ถาม :  ทำไมดีใจแล้วต้องร้องไห้ ?
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน กติกาของใครกำหนดไม่รู้ว่าดีใจแล้วต้องร้องไห้ (หัวเราะ) กำลังใจของแต่ละระดับมันไม่เท่ากัน ของเขากำลังใจแค่นั้น ดีใจก็แสดงออกลักษณะอย่างนั้น แต่ถ้าว่ากำลังใจของพระอริยเจ้าดีใจท่านอาจจะยิ้มนิดเดียว (หัวเราะ)
      ถาม :  การที่มีแนวคิดว่าจะนำเอาศาสนาพุทธแล้วให้มีคนในศาสนาอื่นมาเป็นกรรมการปกครองของสงฆ์ คนที่คิดแบบนี้จะลงนรกมั้ยครับ ?
      ตอบ :  จะลงนรกมั้ย ? ก็ต้องดูว่าเจตนาเขาดีมั้ย ? ถ้าเขาเจตนาดีต้องการจะส่งเสริมพระศาสนาจริง ๆ ต้องการจะเปิดกว้างลังกษณะที่ว่า ถ้าคนอื่นเขายอมรับด้วยแล้วก็ทำถูกต้องตามแบบจริง ๆ นั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเจตนาลักษณะเหมือนดิสเครดิตหรือไม่ก็เจตนาที่จะทำลายกันเลย นั่นเสร็จแหง ๆ
      ถาม :  เคยได้ฟังเรื่องมีวิญญาณได้เล่าเปรียบกับหลวงพ่อฤาษีสมัยที่อยู่ที่วัดบางนมโค อยากถามว่า วิญญาณไม่กลัวพระเหรอครับ ?
      ตอบ :  นั้นส่วนใหญ่เขามันเพื่อนเก่า ๆ แล้วก็ทั้งหมดเป็นเทวดาด้วย เพราะฉะนั้นของเขาเองจริง ๆ เทวดาหางแถวมันดีกว่ามนุษย์หัวแถว และโดยเฉพาะนักบวชด้วย เพราะถ้าหากว่าของเราเองทำไม่ดี ศีลไม่บริสุทธิ์บกพร่องอะไรนี่ เขาไม่ซ้อมอานนี่ก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว กำลังเขาสูงกว่าอยู่แล้ว ลักษณะที่เขามา มาโดยเจตนาดี จะสร้างกำลังใจให้นะ ช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ของอาตมาเองพกพระเครื่องไว้เต็มกระเป๋าอังสะมานั่งทับบีบคอเฉยเลย (หัวเราะ) กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าทำไมมันถึงนั่งทับได้ บอกเอ็งอาราธนาพระบ้างหรือเปล่า บอกเปล่า เออ....สมน้ำหน้า (หัวเราะ) พระหรือเทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ไม่เรียกให้ช่วยท่านก็นั่งดู มันจะเก่งซักเท่าไหร่ ? (หัวเราะ) ใส่กระเป๋าไว้มันนั่งทับกระเป๋าเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  เวลาที่ใส่บาตรพระ จำเป็นมั้ยคะต้องถอดรองเท้า ถ้าไม่ถอดบาปมั้ย ?
      ตอบ :  ก็จริง ๆ แล้วลักษณะของการให้ความเคารพ เขาบอกว่ายังไง ถ้ากั้นร่ม ให้ลดร่ม ถ้าใส่หมวกให้ถอดหมวก ใส่รองเท้าให้ถอดรองเท้าแล้วถามว่าเป็นบาปมั้ย ? มันก็เป็นอยู่แสดงว่ากำลังใจเขาหยาบอยู่ ในเมื่อกำลังใจเขาหยาบ สิ่งที่คิดว่าเล็กน้อย เขามองข้ามไปเป็นโทษ
              อย่างพระเจ้าพิมพิสารโดนพระเจ้าอชาติศัตรูที่เป็นลูก สั่งให้พวกผู้คุมนักโทษเอามีดโกนกรีดฝ่าเท้าซะไม่ให้ท่านเดินจงกรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นโทษในอดีตที่ใส่รองเท้าเดินเข้าไปในลานเจดีย์ ลักษณะอันเดียวกันคือสถานที่ ๆ ควรแก่การเคารพแล้วไม่แสดงออกซึ่งความเคารพอันนั้น โทษมันมีอยู่แต่ว่ามันก็นานเต็มที่กว่าจะไล่ทัน มาไล่ทันเอาชาติสุดท้ายที่ท่านมาเป็นพระเจ้าพิมพิสารนี่
      ถาม :  เราเรารักษาศีลครบโดยที่เราไม่รู้ว่าศีลเราครบหรือเปล่า แล้วอานิสงส์ของการรักษาศีลครบได้รึเปล่า ?
      ตอบถ้าตั้งใจรักษาได้ครบ ถ้าเจตนาไม่มีในการงดเว้นนั้น บังเอิญว่าครบเองอย่างนั้นถือว่า เจตนา คือตัวกระทำไม่มี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “เจตนาหัง ภิกขเว ปัญญัง วทามิ” ต้องเจตนาถึงจะเป็นบุญ ถ้าตั้งเจตนาไว้ว่าจะรักษาแต่มันหลงลืมไป แต่่ว่ามันได้ครบก็ถือว่าเต็มอยู่
      ถาม :  ผมนึกถึงตอนนอนไงครับ หลับทุกคืนนี่ไม่ผิดศีลแน่เลย
      ตอบ :  ตั้งใจไว้ก่อนซิว่า ผมจะรักษาศีลตอนนอน เดี๋ยวมันได้ฝันว่าได้ฆ่ากันทั้งขบวน (หัวเราะ) โดนแกล้งจนได้ คิดจะหากินวิธีง่ายใช่มั้ย ?
      ถาม :  นึก ๆ แล้ว เออ.....ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจจะได้อานิสงส์หรือเปล่า จริง ๆ อานิสงส์มันเยอะมาก
      ตอบ :  ต้องตั้งใจเจตนา “เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ”
      ถาม :  แล้วที่จำบาลีได้เยอะ ๆ
      ตอบ :  อ่านมั่ง ฟังมั่ง อย่างนี้เขาเรียก “พาหุสัจจะ”
      ถาม :  ยังไงครับ ?
      ตอบ :  ก็คือว่าเห็นมาก ได้ยินมาก มันน่าจะใช้คำว่า รู้มากนะ
      ถาม :  ก็มีแต่คนไม่คิด แต่ผมคิดทั้งนั้นครับ
      ตอบ :  ก็มีแต่.....(หัวเราะ) อันนี้ไม่ทราบนะ แต่ในพระไตรปิฎกมีแน่กล้ายืนยัน
      ถาม :  ที่จริงผมว่า ถ้าเรื่องเล่านี่เอามาเล่าวันละเรื่องนี่มันไม่หมดหรอก
      ตอบ :  มันอาจจะหมดเหมือนกัน ของเรายังไม่เก่งรู้หมด พระพุทธเจ้าท่านเก่งรู้ไม่หมดท่าน ๆ ว่าไปเรื่อย ๆ เรื่องทางโลกเรื่องทางธรรมอะไร มีอายุยืนสักกัปหนึ่ง เรื่องพระพุทธเจ้าท่านรู้ก็ยังไม่หมด ของเรามันรู้หมด (หัวเราะ)
      ถาม :  มีอีกมั้ยครับที่พุทธกาลถึงปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ได้ยินหรอกนะ แต่อย่างหลวงปู่โลกอุดร หลังพุทธกาลมาประมาณ ๓๐๐ ปีแต่ว่ายังอยู่นะ ก็ถือว่าหลังมานิดหนึ่ง คนไปถามท่าน หลวงปู่ครับอายุเท่าไหร่ครับ ? ท่านบอกว่าจำไม่ได้แล้วว่ะ รู้แต่ว่าตอนเขาสร้างปรางค์ ๓ ยอดที่ลพบุรีไปยืนดูมันทำอยู่ ปรางค์ ๓ ยอดนั่นไม่หนี ๑๔๐๐ ปี .....(หัวเราะ) ไปยืนดูมันทำ (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอย่างนี้มันไม่เหมือนกับฝืนกฎแห่งกรรมเหรอครับ ?
      ตอบ :  ก็จะเรียกว่าฝืนก็ใช่ แต่ว่าบังเอิญว่าท่านมีความสามารถที่จะฝืนได้เพราะว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคลผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ จะอธิษฐานให้อยู่ถึงเป็นกัปก็ได้ คราวนี้งานท่านมีอยู่ ท่านจำเป็น เพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้า
              คราวนี้พอมาเจอธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าท่านเห็นว่าวิธีนี้ง่ายกว่า ท่านก็ตัดสินใจหันมาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปุ๊บปั๊บเป็นพระอรหันต์เลย เพราะกำลังท่านสูงอยู่แล้วบริวารตามไม่ทันมัวแต่ใจเย็นอยู่ ยัง ๆ ท่านก็ต้องรอเราแน่ ที่ไหนได้ท่านไม่รอเราแล้ว ปุ๊บปั๊บไปเลย ท่านเองท่านก็เลยต้องรอเก็บบริวารของตัวเอง
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้าเราไม่เคยผูกพันกับท่านก็โอกาสเจอก็ไม่มี ?
      ตอบ :  โอกาสเจอยากเต็มที แต่ว่าท่านบอกวิธีติดต่อให้นะ บอกว่าให้จัดอาสนะ ๕ ที่ปูด้วยผ้าขาว แล้วก็จุดธูปเทียน ตั้งใจบูชานึกถึงท่าน ว่าคาถาว่า “โลกะอุตตะโร มหาเถโร อะหังวันทามิ ตัง สะทา” ภาวนาไปเรื่อย ท่านบอกว่าถ้าหากว่าท่านว่างก็จะมาเอง ถ้าไม่ว่างจะมาในฝัน
      ถาม :  มาเนื้อ ๆ เลยเหรอครับ ?
      ตอบ :  เออ มาเนื้อ ๆ นี่แหละ แล้วระวังนะองค์นั้น บางทีมาขอข้าวเย็นกินหน้าตาเฉยเลย ถวายไปเหอะ (หัวเราะ) ไอ้คนก็ตกใจ อะไรพระขอข้าวเย็นกิน เอาข้าวมาที่ไหนได้ ท่านควักกะละมังใบเบ้อเริ่มออกมา เอ้า.....กะละมังก็กะละมังวะ ก็ใส่ลงไปเรื่อย ทั้งข้าวทั้งกับท่านคลุกของท่านไปเรื่อย เสร็จแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฉันมันทั้งเย็น ๆ นั่นแหละ ฟาดลงไปทีครึ่งค่อนกะละมัง
      ถาม :  ใช้เวลาอเมริการึเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ปรากฏว่าไอ้คนก็แปลกใจ แต่อีตอนท่านกลับแล้วซิข้าวมันเหลือเต็มกะละมังเท่าเดิม (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านฉันอีท่าไหน....ไม่พร่องเลย
      ถาม :  แต่เห็นว่าฉัน ?
      ตอบ :  เห็นว่าฉัน แล้วฉัน ตอนฉันก็หมดเป็นครึ่ง ๆ เลย
      ถาม :  แล้วเวลามา ๆ องค์เดียวหรือมา ๕ องค์เลยครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่จะมาองค์เดียว เพราะว่างานของท่านเยอะ ชุดของท่านมี ๕ องค์

      ถาม :  ยังมีงานอีกเหรอ ?
      ตอบ :  งานท่วมหัวเลย
      ถาม :  งานอะไรครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็งานเพื่อพระศาสนา เพื่อกำลังใจของคนหมู่มาก เพื่อส่วนรวม
      ถาม :  จริง ๆ ถ้าไม่รู้ก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องเลยซิครับ ?
      ตอบ :  หมดเรื่องไปเลย ประเภทที่เดินมาจะเหยียบอยู่แล้วยังไม่รู้คุณสุดเฉลียวใช่มั้ย ? ท่านเดินมาบิณฑบาต แล้วคุณสุดเฉลียวก็อาย เพราะว่ากับข้าวไม่ดี เลยไปบอกท่านบอกว่า อีฉันเป็นคริสต์ค่ะ ท่านก็เลยเดินไป พอท่านเดินไปจนกระทั่งลับไปแล้วเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผิดปกติ....ตรงไหนรู้มั้ย ? ผิดปกติตรงที่ว่าท่านสูง หัวนี่ค้ำเพดานเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้สังเกตไม่ทันนึก มันคงจะเป็นเรื่องบุญมีแต่กรรมบัง ก็เลยวิ่งออกไป จะวิ่งตามออกไป ปรากฏว่าไม่เจอ ตัวเองจะเป็นห้องที่ ๓ อยู่ซ้ายมือมันมีอยู่ ๒ ห้องขวามือมันมีอยู่ ๓-๔ ห้อง มันเป็นห้องแถว ถามทางด้านไหนก็ไม่มีใครเห็นพระลักษณะอย่างนั้นเดินออกมาสักองค์หนึ่ง ไม่ทันกินแล้ว.....บุญมีแต่กรรมมันบังไปหน่อย ไปบอกว่าอีฉันเป็นคริสต์เจ้าค่ะ
      ถาม :  เอ้า เขาเองก็ตั้งใจดีนี่นะ คือกลัวกับข้าวไม่ดีก็ไม่ถวาย ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามันไม่มีจริง ๆ ที่กินแล้วใช้แล้วก็ได้ เขาเรียก “ทาสทาน” ถ้าเสมอกับตัวเองกินตัวเองใช้ก็ “สหายทาน” ถ้าดีกว่าที่ตัวเองกินตัวเองใช้ก็ “สามีทาน” แต่ส่วนใหญ่แล้วเขากะจะทำแต่ที่ดี ๆ ก็เลยพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
      ถาม :  ถ้าได้ทำก็สุดยอดซิครับ ?
      ตอบ :  พระอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะ
      ถาม :  อย่างน้อยได้ทำกับหลวงพี่ก็โชคดีแล้ว
      ตอบ :  ทำกับอาตมานี่ประเภททำบาท บุญได้สลึงรึเปล่าก็ไม่รู้ ?
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ งานหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉพาะบนโลกมนุษย์เหรอครับ ?
      ตอบ :  ก็บริวารท่านนั่นแหละ ถ้าไปเกิดดาวอื่นท่านก็ต้องตามไปเก็บเหมือนกัน แต่ระดับของท่านแล้ว เดินทีเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องลำบากมาก
      ถาม :  ท่านอยู่ที่ไหนครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่ไหน ปัจจุบันนี้สถานที่ ๆ ท่านอยู่ประจำเป็นถ้ำใหญ่อยู่ที่ในป่า อยู่ใต้ภูเขาเย็นมากเลย อยากจะเรียกว่าเย็นชนิดติดลบ แต่ว่าเวลาท่านต้องการให้คนอื่นเจอท่านพบท่านบางทีท่านก็ไปในระดับใกล้ ๆ แล้วก็โผล่ไปให้หรือไม่ก็หลายคนได้เห็นท่าน ได้เจอท่านในถ้ำแห่งหนึ่ง เรียกว่า “ถ้ำวัวแดง” ท่านอาจประเภทที่ว่าดึงเราเข้าไปตรงจุดนั้นก็ได้ เพราะว่าถ้ำวัวแดงจริง ๆ คนไปแล้วไม่เจออะไรเลย ไม่ได้อยู่องค์เดียวนะ อยู่ด้วยกันหลายองค์ด้วย ถ้ำนั้นน่าอยู่แอร์ธรรมชาติเย็นดีจังเลย แต่มันเย็นเกินไปสำหรับเรา
      ถาม :  กัปนี้เป็นกัปพิเศษมีพระพุทธเจ้าทั้งหมดกี่พระองค์ที่ตรัสรู้คับ ? ไม่ทราบว่าหลวงพ่อปานนี่จะตรัสรู้เมื่อไหร่ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อปานกัปหน้าโน่น ไม่ใช่กัปนี้ กัปนี้จะหมดแค่พระศรีอารย์ (หัวเราะ) นอกตำราอีกแล้ว ไม่ได้นอกตำรานะ กัปที่มีพระพุทธเจ้าก็จะมี สารกัปก็จะมีพระพุทธเจ้า ๑ องค์นะ มัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัปมีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์ ภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ ช่วงนี้ฟลุคว่าเป็นภัทรกัป ๒ กัปติดกันเลย
      ถาม :  ไม่เคยมีมาก่อน ?
      ตอบ :  ไม่เคยมีมาก่อนเลยในอดีตเต็มที่ก็แค่ ๔ องค์นะ แล้วเสร็จแล้วมันก็จะเป็นสุญญกัป อันตรายกัป สัตถันตรกัป ที่หาความดีไม่ได้ มีแต่ที่ประเภทคนใจคอโหดร้ายเห็นคนอื่นเป็นเหยื่อเป็นอะไรไปเลยอย่างนั้น อันนี้ถือว่าฟลุคสุด ๆ
      ถาม :  แปลว่ากัปนี้จริง ๆ แล้วมีแค่ ๕ องค์ ๒ กัปชนกัน ?
      ตอบ :  ๒ กัปชนกัน ถ้าหากว่านับแล้ว หลวงพ่อปานจะเป็นองค์ที่ ๗
      ถาม :  ๗ นับจากองค์ไหนครัับ ?
      ตอบ :  นับจากองค์ต้น พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
      ถาม :  ย้อนกลับไปเมื่อกี้นิดหนึ่งที่บอกว่ากรรมที่ตามมาทันในชาติสุดท้ายนั้น อย่างนี้ถ้าเกิดว่าใครจะไปนิพพานในชาตินี้ กรรมต่าง ๆ นี่จะกลับมาทั้งหมดเลยเหรอครับ ?
      ตอบ :  ก็ถ้าหากว่าเรามั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา กรรมมันตามได้ไม่เกิน ๒๕% มันอยากจะตามเหมือนกันแต่กำลังบุญมันเหนือกว่า มันก็จะมีที่ประเภทหนัก ๆ ที่มันตามได้ไม่กี่อย่าง ๆ พระโมคคัลลาน์นั่นยอดเยี่ยมวรยุทธไม่มีใครเหนือกว่านั้นอีกแล้วยังโดนทุบซะป่นเป็นแป้งเลย
      ถาม :  ถ้าหลุดจากศีลหรือว่าทานอะไรอย่างนี้
      ตอบ :  โอ้.....มันทวงยับทวงเยินเลย (หัวเราะ) อยู่ ๆ โผล่จากเกราะไปให้เขาซ้อมแล้วนี่ เขาก็เอาซิ
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  ความดีมันมากไปหน่อย ถ้าความดีน้อย ๆ อาจจะได้เจอ
      ถาม :  สมัยก่อนอยู่ร่วมกันเลยนี่ครับ
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมีเขตของเขาอยู่ พวกเดรัจฉานกึ่งทิพย์นี่เขาจะมีฤทธิ์ก็จริง แต่ว่าอยู่ในภูมิของเดรัจฉาน ในกากีคำฉันท์พอคนธรรพ์บอกว่าไปวิมานฉิมพลีมาแล้ว พญาครุฑไม่เชื่อ ก็บอกทางไปให้ ท่านว่า
                    “เราจะแจ้งทางทุเรศเขตอรัญ
                    สัตตภัณฑ์คั่นสมุทรใสศรี
                    แม้จะขว้างแวววหางมยุรี
                    ก็จมลงจนถึงที่สุธาธาร
                    อันน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน
                    จึงชื่อสีทันดรอันใสสาร
                    ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล
                    คชสารเงือกน้ำและนาคินทร์”

ไอ้เงือกนี่คืองูนะ ไม่ใช่นางเงือก

                    “ผู้ใดคิดข้ามมนทีสีทันดร
                    ย่อมม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
                    แสนมหาพญาครุทยังเต็มบิน
                    จึงล่วงสินธุ์ลุถิ่นพิมานทอง”

              ขยับปีกทีละโยชน์นี่ยังบินจนหมดแรงถึงจะข้ามได้พอดี แล้วคนอื่นจะไปอย่างไร...เขาสงสัย คนธรรพ์บอกว่าอั้วไม่โง่อย่างงั้นหรอก อั้วแปลงเป็นไร เกาะขนลื้อไป (หัวเราะ) เสร็จเลย....โกรธมากกลับไปเอานางกากีมาโยนคืนให้