​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๔๘

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๓


              “ถ้าเอาส่ิงที่เขาตั้งใจทำบุญอย่างหนึ่ง ไปทำอีกอย่างหนึ่งโดยพลการ มีโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ ลงอเวจีสถานเดียว ถ้าเป็นพระนี่โดนปรับอาบุติหลายชั้น เพราะไปทำศรัทธาเขาให้ตก”
      ถาม :  เหมือนเรารวบรวมเงินทำบุญอย่างหนึ่ง แล้วเอาไปใช้อีกอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  นั่นแหละเหมือนกัน อย่างเช่นเงินทำบุญกฐิน แต่เอาไปเป็นค่ารถค่ากิน พวกนี้โดนไปเต็ม ๆ
      ถาม :  ถ้ามีคนเขาเชื่อมั่นในเรามาก เขาฝากเงินเราไปทำเฉย ๆ ?
      ตอบ :  ถ้าเขาไม่ได้ระบุชัดเจนไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาระบุชัดเจนว่าจะทำอะรไบ้าง ต้องทำให้ตามนั้น
*************************

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนเมษายน ๒๕๕๓


      ถาม :  ผมเห็นหลวงพ่อฤๅษี อยากทราบว่าเป็นองค์จริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เห็นท่านก็ไปถามท่านสิ มาถามอะไรกับอาตมา...!
      ถาม :  เจอท่านตลอด โดยเฉพาะตอนตื่นขึ้นมาจะเห็นท่านตลอด ไม่รู้ว่าเป็นบ้าหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เคยอ่าน เคยฟัง เคยปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอนมาก่อนหรือเปล่า ?
      ถาม :  เป็นก่อนที่จะไปฝึกมโนฯ ครับ ?
      ตอบ :  ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือของท่าน เคยฟังเทปของท่าน หรือเคยปฏิบัติตามที่ท่านสอน ก็จะมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า กราบขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้่แหละเป็นไม้ตายเลย ครูท่านให้เอาไว้ถ้าหากไม่ใช่ของจริง จะอยู่ไม่ได้
      ถาม :  ตอนที่ฝึกมโนฯ เวลาเจอภาพจะเป็นแก้วหมดเลยครับ ตรงนี้หมายถึงอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้าสมาธิดี วิปัสสนาญาณดี ภาพก็เป็นแก้ว ถ้าสมาธิไม่ดี วิปัสสนาญาณไม่ดี อาจจะเป็นอิฐเป็นปูนก็ได้
              เอาไว้วัดสมาธิและวิปัสสนาญาณของตนได้ ถ้าสมาธิดี ภาพที่เห็นจะชัดเจนแจ่มใส แปลว่าในช่วงนั้นเรามีการพิจารณาวิปัสสนาญาณดี มีการทรงสมาธิดี ก็สามารถที่จะเห็นได้ชัดเจน ถ้าหากว่ามัวหรือมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ศีลอาจจะบกพร่องไม่สมบูรณ์ก็มัวได้
      ถาม :  ทุกวันนี้ก็ยังไม่หาย ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้รู้เห็นได้ก็พอ ต่อให้ไม่เห็น ให้รู้ได้ก็พอ ถ้ามัวไปใส่ความชัดเจนอยู่ ชาตินี้ไม่ต้องไปฝึกปฏิบัติหรอก เสียเวลาเปล่า...!
      ถาม :  อย่างนี้เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มโนมยิทธิเป็นทิพจักขุญาณอยู่แล้ว
      ถาม :  แล้วอุปจารสมาธิล่ะครับ เป็นอารมณ์ ...?
      ตอบ :  ก็คืออารมณ์ตอนนี้แหละ
      ถาม :  อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อุปจาระ แปลว่า ขอบเขต อุปจารสมาธิ คือ อยู่ในขอบเขตของสมาธิ ยังไม่ทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป อุปจารสมาธิเป็นกำลังใจปกติธรรมดาของเรา ที่ใชัความตั้งใจเพิ่มขึ้นไปอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง
      ถาม :  เสียงสวดมนต์ขณะปฏิบัติสมาธิเป็นนิวรณ์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  นิวรณ์คุณเข้าใจว่าเป็นอะไร ?
      ถาม :  ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โทสะ ความคิดฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย และความง่วงเหงาหาวนอน
      ตอบ :  แล้วเข้าเกณฑ์ไหมล่ะ ?
      ถาม :  จัดว่าเป็นเสียง ใช่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้ากำลังใจเข้าสู่อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ ทั้งรูป ทั้งกลิ่น ทั้งเสียงต่าง ๆ เราสามารถสัมผัสได้ เพราะฉะนั้น...ถ้าได้ยินเสียงสวดมนต์ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
              นิวรณ์ของเสียง ส่วนใหญ่ก็คือเสียงในเพศตรงข้าม ที่เราได้ยินแล้วก่อให้เกิดราคะ ก่อให้เกิดโทสะ เป็นต้น ถ้าหากเสียงนั้นไม่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะขึ้นมาไม่จัดว่าเป็นนิวรณ์
*************************

      ถาม :  ตอนนี้งานที่ผมทำอยู่สำเร็จดีครับ แต่เกิดความรู้สึกว่าเบื่อ ?
      ตอบ :  เบื่อก็เลิกทำสิวะ..!
      ถาม :  เบื่อเหมือนไม่อยากทำเลย ทำแล้วไม่เหมือนก่อนที่ยังสนุกอยู่ ตอนนี้ไม่อยากทำ ไม่อยากเจอ ไม่อยากพูดกับใคร ผมควรจะทำหรือปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
      ตอบ :  ไปบวชซะ...!
              การปฏิบัติพอไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ คือความเบื่อ จัดเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะถ้าไม่เบื่อ เราก็ยังอยากจะเกิดมาทุกข์อีก จริง ๆ แล้ว เราต้องประคับประคองความเบื่อนี้เอาไว้ แล้วพิจารณาให้เป็นธรรมดา ในเมื่อเราเกิดมา มีหน้าที่ทำมาหากินเป็นปกติอย่างนั้น เราก็ทำไป ถือแค่ว่าทำตามหน้าที่ ถ้าตายตอนนี้เราก็เลิกทำ...จบ
              ต้องพยายามคิดตรงนี้ให้ได้ ถ้าข้ามตรงนี้มาได้จะเป็นสังขารุเปกขาญาณ เป็นอารมณ์ปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ ความเบื่อก็ไม่มี หรือไม่ก็ใช้วิธีอย่างที่ว่า เบื่อมาก ๆ ก็ไปบวช จะได้เบื่อหนักเข้าไปอีก..!
*************************

      ถาม :  ตอนนั่งสมาธิ ผมก็ทำอย่างหลวงพ่อ ก็คือบวงสรวงก่อน ผมจะเจอเทวดา ท่านก็บอกว่าเป็นคำสั่งของท่านท้าวมหาราชให้มาคุ้มครอง ตรงนี้จริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  บุคคลที่ปฏิบัติสมาธิได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ท่านท้าวมหาราชจะให้เทวดามาคุ้มครองเป็นปกติอยู่แล้ว
*************************

      ถาม :  การบวช เราต้องให้ผู้ปกครองรับทราบด้วยหรือเปล่า เพราะพ่อผมไม่อยากให้แม่มา ?
      ตอบถ้าหากว่าบวช ต้องบอกพ่อ บอกแม่ก่อน เพื่อให้ท่านอนุญาตและโมทนาด้วย ถ้าหากว่ามีครอบครัว จำเป็นต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน เพื่อที่โลกจะได้ไม่ช้ำ ธรรมจะได้ไม่เสีย ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเฉย ๆ
*************************

              “ทำวัตถุมงคลอย่าไปย่ามใจ เห็นว่าเสียงตอบรับดีแล้ว ไปทำซ้ำอีก เจ๊งมาเยอะแล้ว ตรงนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเลย”
*************************

              “พวกไฟไหม้หรือโรคระบาด เกิดจากรรมเก่าที่ไปทำร่วมกันมา พอถึงเวลาเทวดาจะมากำหนดเขตไว้เลย ถ้าหากเรารู้ทันและแก้ไข ก็จะไม่โดน ถ้ารู้ไม่ทันและแก้ไขไม่เป็น ก็จะเป็นไปตามวาระกรรมของตัวเอง
              คำว่า รู้ทัน ก็คือ พอเห็นว่ามีการขึงเชือกตีเขตเอาไว้ ก็รีบบอกเลย ขอให้เว้นไว้สักหลังหนึ่งเถอะ แล้วจะให้เราทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป ตอนไปหาดใหญ่ บ้านของคุณอุษณีย์ เขาเป็นห้องแถวไม้ ปรากฎว่าไฟไหม้ ญาติโยมก็ตาลีตาเหลือกลุกพรวดพราดไปช่วยกันเก็บของ ไฟที่ไหม้มานั้น ยังห่างอยู่อีกช่วงเดียว ช่วงเดียวก็คงหลายคูหา ส่วนใหญ่เขาก็ทิ้งของไว้ เอาเฉพาะของที่พอขนออกมาได้ เอามาเรียง ๆ ไว้ข้างฝาตรงที่อาตมารับสังฆทานอยู่นั่นแหละ
              ถามเขาว่า ที่บ้านมีธงมหาพิชัยสงครามอยู่หรือเปล่า ? เขาบอกว่ามี ก็เลยบอกโยมว่า “ถ้ามีธงอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก ตั้งใจอาราธนาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไฟไหม้ไม่ถึงบ้านหรอก” โยมเขาก็ตั้งท่าอาราธนาเสียดิบดี ตอนนั้นพระครูแสงยังไม่บวช เขาก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็พูดว่า “หลวงพี่...ผมหยิบมาด้วย...!” เขาแกะธงมหาพิชัยสงครามติดมือมาด้วย แต่บุญของเขายังดีอยู่ เพราะไฟไหม้มาสี่ห้อง แล้วเขาสกัดไว้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นแล้ว คูรแสงโดนตื้บแน่นอนเลย เขาติดธงไว้กับบ้าน ดันไปแกะมาด้วย”
*************************

      ถาม :  พยายามจะระงับอารมณ์กามราคะ เวลาเกิดขึ้นก็จะภาวนาคาถาเงินล้าน เหมือนเป็นระบบอัตโนมัติ พอเกิดราคะก็จะภาวนาเลย แล้วก็จะทำให้ไม่ปรุงแต่งต่อได้ ?
      ตอบจริง ๆ แล้วกรรมฐานทุกกองสามารถระงับราคะ โทสะ โมหะ ได้ทั้งนั้น สำคัญว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า ? การภาวนาคาถาเงินล้านเท่ากับเราใช้อานาปานสติ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ก็สามารถสกัดราคะได้เร็วเท่านั้น
      ถาม :  ต้องทำอย่างไรต่อหรือเปล่า หรือแค่นี้ก็เพียงพอ ?
      ตอบ :  เป็นไปได้ก็ให้หมอเขาผ่าตัดออกไปเลย (หัวเราะ) นี่พูดเล่นนะ ต่อให้ตัดทิ้งก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ใจ กายเราเป็นแค่ส่วนหนื่องถึงเท่านั้น
              พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ เบื่อหน่ายในราคะ จะได้คลายกำลังใจออกมา เลิกราไปเอง แต่อย่ารีบทำเร็วนะ ถ้ายังมีครอบครัวและยังหนุ่มยังสาวอยู่ เดี๋ยวจะเดือดร้อน คนหนึ่งถึงเวลาแล้วหมดอารมณ์ แต่อีกคนหนึ่งยังมี เดี๋ยวได้ตีกันตาย
*************************

      ถาม :  ปกติจับลมสามฐาน พอสมาธิดีนิดหนึ่งเกิดเห็นนิมิตมีแสงอะไรขึ้นมา แล้วจะลดเหลือฐานเดียว ตรงนี้คือสติลดลงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  แสดงว่าคลายจากการภาวนา ไปสนใจในนิมิต แต่จริง ๆ แล้วจะสามฐานหรือฐานเดียวก็ตาม ถ้าหากสามารถที่จะจับลมได้คล่องตัวเท่าเดิมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากได้ไม่เท่าเดิม แสดงว่าส่วนของสมาธิลดลงไปแล้ว
*************************

      ถาม :  เวลาภาวนาเกิดอาการควบแน่นเหมือนจะระเบิด เล่าให้สามีฟัง สามีบอกว่าเป็นเพราะเครียดเกินไป ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ลักษณะจะไปแบบมโนฯ เต็มกำลังอย่างหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่ไปแบบมโนฯ เต็มกำลัง ก็จะเริ่มเป็นฌานสามจะขึ้นเป็นฌานสี่ ซึ่งจะมีอาการเหมือนกับตึง แน่นเข้า ๆ บีบเข้ามา ๆ
              ถ้าหากว่าเป็นมโนฯ บางทีหัวใจเต้นเร็วขึ้น ๆ เหมือนอย่างกับจะขาดใจลงไปตอนนั้น ขู่ว่ากลัวหรือเปล่า ถ้าไม่กลัว ตัดใจตายเป็นตายก็ไปได้เลย แต่ถ้ายังตัดใจไม่ได้ จิตยังเกาะอยู่กับร่างกายมาก ก็ไปไม่ได้
              แต่ถ้าเป็นสมาธิที่จะก้าวขึ้นสู่ฌานสามฌานสี่จริง ๆ ไม่ใช่ระเบิด แต่จะแน่นเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดรวมเหลือจุดเดียว แล้วก็สว่างอยู่ แสดงว่าของเราน่าจะเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมากกว่า
      ถาม :  แต่ที่เคยหลุดออกไป บางทีก็ไม่มีแบบนี้ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับกำลังของเราตอนนั้น ว่าทำอย่างไร ?
      ถาม :  แล้วถ้าผ่านไปได้แล้วครั้งหนึ่ง จะเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ ไหมคะ ?
      ตอบ :  เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากไปให้ความสนใจ ก็จะไม่มาอีก อยากให้เกิดก็ไม่มาอีก แต่ถ้าไม่สนใจเดี๋ยวก็มา นักปฏิบัติส่วนใหญ่พอทำได้แล้ว ถ้าให้ไปทำซ้ำอยากได้อารมณ์อย่างนั้น แล้วจะไม่เจออีกเลย เพราะไปให้ความสนใจมาก เลยกลายเป็นฟุ้งซ่าน
      ถาม :  ตอนหลังไปเป็นตอนขับรถ หนูเลยต้องหยุด ?
      ตอบ :  ให้ระเบิดไปเลย เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถ ต่อไปจะไปไหนก็สบาย
*************************

      ถาม :  พระเอกสองคนในมังกรคู่สู้สิบทิศ โกหกเป็นไฟ เอาตัวรอดอย่างนี้ มุสาใช่หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  นั่นเป็นปัญญาของเขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นโลกียปัญญา เป้นปัญญาในทางโลก ถ้าปัญญาในทางธรรมนี่อีกอย่างหนึ่ง
              อย่าลืมว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่พอนาน ๆ ไป เขาปฏิบัติแล้วพื้นฐานนิสัยของคนสองคนต่างกันก็เลยทำให้คนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ยิ่งทำตัวห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ ส่วนอีกคนหนึ่งปฏิบัติไปแล้ว ไปร่วมช่วงชิงแผ่นดินกับเขา ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของตัวเอง แต่ว่าเกิดจากพื้นฐานของคัมภีร์อมตะทั้งคู่
*************************

      ถาม :  การให้เด็กเรียนดนตรี ทำให้เขาหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้านิสัยจะหลง ถึงไม่หลงดนตรีก็ไปหลงอย่างอื่น ถ้าไปหลงหนุ่ม ๆ ก็จะแย่กว่านั้น เพราะฉะนั้นให้ไปหลงดนตรีดีกว่า
      ถาม :  ลูกคนเล็กเวลาดูทีวี ชอบชมว่าคนนั้นหล่อ คนนี้หล่อ ?
      ตอบ :  ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานบุญเก่าเขาดี ในเมื่อเขาทำมาดี รูปร่างหน้าตาก็ออกมาดี แต่ถ้าหากไม่ได้มีการเสิรมสร้างต่อ เดี๋ยวก็หมดไป เราเป็นแม่ก็ต้องมีหน้าที่อธิบายให้เขาฟัง ให้เขารู้ว่าความดี ความสวย ความหล่อ ต่างกันอย่างไร ? สิ่งใดเป็นความดีที่มั่นคง เป็นความดีที่แท้จริง เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป สิ่งใดไม่ยั่งยื่น แค่ชั่วครั้งชั่วคราว สอนลูกลำบาก ต้องปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย ที่เขาบอกว่าสอนจนปากจะฉีกถึงหูนั่นแหละ
      ถาม :  ตอนกลางคืนก่อนนอน จะให้เขาสวดมนต์ กลายเป็นว่าลูกคนหนึ่งชอบ ลูกอีกคนไม่ค่อยจะสนใจ อย่างนี้ควรปล่อยเขาไปก่อนหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ปล่อยไม่ได้ ต้องบังคับ มาสวดมนต์ให้จบก่อน แล้วจะไปทำอะไรก็ไป ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวไปไกล
      ถาม :  ผมเป็นโรคหัวใจ ?
      ตอบ :  คนเป็นโรคหัวใจเขาห้ามเครียด ต้องฝึกกรรมฐานบ่อย ๆ ให้กำลังใจของเรานิ่ง หลายคนทำไปแล้วหาย
*************************

      ถาม :  เวลาทำสังฆทาน ควรตั้งพระพุทธรูปหันหน้าไปทางท่าน หรือควรหันหน้าออกมาหาตัวเอง ?
      ตอบ :  อยู่ที่เราชอบ สำคัญตรงว่าได้ประเคนหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าตั้งใจถวาย จะหันพระไปทางไหน อาตมาก็รับ บางท่านชอบเห็นหน้าพระ ก็หันหน้าเข้าหาตัวเอง บางท่านก็คิดว่าหัหน้าเข้าหาผู้รับจะเหมาะสมกว่า แล้วแต่เขาชอบ ไม่ได้เป็นข้อจำกัด
*************************

              “รูปหล่อท่านแม่ทั้งสามที่วัดท่าซุง เป็นฝีมือของหลวงพี่สามารถ ตอนนั้นท่านยังบวชอยู่ ท่านทำต้นแบบด้วยปูนปลาสเตอร์ องค์ต้นแบบจริง ๆ อยู่ที่อาตมาเอง แต่พอปิดทองสวยแล้ว คนก็มาขอบูชาไปหมด
              ผลงานของหลวงพี่สามารถที่เห็น ๆ ก็คือ ปราสาททองคำ และบุษบกที่ตั้งศพหลวงพ่อ บุษบกที่ตั้งศพหลวงพ่อนั้น มีเวลาทำแค่ ๘๐ วัน พี่เขาบ่นว่า ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้ หรือหลวงพ่อสั่งให้สร้างล่วงหน้า จะเอาสวยกว่านี้เท่าไรก็ได้ แต่ตอนนั้นเวลาจำกัดจริง ๆ ต้องเอาให้เสร็จภายในร้อยวัน ก็เลยทำออกมาได้แค่นั้น”
      ถาม :  ท่านแม่ทั้งสาม ถ้าหากตั้งบูชา ?
      ตอบ :  ถ้าหากบูชาก็ตั้งไว้ต่ำกว่าพระ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว ท่านก็เป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพานไปแล้ว แต่คนที่ไม่เข้าใจ จะเห็นว่าเป็นรูปผู้หญิง ทำไมมาไว้เสมอกับพระ ฉะนั้น เอาไว้ต่ำกว่าพระสักนิด เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง
      ถาม :  ต้องสวดบทอะไรไหมครับ ?
      ตอบ :  ท่านแม่นิสัยเดียวกับหลวงพ่อ ชอบ อิติปิ โสฯ
      ถาม :  อิติปิ โสฯ หรือครับ ?
      ตอบ :  บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถือว่าเป็นบทคาถาที่สำคัญที่สุด
*************************

              “เสาร์ห้าปีนี้เป็นที่ฮือฮามาก เพราะว่าเป็นเสาร์ห้าเดือนห้า นาน ๆ จึงจะมีสักที
              วันกับเดือน ตรงกัน เขาเรียกว่า กระทิงวัน
              วันเดือนปี ตรงกัน เขาเรียกว่า ตรีวัน

              เขาถือว่าเป็นวันที่แรงเป็นพิเศษ เสาร์ห้าปีนี้ วัดไหนที่ศักยภาพก็จัดพุทธาภิเษก”
*************************

      ถาม :  อยากจะทำให้คนรัก อยากเป็นคนมีเสน่ห์ ควรใช้หลักธรรมสังคหวัตถุ ?
      ตอบ :  ใช่
*************************

      ถาม :  จริตของคนสามารถเปลี่ยนได้หรือเปล่าครับ ? อย่างคนที่เป็นวิตกจริต อยากเปลี่ยนเป็นพุทธจริต ?
      ตอบ :  จริตเป็นพื้นฐานของจิต พื้นฐานเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าจริตทั้งหกอย่าง เรามีครบ เพียงแต่ว่าอันไหนเด่นขึ้นมาเท่านั้นเอง
*************************

      ถาม :  ได้ยินมาว่า สวดคาถาชินบัญชร ๑๐ จบ แล้วอธิษฐานขออะไรก็จะสำเร็จ จริงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหน ? ถ้าหากคุณสามารถทรงสมาบัติแปดได้เลย จบเดียวก็น่าจะสำเร็จแล้ว ...!
      ถาม :  แล้วถ้าทรงสมาบัติไม่ได้ ?
      ตอบ :  ก็สวดไปหลาย ๆ จบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสมาธิเรามีกำลังสูงมากเท่าไร ผลสำเร็จก็จะมีมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น...ควรจะสวดสัก ๑๐๘ จบ...!
      ถาม :  ตอนนี้สวด ๑๐ จบ อยู่ทุกคืนครับ แล้วตอนแรกที่สวดก็มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต ตอนหลังผ่านไปสักพัก ก็มีปัญหาเข้ามาเยอะกว่าเก่า ?
      ตอบ :  คุณจะสวดหรือไม่สวดก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว
      ถาม :  ไม่ได้เป็นเพราะคาถา ?
      ตอบ :  ไม่ได้เกี่ยวกับคาถา
      ถาม :  แต่เขาว่ากันว่า พระคาถาชินบัญชรเป็นคาถาที่ส่งผลดีแน่นอน ?
      ตอบ :  ในส่วนของความดี ส่งผลให้แต่ด้านดีด้านเดียว
      ถาม :  แล้วพระคาถาชินบัญชร ร้อนจริงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  อาตมามทำมาตลอดชีวิต ไม่เห็นว่าจะร้อนเลย
      ถาม :  ไม่ได้เกี่ยวกับพระคาถา ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าไม่เกี่ยว
      ถาม :  แล้วตอนสวดควรจะตั้งกำลังใจอย่างไร ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าสมาธิสูงเท่าไร ก็ดีมากเท่านั้น
      ถาม :  แล้วที่ขึ้นไปสวดถวายพระข้างบน ?
      ตอบ :  ก็ยิ่งดี
      ถาม :  สวดแล้วรู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่น เป็นเพราะอะไรครับ ?
      ตอบ :  ทิฐิมานะของเรา เป็นเรื่องปกติ
      ถาม :  วิธีแก้ ?
      ตอบ :  ก็เลิกคิด เรื่องพวกนี้เป็นกิเลสของนักปฏิบัติ ในเมื่อเป็นกิเลสของนักปฏิบัติ มีอยู่ทาเงดียวก็คือ รู้เท่าทันแล้วก็วางเสีย
*************************