็ลงมาเองแล้ว...!
ถาม : เวลาไปปกติจะจับภาพพระ แล้วก็ไป แต่จะไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ?
ตอบ : ให้รู้ว่าตรงหน้าเรามีพระก็ใช้ได้ ไม่ต้องไสนใจว่าตรงไหน ตีขลุมไปเลยว่าพระท่านอยู่บนพระนิพพาน
ถาม : คนที่อยู่โคตรภูญาณถอยได้ไหมคะ ?
ตอบ : โคตรภูญาณจะไม่มีการถอยแล้ว ถ้าไม่คาอยู่กับที่ก็บุกขึ้นหน้าอย่างเดียว
กำลังใจที่รักในพระนิพพานจะไม่ถอยแล้ว รู้จักของดีที่สุดแล้วเรื่องอะไรจะถอยไปเอากรวดเอาทราย เขาก็มุ่งไปหาโคตรเพชรกันทั้งนั้น
ถาม : ถ้าบังเอิญตายก่อน ก็ไม่มีสิทธิ์ลงนรกแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ เผลอคิดก็ไปเหมือนกัน เรื่องของนรกนี่ประมาทไม่ได้ เราชำนาญมาเยอะ ทางนรกนี่ถางเตียนโล่งสำหรับเราเลย เพราะฉะนั้น ถ้าประมาทจะลงเอาง่าย ๆ
*************************
ถาม : เปลี่ยนรถใหม่ค่ะ เพราะคันเก่าซ่อมไม่ไหว ขายแล้วซื้อคันใหม่ ?
ตอบ : ขายเป็นเศษเหล็กไปเถอะ เพราะถ้าอยู่อยู่กับเราก็ต้องเสียค่าต่อทะเบียน
อย่าไปยึดติดผูกพันอะไรมากมาย ถ้าขนาดของใช้ยังยึดติดผูกพันอยู่ อย่างอื่นก็จะไปไม่รอด ถือว่าเอาของใหม่มา ของเก่าก็หมุนเวียนเข้าสู่กลไกของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะถ้าหมดสภาพแล้วก็อนัตตาแน่ ๆ
*************************
ถาม : ถ้าจะอยู่กับสติเฉพาะหน้า ต้องใช้กำลังสมาธิข่มไว้ ไม่ว่ากรรมฐานหรือวิปัสสนาญาณอะไร ก็ต้องสนใจอารมณ์เฉพาะหน้า เมื่อรู้ว่าอะไรจะเข้ามาก็ตัดไปเลย ยิ่งตัดบ่อย ๆ ก็จะตัดได้เร็วขึ้น แล้วก็จะหยุดกิเลสตรงนั้นดับกิเลสตรงนั้น หยุดการปรุงแต่งของกิเลส ?
ตอบ : ถูกต้องตรงเป๊ะเลย ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
ถาม : แต่ยาก เพราะจิตมีการดิ้นรน มีการส่าย ?
ตอบ : พอเผลอก็หลุดจากตรงนั้นไปด้วย
ถาม : พอรู้ว่าการปฏิบัติจะต้องไปลงตรงนี้ จิตก็ยิ่งดิ้นใหญ่ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าตอนไหนที่กำลังของเราดีกว่าก็ไปจ่อยู่ตรงนั้น ทำแต้มของเราไปเรื่อย ถ้าตอนไหนความฟุ้งซ่านมีกำลังกว่า ดิ้นไปทางอื่นได้ ก็ปล่อยไป
อย่างน้อยเราชนะสัก ๕:๔ ก็ยังดี เพราะอย่างไรเราก็ชนะ ดูอย่างสเปนชนะ ๑ : ๐ มาเกือบทุกนัด เขาก็ยังได้แชมป์ จะเห็นว่าสเปนไม่ได้เอาแต้มเยอะเลย
ถาม : รู้ว่าถ้าคิดหรือฟุ้งซ่านต่อไป จะเกิดผลอะไร ก็จะตัดไปเลย ?
ตอบ : นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องการ เพราะว่าทันทีที่เราคิด เราจะรู้ว่าคิดด้านนี้ดีอย่างไร แล้วคิดด้านนี้เป็นโทษอย่างไร เห็นโทษแล้วเราก็จะสละส่วนที่เป็นโทษ แล้วเก็บแต่ในส่วนที่เป็นประโยชน์เท่านั้น อาตมาว่าพูดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วนี่หว่า นี่เราเพิ่งจะคลำเจอ...!
*************************
ถาม : บางคนเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษไร้สาระ แต่เราเอามาเป็นสาระหรือเป็นประโยชน์ได้ หรือสิ่งที่คนอื่นเห็นเป็นสาระ ?
ตอบ : เราก็ต้องเห็นโทษของสิ่งนั้นได้
ถาม : เหมือนคนที่หยิบสิ่งหนึ่งสิ่งใด มาพลิกให้เป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการ แต่คิดได้พักเดียว ?
ตอบ : เอาน่า...อย่างน้อยก็มองเห็นแล้ว อย่างน้อยอาตมาก็จะได้รู้ว่าที่สอนมาไม่เสียเปล่า มีคนเห็นบ้างแล้ว
ถาม : เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้แต่จิตก็ยังเห็นว่าไม่ใช่เรา แต่เห็นแค่อาทิตย์เดียว ?
ตอบ : ได้ตั้งเยอะแล้ว ใหม่ ๆ อาตมาเห็นได้แค่แวบเดียว
ถาม : กำลังสมาธิลดลง ปัญญาก็ลดลงตาม ?
ตอบ : อย่างที่อาตมาบอกว่า คำตอบเกือบทุกอย่างอยู่ที่สมาธิ ปัญญาเป็นแค่ส่วนต่อท้ายเท่านั้น ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอ คุณไม่สามารถจะหยิบอาวุธขึ้นมา แล้วก็ใช้การอะไรไม่ได้หรอก รีบไปบรรเลงต่อ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย
ย้อนกลับไปดูกระโถนข้างธรรมาสน์เล่มเก่า ๆ ที่อาตมาพูดน่าจะเจอนะ บางเรื่องพูดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าพูดไป ๆ เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ถึงได้บอกว่า ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก หัวตอไม่งอก ให้แค่เปียก ๆ ก็ยังดี นี่เห็นงอกขึ้นมาใบหนึ่งแล้ว ค่อยชื่นใจหน่อย
*************************
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า พระสกิทาคามีพิจารณาก็เข้าถึงฌานสี่ เคยได้ยินว่าต้องทรงอนาคามีผล ถึงจะ ?
ตอบ : พระสกิทาคามีตอนปลายกำลังสมาธิเท่ากับพระอนาคามีตอนต้นแล้ว พระอนาคามีต้องได้ฌานสี่เท่านั้น จะเป็นฌานสี่ที่เกิดจากการพิจารณาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌานสี่ที่เกิดจากนั่งสมาธิอย่างเดียว
ถาม : กำลังเท่ากันหรือเปล่า ?
ตอบ : กำลังจะสูงกว่าพระโสดาบัน เพราะว่า ในเรื่องของราคะกับโทสะ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่เราจะเอาไม่อยู่ ประเภทที่เราจะต้องรั้งม้าริมหน้าผาให้หยุดก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น...กำลังต้องได้ระดับฌานสี่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ เพราะกิเลสองตัวนี้แสบสุด ๆ
ถาม : พระสกิทาคามีที่ท่านบอกว่า จำเป็นต้องใช้ฌานสี่ในการใช้ปัญญาพิจารณา มีหยาบ มีละเอียดด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเป็นระดับเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า ก็คือพระโสดาบันนั่นแหละ พระโสดาบันที่ทรงฌานสี่ได้ก็จะเป็นเอกพีซี จัดเป็นพระสกิทาคามี ซึ่งก็คือเป็นพระอนาคามีตอนต้นนั่นแหละ
ถาม : แต่ยังไม่เข้าโคตรภูหรือคะ เพราะถ้าเป็นพระอนาคามีตอนต้นแต่ก็ยังละไม่ได้ ?
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของสกิทาคามีผล แต่ว่าจะอยู่ในส่วนของอนาคามีมรรคก็ได้ อนาคามีมรรคก็อยู่ระหว่างโคตรภูกับในส่วนของอนาคามีผล พูดง่าย ๆ ว่า พยายามทำฌานสีให้ได้ แล้วอะไร ๆ จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย
อาตมาตอนแรกก็ตั้งใจเอาแค่ปฐมฌาน หลังจากที่รบกับกิเลสมาหลายปี จนกระทั่งรู้สึกว่า ชีวิตนี้ได้แค่พระโสดาบันก็สุดยอดแล้ว...คุ้มจริง ๆ นะ ลำบากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราปิดอบายภูมิได้ ก็สบายแล้ว แรก ๆ ก็หวังแค่นี้ แต่คนได้คืบก็มักจะเอาศอก พอได้แล้วก็รุกคืบหน้าต่อไป
ถาม : ถ้าทรงฌานสี่โดยใช้ปัญญาพิจารณาก่อน แล้วค่อยไปเสริมในกรรมฐาน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสริม ถ้าเป็นฌานสี่ก็พอแล้ว แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่ชำนาญในการพิจารณา ในเมื่อไม่ชำนาญแล้วโอกาสที่จะพิจารณาจนจิตเป็นฌาน เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคลจึงหายาก ก็ต้องเป็นฌานลาภีบุคคล โดยการเอาสมาธิเข้ามาช่วย จนกระทั่งกำลังสูงพอแล้วคลายมาพิจารณา
ถาม : อภิญญาลาภีบุคคล เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คือบุคคลที่ทรงอภิญญา ได้แค่อภิญญาห้าก็เป็นอภิญญาลาภีบุคคลแล้ว อภิญญาห้าข้อแรกอย่างไรก็พอหาได้ แต่อภิญญาข้อที่หกนั้นหายาก
หมายเหตุ : อภิญญาข้อที่หก คือ อาสวักขยญาณ : การทำลายอาสวะ (กิเลส) ให้หมดสิ้นไป
*************************
“พรรษานี้พระผู้ใหญ่ในสายมหานิกายถือว่าอยู่ในระดับวิกฤต อย่าง หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ก็อยู่โรงพยาบาล หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ผ่าตัดเนื้องอกในตับ กลับมาแล้ว แต่ละวันก็พักผ่อนมากกว่าทำงาน เพราะร่างกายยังไม่ไหว กลายเป็นว่าผู้อาวุโสสูงสุด ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จพรพะมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ต้องรับงานหนักในตอนนี้
สมัยก่อนในวงการพระท่านเรียกแบบกันเองว่า “ปู่พุฒ ตาช่วง ลุงยม พ่อเกี่ยว” เขาเรียกกันอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เคารพนะ แต่เรียกแบบรักสนิทเลย
ตอนนี้ปู่พุฒ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุดวรรณาราม) ท่านไปแล้ว ตอนไปอายุ ๑๐๓ ปี
ตาช่วง (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ) อายุ ๘๗ ปี ตอนนี้รับบทหนักที่สุด
ลุงยม (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) อายุ ๘๕ ปี เพิ่งผ่าตัดเนื้องอกที่ตับมา กำลังพักฟื้น
พ่อเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ) อายุ ๘๓ ปี ยังอยู่โรงพยาบาล รอให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยกลับวัด”
*************************
“ความจริงอาตมามีของอยู่ชุดหนึ่ง เป็นไข่มุกทะเลใต้สีทอง ขนาดน่าจะอยู่ราว ๆ ๑๔ ม.ม. มีอยู่ ๗ เม็ดด้วยกัน ปกติไข่มุกสีทอง จะเป็นทองเหลือบ ๆ แต่ชุดนี้เป็นสีทองค่อนข้างเข้ม มีใบประกาศนียบัตรรับรองความแท้มาพร้อมเลย
ตอนแรกว่าจะเอาไปลงงานกฐินปลดหนี้ แต่เงินสำหรับกฐินปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง น่าจะได้เกินที่ต้องการแล้ว รอเอาไปปลดหนี้วัดอื่นดีกว่า จะคิดให้แพงหูดับไปเลย...!”
“คำว่า ของแปลก เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยเห็น ของอะไรถ้าเคยเห็นแล้วก็จะไม่แปลก ทุกอย่างปกติธรรมชาติเขามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ก็เลยเห็นเป็นของแปลก
อย่างหนังสือพิมพ์เอาไปลงข่าว ต้นตาลประหลาดออกดอกทั้งต้น เขารู้จักต้นตาล แต่ไม่รู้จักต้นลาน พอเห็นต้นลานไม่มีใบ มีแต่ดอก ก็ถ่ายรูปมาลงหนังสือพิมพ์ ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าเป็นต้นตาลประหลาด
หรืออย่าง กล้วยผา ตรงโคนต้นจะโตเหมือนกับโอ่ง เขาก็เอามาลงว่าเป็นกล้วยประหลาด คนที่ไม่รู้จักกล้วยผาก็แห่กันไปขอหวยกันใหญ่ แต่อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว
แปลว่า ของที่เขาไม่เคยเห็นก็เป็นของประหลาด ถ้าเขาเห็นแล้วก็จะหมดความประหลาดไปเอง เพราะปกติของธรรมชาติเขามีอยู่แล้วอย่างนั้น”
*************************
“วันตรัสรู้ก็คือวันจบปริญญา แต่ว่าปริญญาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นปริญญาจริง ๆ
เพราะว่า ปริ แปลว่า รอบ,อัญญา แปลว่า รู้,ปริญญา คือ รู้ รอบ รู้ทั่ว
อย่างพวกเราน่ะจบปริญญาเอกก็รู้ไม่หมดหรอก รู้แค่ตรงที่เรียนมา”
*************************
ถาม : ที่บ้านปลวกขึ้น จะมีวิธีไล่อย่างไร ?
ตอบ : เป็นแค่ทางเดินหรือเป็นรังใหญ่ ?
ถาม : กินเข้ามาถึงในบ้านแล้ว ?
ตอบ : ถ้ากินถึงข้างในแล้ว โอกาสที่จะไล่โดยที่ปลวกไม่ตายนี่ก็ยากแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นรังใหญ่หรือทางเดินยังพอได้อยู่
ถาม : ถ้ายังไม่ได้กินเข้ามา ยังเป็นแค่รังใหญ่หรือทางเดิน เราจะไล่อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นทางเดิน เลือกเอาวันที่อากาศร้อน ๆ ไปเขี่ยทางเดินออกเอาน้ำมันโซล่าราดไว้ตรงจุดที่ขึ้นจากพื้นดิน ปลวกก็จะไม่ขึ้นมาอีก เพราะเวลาอากาศร้อนปลวกจะหนีลงไปใต้ดินที่เย็นกว่า ถ้าเป็นรังใหญ่ก็ราดบนรังไปเลย เวลากลิ่นน้ำมันลงไปถึง ปลวกจะย้ายหนีไปเอง แต่เราต้องทนเหม็นน้ำมันหลายวันหน่อย
*************************
ถาม : พระปิดตาของท่านเป็นพระปิดตาเงินล้านจริงหรือเปล่า ? รู้สึกว่าออกแนวบู๊ ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ คล้องคอแล้วรู้สึกอยากลุย ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทำเผื่อให้ ต้องดูสิว่า คนทำนิสัยเป็นอย่างไร ...!
ถาม : ผมว่าแล้ว คล้องแล้วรู้สึกอยากบู๊ ?
ตอบ : จะทิ้งนิสัยเดิมก็ไม่ใช่ที่ แบบเดียวกับคนแขวนพระปิดตามหาลาภหลวงปู่โต๊ะ โดน ๑๑ ม.ม. ยิงแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นมหาลาภนะ...!
*************************
ถาม : การกำหนดจับภาพกสิณต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แรก ๆ หลับตานึกถึง เราจะจำภาพได้ชั่วคราว พอภาพหายไปก็ลืมตาดูใหม่ กำหนดจำ นึกถึงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาหรือลืมตาเห็นได้เท่ากัน แล้วก็ตั้งใจประคองภาพนั้นเอาไว้
คุณมองดูนี่ (หยิบหนังสือขึ้นมา) หลับตาลงแล้วเรานึกถึง จะเห็นได้ครู่หนึ่ง พอภาพเลือนไป ก็ลืมตามองดูแล้วหลับตานึกถึงใหม่ ระยะเวลาที่จำภาพได้จะยาวนานขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นอุคหนิมิต คือติดตาติดใจ สามารถที่จะเห็นได้ทุกเวลา
ถาม : การกำหนดลมหายใจ ?
ตอบ : จำเป็นต้องใช้ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจ นิมิตกสิณจะไม่มีวันทรงตัวได้เลย นิมิตทรงตัวได้เพราะสมาธิแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจ สมาธิก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวแน่นขึ้นไปได้
ถาม : ต้องทำทั้งสองอย่างควบ ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างรวมกัน ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่รูป ความร้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา
ถาม : กว่าจะทำได้ รู้สึกว่าช้า ?
ตอบ : ช้าก็ต้องยอม เพราะกติกาเขาเป็นอย่างนั้น ค่อย ๆ ทำไป อะไรที่รีบร้อน สุกเอาเผากินมักไม่ได้เรื่อง
*************************
ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงได้แล้ว แต่อยู่ไกล ก็เลยไม่ได้กลับไปฝึกอีก ?
ตอบ : กลับไปซ้อมเองที่บ้านบ่อย ๆ การที่ฝึกกับครูเป็นแค่แนวทางเท่านั้น พอได้แนวแล้วต้องซ้อมเองบ่อย ๆ จึงจะมีความคล่องตัว ถ้าไม่หมั่นซ้อมบ่อย ๆ ก็เสื่อม
*************************
ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ เพื่อนสงสัยว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ผลกรรมจึงส่งผลให้แตกต่างกันไป แต่ทำไมตอนเกิดสึนามิ หลายคนจึงตายเพราะคลื่นสึนามิพร้อม ๆ กัน ทั้งที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย
“เขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่นเคยอยู่ในกองทัพที่ไปตีบ้านตีเมืองเขาพร้อม ๆ กัน พอถึงวาระ กรรมนั้นก็จะย้อนกลับมา ทำให้คนหมู่มากกลุ่มนี้ได้รับกรรมนั้นพร้อมกัน
จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเรื่องกรรมไว้ชัดเจนมาก มีทั้งเป็นไปตามเวลา ยักเยื้องไปตามความหนักเบา พระองค์ท่านเปรียบเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ส่วนที่เป็นครุกรรมก็เหมือนกับเพาะถั่วงอก ๑๐ ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ส่วนที่เป็นอปราปรเวทนียกรรม เหมือนกับการปลูกไม้ผล ต้อง ๔ - ๕ ปี เป็นอย่างน้อย จึงจะมีผลให้กิน”
*************************
“จำไว้เลยว่า เรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น รู้แล้วต้องละ ถ้าประเภทรู้แล้วว่าใครเป็นเนื้อคู่ของเรา แล้วตะเกียกตะกายไปหา...ไอ้นั่นบ้า...!
นั่นเป็นอดีตผ่านมาแล้ว ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องไปจมปลักอยู่กับคนเก่า ๆ หาเอาใหม่สิวะ...!”
*************************
ถาม : ทำบุญอะไรมาจึงมีอาจารย์ที่เก่งและฉลาด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการสร้างบุญแบบนี้ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจง แต่การที่เราอยู่ในช่วงสร้างบุญบารมี เราได้สร้างร่วมกับท่านมา
ในเมื่อเราได้สร้างร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านและเราจะมาอยู่ในลักษณะต้องให้การสงเคราะห์ ส่งเสริมซึ่งกันและกันก็จะบังเกิด ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้ทำร่วมกับท่านมาตั้งแต่แรก
*************************
ถาม : การที่เราทำทั้งบุญและบาป ถ้าเป๋ไปเป๋มาออกนอกลู่นอกทางเหมือนตาบอดคลำทาง ท่านจะ่วยให้ไดอานิสงส์ในส่วนของความดีไหมคะ ?
ตอบ : พระท่านจะดูในส่วนที่ดีไม่ได้ดูในส่วนที่ไม่ดี เราจะเคยชั่วอย่างไรมาท่านไม่ได้มองตรงนั้น แต่ท่านจะมองในจุดที่ว่าเรามีความดีอะไรที่ท่านจะหนุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วท่านก็จะช่วยในจุดนั้น
การทำชั่วเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาให้รู้จักทำดีให้มากกว่าชั่วก็แล้วกัน
*************************
ถาม : จะบังคับให้ละวิตก วิจาร ในเวลาภาวนาได้อย่างไร ?
ตอบ : ตัวสมาธิที่สูงขึ้นจะทำให้ละไปเอง เป็นไปเอง ไม่ใช่บังคับ เรามีหน้าที่กำหนดตาดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่นก็ดึงกลับมา พอถึงเวลารวมตัวแน่นเข้าเป็นสมาธิที่สูงขึ้น คำภาวนาหรือลมหายใจจะค่อย ๆ หมไปเอง
ไม่ใช่เราไปบังคับ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเหตุ ทำให้ถึงแล้วก็จะเป็นเอง
*************************
“หลักปฏิบัตินั้น เราต้องทำบ่อย ๆ ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง อยากจะพูดเก่ง ให้พูดบ่อย ๆ อยากจะอ่านหนังสือเก่งให้อ่านบ่อย ๆ อยากจะทำกรรมฐานเก่งให้ทำบ่อย ๆ”
*************************
ถาม : ให้ลูกสองคนนั่งสมาธิ มีคนหนึ่งช้ากว่า ควรจะเพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ หรือรอคนที่ช้ากว่า ?
ตอบ : รอเขาหน่อย ตอนนี้ให้เขานั่งได้กี่นาทีแล้ว ?
ถาม : นาทีครึ่งค่ะ ?
ตอบ : นาทีครึ่งสำหรับเด็กก็เยอะมากแล้ว ?
ถาม : ถามลูกว่านั่งแล้วเป็นอย่างไร ลูกบอกว่าเห็นภาพระ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกลูกว่า หนูจำภาพพระเอาไว้ แล้วนึกถึงให้ได้ตลอดเวลา จะกันแม่ตีได้ ถ้าวันไหนหนูนึกถึงภาพพระได้ แล้ววันนั้นแม่จะตีหนูไม่ลง
เวลาจะเกลี้ยกล่อมอะไรลูก เราต้องรู้ใจเขา ว่าเขาต้องการอะไร คราวนี้เขาจะเชื่อ แต่ถ้าเราลืมไปแล้วว่าตอนเด็กเราต้องการอะไร เวลาเราพูดไปเขาก็ค่อยฟังเราหรอก
*************************
ถาม : จะทำอย่างไรให้ลูกชายรักเรียน ขยันเรียน ?
ตอบ : สมัยก่อนที่อาตมาขยันเรียน แม่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก แม่บอกว่า “แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา” แม่บอกแค่นี้ ฉะนั้น...ถ้าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปใหญ่ เมื่อได้ยินแม่บอกดังนั้น จึงเห็นความสำคัญของการเรียนมาก
จริง ๆ แล้วสมัยที่เรียน แม่มีลูก ๑๒ คน แม่ส่งเรียนหมดเลย แม่พูดอยู่เสมอว่า “แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา” แล้วเราก็เห็นอย่างนั้นจริง ๆ ทางบ้านถูกเขาโกงที่ดินไปหลายไร่ เพราะเขาออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ของเรา เราไม่รู้ว่าถ้าไม่คัดค้าน ครบ ๑๐ ปีก็จะกลายเป็นของเขา จึงกลายเป็นความฝังใจว่าเราต้องรู้ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะเสียเปรียบเขาเหมือนกับแม่
*************************
“คนทั่วไปยิ่งอยู่นานไป ความต้องการก็ยิ่งมากขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็มากขึ้นไปด้วย โอกาสที่จะทำผิดทำพลาดก็มีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้น รีบไปพระนิพพานเสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า”
*************************
“จำเอาไว้ อำนาจเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่ง บุคคลที่ขาดสติมักจะเสร็จทุกราย
การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวฏสงสาร ย่อมไม่มีวันเบื่อ ที่ยังไม่มีก็พยายามไขว่คว้ามาให้มี มีแล้วก็พยายามดิ้นรนรักษาไว้ ความจริงเป็นทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เขาไม่เห็น นับว่าเป็นทิฐิวิปลาส เห็นของที่ไม่ดีว่าดี”
*************************
|