​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๒

 

              คราวนี้เราจะเห็นลีลาของพระพุทธเจ้าชัดเจนที่สุดเลย ตอนแรกมีภิกษุอยู่ ๖๑ รูป ส่งออกประกาศพระศาสนาหมด แม้กระทั่งพระองค์เองก็ไป แต่ตอนที่มี ๑,๐๐๓ รูป พระองค์กลับไม่ส่งออกไปเผยแผ่ศาสนาเพราะอะไร ? เพราะการที่ปราบทิฐิของคนอื่นนั้น นอกจากจะมีความสามารถแล้ว จะต้องมียศ มีทรัพย์ มีบริวาร คนในสมัยนั้นเขาจึงจะเชื่อ
              คนเขาดูแค่เปลือกก่อน ถ้าพระพุทธเจ้านุ่งห่มเหลือง โกนหัว สะพายบาตรในลักษณะของภิกขุ คือ ผู้ขอ อยู่ ๆ เข้าไปอาจจะไม่ได้รับการศรัทธาอะไรเลย พระองค์ก็เลยไปในลักษณะบริวารยศ คือ เป็นใหญ่ด้วยบริวาร นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ ไปพร้อมกับภิกษุรวมทั้งหมด ๑,๐๐๓ รูป
              พอพระองค์ไปถึงก็ไม่เข้าวัง เพราะถ้าเข้าวังไป เจ้าถิ่นอาจจะเห็นว่าตัวเองใหญ่กว่า พระองค์จึงไปพักที่สวนตาลหนุ่ม (ลัฏฐิวัน) ข่าวทราบไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร เพราะชาวบ้านเขาลือกันว่าอาจารย์ใหญ่ทั้งสามท่านออกจากที่พักมาแล้ว แต่ไม่มีใครนึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่คนเดียว เขาจะไปหาอาจารย์ใหญ่ของเขา
              ชนทั้งหลายพากันหอบดอกไม้ ธูปเทียน อาหาร เข้าของบูชาทั้งปวงแห่กันไป แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านสมกับเป็นกษัตริย์ อาจจะเป็นเพราะว่ามีสายลับเยอะ พระเจ้าพิมพิสารจึงทราบข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะที่ออกบวชเป็นสมณะ อยู่ในกลุ่มสมณะนั้นด้วย
              เมื่อพระเจ้าพิมพิสารมาถึง สายตาส่วนใหญ่ก็จับอยู่ที่อาจารย์ใหญ่ที่ตนรู้จัก เพียงแต่คราวนี้แต่งตัวเแปลกไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าพอทราบความคิดของคนทั้งหมด เห็นว่าได้เวลาที่จะแสดงพระองค์แล้ว จึงทรงตรัสว่า “ดูก่อน...กัสสปะ ระหว่างเธอกับตถาคต ใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์ เธอจงแสดงให้เขาทราบ”
              พระอุรุเวลกัสสปะ ที่ถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่สุด ถวายบังคมแทบบาทพระพุทธเจ้า ประกาศว่า “พระองค์ท่านเป็นศาสดา ข้าพระองค์เป็นศิษย์” ประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล ลงมาถวายบังคมประกาศใหม่ถึงสามวาระด้วยกัน สายตาทั้งหมดจึงได้มองที่พระพุทธเจ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองเลย
              คราวนี้จะเห็นได้ว่า การที่พระองค์นำบริวารไปจำนวนมากนั้น นอกจากจะเป็นการปราบพยศบุคคลทั่วไปที่มากด้วยทิฐิแล้ว ยังเป็นการดึงศรัทธาด้วย เพราะพระอาจารย์ใหญ่ขนาดนั้นยังยอมเป็นลูกศิษย์ แสดงว่าสิ่งที่ท่านสอนจะต้องมีผลอย่างแน่นอน
              ดังนั้น...ทุกคนในที่นั้นจึงตั้งใจฟัง พระพุทธเจ้าถึงได้เทศน์ ครั้งเดียวบรรลุมรรคผลไปถึง ๑๑๐,๐๐๐ คน เป็นพระโสดาบัน ส่วนที่เหลืออีก ๑๐,๐๐๐ นั้น ประกาศตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แปลว่าไม่หลุดรอดไปเลยแม้แต่คนเดียว...!
              หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็ตั้งมั่นในแคว้นมคธ ลงรากปักฐานได้มั่นกว่าลัทธิอื่นทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ประกาศพระศาสนาทีหลัง เพราะว่าผู้ครองแคว้น ผู้ครองประเทศเป็นพุทธสาวก ตรงนี้เราจะเห็นว่าของแท้เสียอย่าง อะไรก็ไม่สามารถบดบังรัศมีได้ ศาสนาอื่นใช้เวลาหลายสิบปี กว่าที่ลัทธิของตนเองจะมีคนถือตาม แต่พระพุทธเจ้าใช้เวลาไม่ถึงปี ลงรากปักฐานอย่างมั่นคงแน่นหนา สามารถแข่งกับลัทธิอื่นได้อย่างสบาย
              จะว่าไปแล้วพระพุทธศาสนาต่อยอดศาสนาพรามหณ์ได้พอดิบพอดี สมัยนั้นพระพุทธศาสนาถึงได้รุ่งเรืองมาก เพราะศาสนาพราหมณ์เขามัวแต่ถือลัทธิ ถือวรรณะกันอยู่ ก็เลยทำให้การเผยแผ่ศาสนาไม่กว้างไกลพอ
              ขณะเดียวกันก็สร้างความคับแค้นใจให้แก่วรรณะล่าง ๆ เป็นอย่างมกา โดยเฉพาะพวกศูทรหรือจัณฑาลที่เขาแทบจะไม่เห็นเป็นคนเลย แต่ศาสนาพุทธประกาศชัดเจนเลยว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพในการบรรลุมรรคผลทั้งสิ้น เห็นชัดที่สุดก็คำเทศน์ของพระมหากัจจายนะ เรื่องวรรณะสี่เหล่า ท่านบอกว่า “วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้งหมด ไม่มียกเว้น” ลองไปค้นหาตรงนี้เพิ่มเติมได้จากมธุรสูตร
              ในเมื่อศาสนาพุทธไม่มีการกีดกั้นวรรณะ จึงทำให้บุคคลจากวรรณะต่าง ๆ พากันเข้ามาบวชและเป็นสาวกจำนวนมาก ขณะเดียวกันเมื่อบรรลุมรคคผลแล้ว หลายท่านก็มีฤทธิ์มีเดช โดยวิสัยเดิมก็แสดงให้ชาวบ้านเขาเห็น
              อย่างพระสาคตะ ก็ไปแสดงฤทธิ์ปราบพญานาค ชาวบ้านก็เลยพร้อมใจถวายสุราให้ท่าน จนท่านเมามายขาดสติ กลายเป็นต้นบัญญัติข้อห้ามดื่มสุราไป
              สมัยนั้นพญานาคไปยึดท่าน้ำของชาวบ้าน พอใครเข้ามาใกล้ก็จะทำร้าย จนกระทั่งเขาไม่สามารถที่จะใช้น้ำได้ พระสาคตะท่านเก่งทางโตโชกสิณ จึงเผาพญานาคเสียกระเจิงอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านก็มาถามลูกศิษย์ว่า พระสาคตะท่าชอบอะไร ?
              เขาก็บอกว่า “พระเถระท่านชอบสุรารสอ่อน สีเหมือนเท้านกพิราบ”
              ปรากฎว่าพอพระสาคตะบิณฑบาตบ้านไหน เขาก็ถวายแต่สุรา สุดท้ายท่านเลยเมานอนหมอบอยู่ข้างทาง พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอดี ถามว่า “อานันทะ ดูก่อน...อานนท์ นั่นเป็นผู้ใดหรือ ?” พระอานนท์กราบทูลว่า “พระสคตะพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า “พระสคตะเถระที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ว่ามีฤทธิ์มากถึงขนาดปราบพญานาคได้ใช่ไหม ? แล้วตอนนี้ปราบงูสักตัวได้หรือไม่เล่า ?” พระองค์ท่านจึงบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุราเมรัยตั้งแต่นั้นมา
              หรือไม่ก็อย่างพระปิณโฑลภารทวาชะ เหาะไปเอาบาตรไม้แก่นจันทน์ของมหาเศรษฐี หรือไม่ก็อย่างพระโมคคัลลานะ ไปเที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ แล้วก็มาประกาศให้ทราบว่า ญาติพี่น้องของคนนั้นตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไร
              นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้น เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงเผยแผ่เร็วมาก แผ่กว้างออกเร็ว ชนิดสำนักอื่นตามไม่ทัน โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอมานับถือศาสนาพุทธแล้ว จะทำบุญเฉพาะในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ายังต้องทรงห้ามเอาไว้
              อย่างมหาเศรษฐีชื่ออุบาลี ท่านถือศาสนาพุทธแล้ว ตั้งใจจะเลี้ยงแต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่เลี้ยงพราหมณ์แล้ว เพราะเห็นว่าเปลืองข้าวเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าตรัสให้เลี้ยงต่อไปตามปกติ แต่อุบาลีเศรษฐีก็อดไม่ได้ ลั่นคนใช้ว่า ถ้าพราหมณ์ลัทธิอื่นมาใหเอยู่แค่ประตูนอก ถ้าเป็นสมณะในพระพุทธศาสนาให้นิมนต์มาข้างในเลย ทำเอาพวกลัทธิอื่นแช่งชักหักกระดูกพระพุทธเจ้าเสียไม่มี...!
              เราจะเห็นความใจกว้างของพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่ได้อิจฉาใคร มั่นใจว่าคำสอนของพระองค์ท่านเป็นของแท้พิสูจน์ได้ อย่างไรเสียบุคคลที่เห็นธรรมแล้ว มีศรัทธาที่แน่นแฟ้นย่อมไม่หวั่นไหวไปไหน เพราะฉะนั้น...เขาจะทำบุญที่ไหนก็ทำเถอะ พระองค์ท่านไม่ได้ว่า
              อย่าลืมว่าทำบุญกับนักบวชนอกศาสนาผู้สามารถระงับราคะได้ มีอานิสงส์มากกว่าผู้มีศีลบริสุทธิ์เป็นแสนเท่า ไปดูได้ในทักขิณาวิภังคสูตร บรรดาอเจลก (ชีเปลือย) ก่อนที่จะออก มาประกาศศาสนาของตนได้ เขาผ่านการพิสูจน์มาแล้วทุกรูปแบบ ออกมาเดินแก้ผ้า เจอสาวแล้วต้องไม่ขายหน้าเขา...!
              ในเมื่อเป็นดังนั้น แปลว่าเขาสามารถที่จะระงับราคะได้ แต่ไม่ใช่สิ้นราคะ ระงับได้ด้วยอำนาจของฌานสมาบัติที่กดเอาไว้ ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำบุญกับเขาก็มีอานิสงส์มาก เพียงแต่ว่าทำบุญแบบนั้นร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำบุญพระโสดาบันเพียงหนึ่งครั้ง
              ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธพระองค์ท่านไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น มีแต่สนับสนุน ส่งเสริม ต่อยอดไปเรื่อย ตัวอย่างคือ ชฎิลสามพี่น้อง ท่านบูชาไฟมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสว่าการบูชาไฟไม่ดี แต่ท่านบอกว่า การบูชาไฟควรจะบูชาไฟภายในดีกว่า แล้วตรัสสอนให้รู้ถึงไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นอกจากนี้ยังบอกวิธีดับไฟเหล่านั้นอีกต่างหาก ท่านบอกว่าการดับไฟทั้งสามกองนี่แหละจึงเป็นอุดมธรรม (ธรรมสูงสุด)
              หรือไม่ก็ สิงคาลมาณพ ฟังคำสั่งของพ่อ แล้วไปไหว้ ๖ ทิศ โดยไม่รู้ว่า ๖ ทิศคืออะไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสสอนว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่าง คือบริวาร ครนรับใช้ ทิศเบื้องหน้า คือบิดามารดา ฯลฯ แต่ละคนควรปฏิบัติอย่างไร ท่านบอกไว้หมด ไปดูเพิ่มเติมได้ในสิงคาลสูตร
              พระองค์ท่านไม่ได้ค้านใคร แต่บอกในส่วนที่ดีกว่าให้ คนที่เขามีปัญญา พอรู้ว่ามีสิ่งที่ดีกว่าจริง ๆ เขาก็ปฏิบัติตาม
              เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของพระไตรปิฎก สรุปลงตรงนี้เลยว่า อย่าอ่านเฉย ๆ อ่านให้ให้คิดบ้าง จะเห็นอะไรอีกเยอะเลย ในพระไตรปิฎกมีสิ่งที่แฝงอยู่ข้างในมากมาย
              โดยเฉพาะถ้าเราศึกษาพื้นฐานของชมพูทวีป คือ อิเดียโบราณมารู้เห็นถึงสภาพบ้านเมือง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ แล้ว จะอ่านสนุกขึ้นอีกมาก เพราะจะนึกออกว่าแต่ละอย่างที่ท่านกล่าวไว้เป็นอย่างไร
              ทำไมนางบุญทาสี ที่เป็นทาสเป็นคนรับใช้ จึงได้ดีนักหนาที่พระพุทธเจ้าเสวยแป้งจี่ที่ตัวเองถวายให้ ? เพราะเขาถือวรรณะว่า พวกชั้นต่ำเป็นเสนียดจัญไร ข้าวของอะไรที่พวกวรรณะต่ำแตะต้อง เขาถือว่าไม่สามารถใช้ต่อได้เลย
              ท่านอาจารย์ ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล ท่านไปเรียนหนังสือที่นั่น เห็นเขาเลี้ยงน้ำ ท่านรับแก้วมาถึงก็ดื่มเลย เขาด่าท่านเสียไม่มี...! พอไปเห็นคนอื่นดื่มบ้างท่านถึงได้รู้ ก็คือ เขาให้อ้าปากแล้วเทน้ำใส่ให้ โดยที่ไม่ให้แก้วถูกริมฝีปาก เพราะกลัวติดเสนียดจัญไรจากวรรณะต่ำ...!
              ในเมื่อวรรณะต่ำอย่างนางบุญทาสีไปเจอวรรณะกษัตริย์อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านนอกจากจะไม่รังเกียจแล้ว ยังฉันให้เห็นซึ่ง ๆ หน้า เป็นเราก็ปีติแทบตัวลอยเหมือนกัน พอพระองค์ท่านทรงเทศน์สอน ก็เป็นพระโสดาบันเลย
              หรือไม่ก็นางกุมภทาสีที่หลงรักพระอานนท์ ชื่อจริงของนางคือ โกกิลา พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ไปขอน้ำดื่ม นางก็ไม่กล้าให้ พระอานนท์จึงได้บอกว่า “วรรณะสี่เหล่าเสมอกันด้วยความดี ไม่มีหรอกที่จะต่ำกว่ากันสูงกว่ากัน ท้ายสุดก็ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงท่ามกลาง สลายไปในที่สุด” เมื่อพระอานนท์ไม่รังเกียจ นางโกกิลาก็ถวายน้ำให้ แล้วก็ติดใจเลย ตามไปบวช กลายเป็นต้นเรื่องที่ธรรมโฆษเขาเอามาเขียนเรื่อง ลีลาวดี” หมายเหตุ : นางกุมภทาสี = หญิงผู้มีหน้าที่ตักน้ำ , โกกิลา = นกดุเหว่า
*************************

      ถาม :  คนเกิดสมัยนี้บุญดีกว่าหรือเปล่า เพราะมีเทคโนโลยี ?
      ตอบ :  คนเกิดสมัยนี้จะบอกว่าบุญดีก็ได้ เพราะทุกอย่างทันสมัยใช้งานง่าย อำนวยความสะดวกให้ก็จริง แต่ว่าทั้งหมดก็จะทำให้คนเรายึดติดกับความสุขต่าง ๆ ที่ได้รับมาง่ายขึ้น
              แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ความสุขที่ตอบสนองทางกายเท่านั้น ทางกายได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ทางใจก็ยังต้องเสาะแสวงหาเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ...เกิดยุคไหนสมัยไหนก็เกิดออยู่ในกองทุกข์เหมือนกัน ธรรมะนั้นเป็นอกาลิโกจริง ๆ ไม่ติดขัดด้วยยุคสมัยเลย เกิดยุคไหนสมัยไหนก็ใช้ได้
*************************

      ถาม :  รักษาใจให้ใสสบายไปอย่างนี้เรื่อย ๆ รู้สึกว่าตนเเองไม่มีงานอะไรจะทำ ?
      ตอบ :  งานสำคัญก็คือ ระวังอย่างให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาก็แล้วกัน
      ถาม :  ไม่ค่อยจะมา เหงาค่ะ ?
      ตอบ :  ระวังตอนที่มา แล้วเอาไม่อยู่ จะรู้ว่างานเยอะกว่าที่เราคิด...!
      ถาม :  ระหว่างรอ ทำอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ทำไมต้องรอ แทนที่จะรอ...เราก็ดาหน้าบุกเข้าไปบี้ให้ตายไปเลย...!
      ถาม :  หากิเลสเจอได้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างที่พระสารีบุตรท่านบอกกับพระลูกศิษย์ว่า แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องพิจารณาอยู่เพื่อความอยู่สุขของตน อย่าเผลอมั่นใจว่าความดีจะไม่เสื่อม
      ถาม :  เป็นลักษณะว่า ยิ่งว่าง...งานยิ่งเยอะ อะไร ๆ ก็จับมาพิจารณาได้ แบบนี้ใช่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  จะเรียกว่างานเยอะก็ไม่ใช่เยอะ เพราะระวังใจตัวเอง แต่การระวังใจตัวเดียวนี่เป็นสุดยอดของความยากเลย
              ต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่าเราอยู่ในกองทุกข์ ไฟ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องดิ้นรนหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นอนสบายใจเฉิบว่าไม่มีงาน จะนอนเฉย ๆ ก็ได้ ไฟไหม้ถึงตัวเมื่อไรก็เดือดร้อนเมื่อนั้น...!
      ถาม :  รู้สึกว่าทุกข์อะไรที่จะเข้ามา ก็เข้ามาได้แค่ร่างกาย ไม่ได้มาถึงเรา ?
      ตอบ :  แค่ระวังไม่ให้มาถึงเราก็แย่แล้ว สภาพจิตที่ละเอียดพอ แม้กระทั่งความสุขในธรรมที่เขาเห็นอยู่ ก็เห็นว่ามีทุกข์แฝงอยู่ เพราะว่าเราต้องคอยระมัดระวังประคับประคองไว้อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้น...เกรงว่าอารมณ์นั้นจะสูญสบายไป ถ้าสภาพจิตไม่ละเอียดพอก็กินไปเรื่อย ต้นทุนหมดเมื่อไรก็สาหัสเมื่อนั้น...!
      ถาม :  ทำอย่างไรเราจะไม่ต้องระมัดระวังต่อไป ?
      ตอบหลวงตาบัวท่านเคยเปรียบเทียบว่า อย่าทำตัวเป็นหมูพาเขียง หมูเดินมาเจอเขียงอยู่ ก็หนุนนอน ใครเอามาให้เรารองหัวพอดี สบายจังเลย หารู้ไม่ว่ากำลังวอนรอความตายอยู่ชัด ๆ ...!
*************************

              “ถ้าสมมติว่าคุณขึ้นธรรมาสน์เทศน์ แล้วเห็นโยมนั่งอยู่ข้างหน้าไม่กี่คน จะทำใจอย่างไร ?
              จริง ๆ แล้ว ถ้าจะคิดปลอบใจตัวเองต้องคิดว่า พระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรก ยังมีคนฟังแค่ ๕ คน ส่วนเราถ้าได้น้อยกว่าไม่ถือว่าแปลก ถ้าได้เยอะกว่าถือว่าเป็นความสามารถ ถ้า ๕ คนถือว่าเสมอตัว
              เพียงแต่ว่าเราจะหาบุคลากรได้มีคุณภาพเท่ากับที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ได้อย่างไร ? เพราะว่า ๕ คนที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์กลายเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ของเราต่อให้ ๕๐๐ คน เทศน์แทบตายยังไม่ได้อะไรสักคน...!
              ในเรื่องของการปฏิบัติ พอทำไปเรื่อย โดยไม่ละทิ้ง เราจะมีความคล่องตัวและพลิกแพลงไปได้เรื่อย วิธีการพลิกแพงนั้นส่วนใหญ่เอาไว้รักษากำลังใจตนเอง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการจิตตก จนกระทั่งซมซานนั่งทุกข์นั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว
              ทำอย่างไรที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ก็ต้องค่อย ๆ พลิกแพงแก้ไขไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดพอกำลังใจทรงตัว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำอย่างนั้นอีก”
      ถาม :  เพื่อนโดนตะปูฝาโลงค่ะ ?
      ตอบ :  ยุคนี้ยุคไหนแล้ว ? ทำไมไม่ทันสมัยเลย เล่นส่งแต่ตะปู เปลี่ยนเป็นส่งลูกปืนหรือขีปนาวุธบ้างก็ได้
              รอเป่ายันต์เกราะเพชรนะ ถ้ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรก็พาเขาไปเข้าพิธีด้วย
              ของพวกนี้เป็นเรื่องประมาทไม่ได้ เพราะเราสร้างกุศลกรรมและอกุศลกรรมมาไม่ต่อเนื่องกัน ทำดีก็มี ทำชั่วก็มี แต่คราวนีดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ถึงเวลาที่อกุศลกรรมเข้า ของพวกนี้ก็จะแทรกเข้ามาได้
*************************

      ถาม :  ที่บ้านเลี้ยงกุมาร ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ยังเลี้ยงเขาอยู่หรือเปล่า ? ถ้ายังเลี้ยงเขาอยู่ แต่ถ้าเขาอด ๆ อยาก ๆ นาน ๆ เขาก็ไป
*************************

      ถาม :  บางทีก็ได้รอบของมัน โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจทำ พอเต็มเรียบร้อยแล้ว เราไปย้อนทวนหาว่า ที่เกิดขึ้นมันเกิดเพระาอะไร แต่การปฏิบัติจริง ๆ ตัวที่ได้ ก็ไม่ได้เท่ากับที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นเพราะอะไร ?
      ตอบ :  เป็นเพราะคนละวาระ คนละเหตุการณ์ คนละสถานที่กัน
      ถาม :  อย่างนี้ต้องรอรอบตลอดเลยหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องรอหรอก เพียงแต่รักษาเอาไว้ก็พอ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จงรอต่อไป...!
      ถาม :  แสดงว่าวาระเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ ?
      ตอบ :  นั่นเขาเป็นของเขาเอง บางทีก็เหมือนกับบังเอิญ บางทีก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม แต่ว่าทั้งหมดเกิดจากบุญเก่าที่เราสั่งสมมาด้วย คือมีความพยายามทำมาตลอด ฉะนั้น...อะไรที่ได้ควรจะประคับประคองไว้ให้ดี ปล่อยหลุดมือไปที กว่าจะได้ใหม่ก็น้ำตาเล็ด...!
*************************

      ถาม :  กรรมฐานที่บังเอิญได้บ่อย ๆ จะถือว่าเป็นบุญเก่า หรือเป็นเพราะวิริยของเราครับ ?
      ตอบ :  มีบุญเก่าด้วย แล้วทำไมต้องไปบังเอิญด้วย ? ทำไมไม่เอาให้เป็นจริงเป็นจังไปเลย ?
      ถาม :  พอจะทำไปย้อนเหตุปัจจัยตามเดิม ก็ทำไม่ขึ้นครับ ?
      ตอบ :  พอไปตั้งความหวังอยากจะได้ กิเลสคือนิวรณ์ก็ขวางไว้หมด
      ถาม :  พอสบาย ๆ ก็ขึ้นมาได้เอง ?
      ตอบ :  ถ้าอยาก...เราจะไม่ได้ ต้องทำใจสบาย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อยแล้วจะได้เอง
*************************

      ถาม :  ช่วงว่างก่อนวันงานสืบชะตาสักสองอาทิตย์ ตอนนั้นไม่มีความกังวลเลย มีอะไรให้ทำก็ทำ ใครจะด่าก็ไม่เป็นไร ?
      ตอบ :  ก็เพราะเราวางภาระแล้ว ว่านั่นไม่ใช่งานของเรา ทีนี้เราจะทำอย่างไรที่จะวางให้ได้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราอย่างนั้นบ้าง
      ถาม :  ตอนนั้นสบาย ใครจะว่าอะไรก็ช่าง มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่ได้ว่าอะไร ?
      ตอบ :  ก็เราจะไม่อยู่แล้ว เราจะตายอยู่วันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่างหัวมัน ...!
*************************

      ถาม :  พระธาตุควรบูชาอย่างไร ?
      ตอบ :  อันดับแรก บรรจุเอาไว้ในสถานที่ที่สมควร อันดับสอง ถวายเครื่องบูชา จะเป็นดอกไม้ หรือเครื่องหอม ของหอม อันดับที่สาม หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน
      ถาม :  สามารถบูชาไว้ที่บ้านได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ได้…สำคัญว่าเราคิดถึงหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้คิดถึงเลย มีก็เหมือนไม่มี
*************************

      ถาม :  กำลังใจของฌานสี่ โดยปกติจะดังเงียบไปเลย เราจะสามารถบังคับได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  เอาสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ซักซ้อมบ่อย ๆ ถ้าหากสติแหลมคมมากขึ้น ก็จะติดตามรู้อาการทั้งหมดได้ พูดง่าย ๆ ว่าสมาธิจะต้องละเอียดขึ้นกว่านี้
*************************

      ถาม :  ท่องคาถาเงินล้านแล้วยังขายของไม่คล่อง ?
      ตอบ :  ยังทำไม่พอ เพิ่งทำมากี่วันเอง อย่างน้อยต้องได้สองเดือนติดกันขึ้นไป
*************************

      ถาม :  เราใส่บาตร เวลากรวดน้ำ ต้องลงกระถางต้นไม้หรือต้นไม้ใหญ่ ?
      ตอบ :  อุทิศปากเปล่าก็ได้ การกรวดน้ำเป็นแค่รูปแบบเท่านั้น จะกรวดลงไปที่ไหนก็กรวดไปเถอะ
*************************

      ถาม :  กลุ้มใจเกี่ยวกับอุปสรรคเรื่องงาน ถ้าจะบนพระวิสุทธิเทพ​ ?
      ตอบ :  จุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอกบนกับท่าน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานท่านจะช่วยได้ แต่ว่าเราต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมกับเจิรญกรรมฐาน ๗ วันเป็นการแก้บน
*************************

      ถาม :  ทำไมชอบปวดหัว ?
      ตอบ :  ในเมื่อชอบก็จงเป็นต่อไป การปวดหัวเป็นเศษกรรมจากการดื่มสุราเมรัยในชาติก่อน จำเอาไว้ ชาตินี้อย่าไปกินอีกเป็นอันขาด เดี่ยวจะซ้ำหนัก
*************************

      ถาม :  กราบขออุบายธรรมในการปฏิบัติ ?
      ตอบ :  คุณคงรู้จักเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จในกรมหลวงชุมพรจริง ๆ แล้วตำแหน่งท่านเป็นแค่กรมหลวง ยังมีเสด็จในกรมพระฯ กรมพระยาฯ อีกเยอะมาก แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นชื่อกลับไม่เป็นที่ติดหูชาวบ้าน เท่ากับเสด็จในกรมหลวงชุมพร
              เพราะว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพร พระองค์ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำอะไรก็ทุ่มเทชนิดแลกด้วยชีวิต ท่านจึงประสบความสำเร็จ แค่เดินเรื่องวิชาการศึกษาแพทย์ พระองค์ยังสามารถเอาไปช่วยชีวิตคน จนคนเรียกว่าเป็นหมอได้ ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านถนัดเลย เป็นแค่ส่วนเดียวที่ท่านเรียนมา
              แต่ว่าพระองค์ท่านเป็นคนเอาจริง ในเมื่อจริงจัง สิ่งที่ทำก็ได้ผลจริงด้วย ตราประจำตระกูลของพระองค์ท่านก็คือ พระอาทิตย์ทรงรถ ตราพระอาทิตย์ทรงรถมาจากชื่อของพระองค์ท่าน คือ อาภากร (ผู้กระทำแสงสว่าง) ท่านจะมีภาษาบาลีอยู่ที่ตราประจำตระกูลว่า กยิรา เจ กยิราเถนํ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ทำอะไรทำให้จริง เพราะฉะนั้น...ที่คุณขออุบายธรรมก็มีแค่นี้ ทำอะไรทำให้จริง ถ้าทำจริงจะประสบความสำเร็จทุกเรื่อง
*************************

              “พระพุทธเจ้าสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ท่านเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ากองเกวียน เดินทางเข้าไปในทะเลทรายซึ่งแห้งแล้งขาดน้ำ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะหาน้ำเพิ่มได้
              ท่านเป็นหัวหน้าพ่อค้า ต้องรับผิดชอบชีวิตคนจำนวนมาก จึงต้องคิดค้นหาทาง เพราะว่าถ้าไม่มีน้ำ คนในความรับผิดชอบต้องตายหมดแน่นอน พอดีท่านเห็นกอหญ้าอยู่กอหนึ่ง ท่านทราบว่ากอหญ้าจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความชื้น จึงคิดว่าบริเวณนั้นน่าจะมีน้ำ
              ท่านสั่งให้บริวารช่วยกันขุด ขุดจนหมดเรี่ยวหมดแรง แต่กลับไปเจอแผ่นหิน ที่เขาเรียกว่า หินดาน ลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ขวางอยู่ พวกบริวารก็กำลังใจตก ขุดมาเหนื่อยจะแย่แทนที่จะพบน้ำ กลับพบแผ่นหินแทน คิดว่าอย่างไรคงอดน้ำตายแน่
              หัวหน้าพ่อค้าพระโพธิสัตว์เอาหูแนบกับแผ่นหิน ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ จึงปลอบใจบริวารให้ช่วยกันทุบแผ่นหินให้แตก พอทุบแผ่นหินแตก น้ำก็ทะลักขึ้นมา ทุกคนได้อาศัยดื่มกินและใช้ทำอาหาร เอาชีวิตรอดมาได้
              พระพุทธเจ้าทรงสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าปราศจากความเพียร ย่อมไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเราอดน้ำแทบตายอยู่กลางทะเลทราย ขุดไปเจอก้อนหินแผ่นเบ้อเริ่ม ก็คงมืออ่อนตีนอ่อน ยอมอดตายไปแล้ว แต่ท่านพยายามทุบหินออก
              ลักษณะแบบเดียวกับ พระมหาชนก ที่เรือแตก ต้องว่ายน้ำอยู่ ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลามาพบเข้าก็แปลกใจ ถามว่า “ในเมื่อมองไม่เห็นฝั่างว่ายหรือไม่ว่ายก็ตาย จะว่ายไปทำไม ?” ท่านบอกว่า ถ้าได้ทำเต็มที่แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ยังสามารถตอบต่อตัวเองได้ว่า ทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าหากยังไม่ได้ลงมือทำ แล้วไปท้อถอยเสียก่อน ก็ไม่สามารถจะตอบตัวเองได้ว่า ใช้ความพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง”
              นางเมขลาได้ยินแล้วชอบใจ จึงอุ้มไปส่ง ฉะนั้น...แต่งกลอน ๒ วัน แล้วยังไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งท้อ เพราะยังไม่ถึง ๗ วัน ๗ คืน....!”
*************************

      ถาม :  ไปอเมริกา กลัวระเบิดค่ะ ?
      ตอบ :  ตราบใดที่ยังไม่สิ้นบุญสิ้นกรรม ใครก็ทำให้เราตายไม่ได้ ที่ใช้คำว่า สิ้นบุญสิ้นกรรม เพราะว่า บางทีวาระกรรมจะต้องมาสนองเรา ถ้าเรายังไม่ได้รับการสนองตรงนั้น อย่างไรเราก็ยังตายไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ตายเช่นกัน
              เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกลัวหรอกเรื่องตาย ไม่ได้ตายง่าย ๆ หรอก วิ่งเข้าไปหายังไม่ตายเลย หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังว่า คนจะฆ่าตัวตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เขาอุตส่าห์ขึ้นต้นไม้ เอาเชือกผูกคอ เอาน้ำมันราดตัวเอง จุดไฟกระโดดลงไป แล้วเหนี่ยวไกปืนยิงตัวเอง กะว่าต้องตายแน่
              ปรากฎว่าเขากระโดดเร็วเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ลูกปืนไปโดนเชือกจนขาด เขาตกลงไปในน้ำ ไฟก็เลยดับ...! อย่างไรก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้นไปเถอะ ไม่ต้องกลัวตายหรอก
*************************