​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๔๖

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓


      ถาม :  อ่านในหนังสือที่หลวงพ่อบอกว่าใช้กำลังสมาธิมาก ๆ แล้วร่างกายจะหมดแรง เกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกายด้วยหรือคะ ?
      ตอบ :  นั่นใช้เกินกำลัง ในเมื่อเกินกำลังก็เท่ากับบีบบังคับร่างกายให้ทำงานหนักเกินไป พอถึงเวลาคลายกำลังใจออกมา ก็หมดแรง
      ถาม :  เกี่ยวกับร่างกายแข็งแรงน้อยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  มีส่วน ขณะเดียวกันกำลังใจก็แข็งแรงไม่พอ ถ้ากำลังใจมั่นคงหรือมีความคล่องตัวพอ จะไม่เป็นสภาพอย่างนั้น
*************************

      ถาม :  ตอนนี้แม่ป่วยหนัก อยากจะถวายสังฆทานแบบเฉพาะเจาะจง ก็คือ ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ อีกอย่างก็คือให้เทพที่คุ้มครองแม่ อันนี้คือถวายทีละถัง หรือถวายร่วมกันไปได้เลย ?
      ตอบ :  ถ้าไม่มั่นใจก็ถวายทีละถัง ถ้ามั่นใจก็ถวายรวดเดียวไปเลย
*************************

              “คนเราโดยธรรมชาตินั้น เหมาะที่จะกินพืชกินผักมากกว่า ดูเด็ก ๆ ก็แล้วกัน เด็กเกิดมาใหม่ ๆ พอฟันเริ่มงอก ฟันกระต่ายจะมาก่อน บอกลักษณะว่าเหมาะที่จะกินพืชมากกว่า โดยเฉพาะลำไส้ของคนยาวตั้งหลายฟุต ขดไปขดมาอยู่ข้างใน ลักษณะลำไส้อย่างนั้น กินอาหารพวกเนื้อมากไม่ได้
              สัตว์พวกกินเนื้อ อย่างสิงโตหรือเสือ ลำไส้จะตรง ๆ เลย พอถึงเวลาก็ขับถ่ายออกมา แต่ว่าของเราลำไส้อยู่ในลักษณะที่ว่า อาหารต้องค่อย ๆ เดินทางเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ถ้าเป็นโปรตีนอยู่นาน ๆ แล้วจะเน่ากลายเป็นกรด ก็จะไปทำลายลำไส้ แล้วเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่าย ย่ิงถ้าใครท้องผูกย่ิงไปกันใหญ่เลย
              เพราะฉะนั้น...พวกนักโภชนาการก็เลยกำหนดว่า ถ้าหากกินอาหาร ควรจะเป็นพวกพืชผักสัก ๗๐% ส่วนเนื้ออย่าให้เกิน ๓๐%
              แต่เดิมคนเรากินเนื้อ แต่พัฒนาการนาน ๆ ไปแล้ว ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อาหารเนื้อนั้นหายาก จับได้ยาก ล่าได้ยาก ก็พัฒนามากินผักไปด้วย กินพืชไปด้วย ท้ายสุดจากที่เขี้ยวยาว ๆ ก็ค่อย ๆ หดไปเรื่อย ๆ พัฒนามามีฟันตัด ฟันบด ในเรื่องร่างกายพัฒนามาลักษณะนี้ อวัยวะภายในก็พัฒนาตามไปด้วย กลายเป็นว่า เหมาะสมที่จะย่อยอาหารที่เป็นพืชผักมากกว่า ถึงได้ต้องใช้ลำไส้ที่ยาวมาก
              ฉะนั้น...ต้องเปลี่ยน ถ้าใครที่ถนัดกินเนื้อมากกว่ากินผัก ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่อย่างนั้นจะเหมือนโยมที่พระครูแสงเขาว่า เป็นโรคมะเร็งลำไส้ ตัดลำไส้ทิ้งไม่ทัน เพราะลามไปมากแล้ว
              แต่สมัยนี้จะกินผักหรือกินเนื้อ ก็ตายใกล้เคียงกัน เพราะผักมีสารพิษเยอะเหลือเกิน วิธีที่จะกินผักให้ปลอดภัย เอาน้ำส้มสายชู อสร. นี่แหละ เปิดน้ำใส่ถังหรือกะละมัง ๒๐ ลิตร ใส่น้ำส้มสายชูลงไป ๒ ช้อนโต๊ะ แล้วแช่ผักสัก ๑๕ นาที แช่นานกว่านั้นได้ยิ่งดี เพราะว่าน้ำส้มสายชูจะไปทำให้พิษซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรด กลายเป็นกลางไปแทน พอเป็นกลางไปความเป็นพิษก็หมดลง
              น้ำส้มสายชูขวดหนึ่งก็น่าจะใช้ได้นาน แช่ทีเยอะ ๆ ตุนใส่ตู้เย็นไว้ แต่เดี่ยวนี้ก็แย่ เขาเล่นถึงขนาดแช่ผักกันด้วยฟอร์มาลีน
              ถั่วงอกแช่ฟอร์มาลีนขาวจ๋องเลย สดอยู่หลายวัน พวกนี้สังเกตได้ง่าย พอหมดอายุแล้วเน่าเลย ไม่ใช่ค่อย ๆ เหี่ยว ค่อย ๆ เหลืองนะ จะเน่าเลย พวกผักพวกเนื้อที่แช่ฟอร์มาลีนนี่น่ากลัวมาก คนเรานี่เขาคิดอยู่อย่างเดียว คิดหากำไร ไม่ได้คิดถึงชีวิตเพื่อนมนุษย์เลย”
*************************

              “ตอนไปเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่มหาอำพัน เปลี่ยนไปน้ำตาก็ร่วงไป ไม่ได้ร้องไห้เพราะหลวงปู่ท่านมรณภาพ แต่เพราะเขาฉีดฟอร์มาลีนไว้ แล้วไอระเหยมาเข้าตาพอดี กว่าจะเปลี่ยนเสร็จ นำ้ตาไหลแล้วไหลอีก
              แต่ของหลวงปู่ท่านแปลก คนทั่ว ๆ ไปฉีดฟอร์มาลีนพักเดียวจะดำหมดเลย หลวงปู่ท่านขนาดข้ามวันข้ามคืนแล้วนะ ท่านยังขาวอยู่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย”
*************************

              เช้าวันเสาร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ถ้าใครสังเกตท้องฟ้า จะเห็นว่าบรรยากาศครื้ม ๆ คล้ายฝนจะตก แต่กลับไม่ตก...อากาศลักษณะอย่างนี้ เคยมีพระอริยเจ้าทิ้งสังขารมาแล้ว
              “ครูบาดวงดี เมื่อเช้าท่านมรภาพ”
              “อ้าว...ว่าแล้ว ระยะนี้เขาเล่นเอาวัตถุโบราณไปทั้งนั้น วัตถุโบราณเขากำหนดว่าอายุต้องร้อยปีขึ้นไป หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ๑๐๓ ปี ครูบาดวงดี ๑๐๔ ปี แต่ครูบาดวงดีท่านแข็งแรงมากนะ ไม่มีทีท่าเลยว่าจะไป
              บรรยากาศอย่างนี้ จำไว้เลยนะ ถ้าเห็นให้ระแวงไว้ก่อนเลย อาตมาดูจนชำนาญ ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ บรรยากาศเป็นแบบนี้อยู่ ๗ วันเต็ม ๆ”
      ถาม :  จะมีผลอย่างไร ?
      ตอบ :  อยู่ในลักษณะที่ว่า เทวดาฟ้าดินท่านแสดงความสลดสังเวชไปด้วย
              แต่ว่าช่วยได้เยอะ เพราะว่าถ้าพระหรือบุคคลสำคัญทิ้งขันธ์ไป ก็จะช่วยบรรเทาเรื่องชะตากรรมประเทศชาติไปได้มาก
      ถาม :  หมายถึงบุญของท่านเข้าช่วยหรืออย่างไร ?
      ตอบ :  หมายความว่าถ้าท่านอยู่ก็จะสร้างประโยชน์ได้อีกมหาศาล แต่ท่านไปก็เพื่อแลกกับอนาคตประเทศชาติ
*************************

      ถาม :  ตอนนี้กำลังฝึกจับภาพพระและภาวนาพุทโธ จะทำอย่างไรครับที่จะให้ภาพพระแจ่มใใส ?
      ตอบ :  อย่าอยากให้แจ่มใส ให้รู้สึกได้ก็พอ
      ถาม :  ชัดหรือไม่ชัด ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่…สำคัญตรงลมหายใจ ถ้าลมหายใจทรงตัวมากเท่าไร ภาพพระก็จะชัดขึ้นเท่านั้น
      ถาม :  ถือศีลห้าด้วยไหมครับ ?
      ตอบ :  ศีลจำเป็นต้องมีอยู่แล้ว ฮ่วย...! ไม่มีศีลแล้วจะไปทำอะไรกิน ศีลเป็นพื้นฐานใหญ่ของการปฏิบัติธรรม
*************************

      ถาม :  เคยได้ยินการเบิกบุญมาใช้ เบิกได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  อาตมายังไม่เคยเบิก ก็เลยไม่รู้ว่าเบิกได้หรือเปล่า ถ้าเบิกได้นี่รวยตายเลย เพราะตุนเอาไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ลองไปเบิกดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าได้ผลแล้วมาบอกให้ฟังด้วย อาตมาจะได้ไปเบิกบ้าง
      ถาม :  พอดีไปเจอท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าเบิกบุญมาใช้ได้ครับ ?
      ตอบ :  ก็ลองดู แต่อาตมายังไม่เคยเบิก ถ้าเบิกได้ช่วยบอกวิธีด้วย จะได้ไปเบิกบ้าง
*************************

      ถาม :  ตอนนี้ผมป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ผมกินน้ำมันชาตรีจากวัดท่าซุงแล้วรู้สึกร้อนครับ ก็เลยอยากจะทราบว่า มีวิธีรักษาเพื่ออยู่ต่อไหมครับ ?
      ตอบ :  คงต้องพึ่งหมอสมัยใหม่แล้วกระมัง คุณเจาะไขสันหลังไปกี่รอบแล้ว ?
      ถาม :  รอบเดียวครับ ?
      ตอบ :  มีเด็กผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ ๑๒ โดนเจาะไขสันหลังไปเป็นสิบ ๆ รอบเลย จนเขาบ่นว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว
              คุณไปนั่งกรรมฐาน ใช้กำลังใจตัวเอง พอสมาธิทรงตัวแล้ว นึกถึงสภาพร่างกายของเรา ว่าเป็นอย่างไร ? เจ็บไข้ได้ป่วยตรงจุดไหน ตั้งใจจะให้หายอย่างไร ? อย่างมะเร็งในเม็ดเลือด เกิดจากเม็ดเลือดขาวมีมากเกินไป...ใช่ไหม ? เราเองก็ตั้งกำลังใจว่า ให้มีพอดี ๆ ตั้งกำลังใจอย่างนี้ทุกวัน ๆ
      ถาม :  แล้วช่วยได้ ?
      ตอบ :  ได้…แต่ว่าต้องใช้สมาธิตัวเองช่วย ถ้าคล่องตัวในฌานก็จะปรับธาตุได้เลย ดูท่าคุณไม่ใช่คนอายุสั้นหรอก
              วิธีที่บอกเขาไป จริง ๆ เป็นการฝืนเหมือนกันนะ แต่ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เกิดจากสภาพร่างกายทำงานผิดปกติ นั่นเท่ากับว่าเราไปปรับสภาพให้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าต้องสั่งร่างกายบ่อย ๆ จนกระทั่งร่างกายเรารู้สึกว่า ได้รับคำสั่งโปรแกรมนี้แน่นอนแล้ว ก็จะเริ่มเดินตามโปรแกรมที่เราให้ ก็ถือว่าจบ
      ถาม :  เป็นการฝืนกฎแห่งกรรมหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้าทำได้ก็ไม่ฝืน ถ้าทำไม่ได้แล้วยังดื้อจะทำ นั่นแหละฝืน
*************************

      ถาม :  วิธีทำดอกบัวครรภ์รักษา ถ้าเราไม่รู้วิธีการ เราใช้วิธีนำดอกบัวที่ผ่านการเข้าพิธีพุทธาภิเษกไปใช้แทนได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ตรงกับหลักการ เขาว่าอย่างไรให้ทำอย่างนั้น อาตมายังไม่กล้าใช้วิธีลัดเลย
      ถาม :  ผมเคยได้ยินมา เขาบอกว่าให้ใช้ดอกบัวที่พระอุปสมบทใหม่ถือเข้าไปใช้ในพิธี ?
      ตอบ :  อยางนั้นก็มี บางคนก็เสกกล้วย บางคนก็เสกน้ำมนต์ ผู้ชายสมัยก่อนที่ต้องบวชเรียน ก็เพื่อศึกษาวิชาการพวกนี้ด้วย เวลามีครอบครัวเมียเกิดเดือดร้อนขึ้นมา เราต้องแก้ไขได้ ขนาดคลอดลูกตายในท้อง เขาเสกสายสิญจน์ผสมน้ำมนต์ให้เมียกลืนลงไป คล้องคอลูกออกมาได้ นับเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะอยู่กันคนละส่วน คนละอวัยวะ แต่ก็เป็นไปได้
*************************

      ถาม :  ถ้าเราเอาชนะกิเลสในเวลานั้นได้ แสดงว่าเรามีกำลังมากพอหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มากพอที่จะฆ่ากิเลสได้
*************************

      ถาม :  ถ้ามีสิ่งของมาให้ครูบาอาจารย์ที่เรานับถืออธิษฐานจิต หรือปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเราใช้ท่าน เป็นบาปแก่ตนเองหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าใช้ก็บาป
      ถาม :  ต้องใช้วิธีไหนจึงจะไม่เป็นบาป ?
      ตอบ :  ถ้ามีพิธีอย่างเป็นทางการ อย่างไรเสียท่านก็ต้องทำอยู่แล้ว ก็เอาของไปเข้าร่วมพิธี
      ถาม :  ถ้ากรณีเรามีอะไรมาให้ท่านช่วยลงอักขระ ถือว่าเป็นการใช้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  นั่นเป็นการไปขอความเมตตาจากท่าน ถ้าท่านสงเคราะห์ก็แล้วไป ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ ก็อย่าไปตื๊อให้ท่านทำ
*************************

      ถาม :  ผ้ายันต์เกราะเพชร ถ้าเราไม่ได้ไปเข้าพิธี เราพกติดตัวไว้แล้วอาราธนา ?
      ตอบมีผลน้อย เพราะเป็นไปตามกำลังใจของเราเอง ถ้าหากพกผ้ายันต์ที่ผ่านการเข้าพิธีมา ก็เหมือนกับเราไปเข้าพิธีเป่ายันต์นั่นแหละ แต่มีผลต่างกันอยู่ว่า ผ้ายันต์เราอาจจะเผลอลืมพกได้ แต่ถ้าพกอยู่แล้วไปกินเหล้า ผ้ายันต์จะไม่คุ้มครองชั่วคราว หายเมาเมื่อไรอาราธนาใหม่ก็ใช้งานได้
              ส่วนถ้าเราไปเข้าพิธีเป่ายันต์มา ยันต์ก็จะติดตัวเรา ไปไหนไม่ลืมแน่ แต่ถ้าเผลอไปกินเหล้าเมื่อไร ก็เสื่อมเลย
      ถาม :  ลักขโมยด้วยใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...เลือกเอาก็แล้วกันว่า จะเอาอย่างไหนหรือไม่ถ้าเอาแบบปลอดภัยหน่อย ก็สองอย่างรวมกันเลย ทั้งเป่ายันต์ด้วยและพกผ้ายันต์ด้วย
*************************

      ถาม :  เวลาที่เราสวดมนต์ ต้องสมาทานศีลหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ถ้ามีศีลอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมาทานหรอก
      ถาม :  เคยได้ยินว่า ถ้าเราสมาทานศีลแล้ว เราคิดให้ใครก็จะได้ ?
      ตอบศีลไม่ได้อยู่ที่สมาทาน การสมาทานเป็นการศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง ศีลจะเป็นศีลหรือไม่เป็นศีล อยู่ตรงที่เราตั้งใจงดเว้นปฏิบัติให้ได้ เพราะฉะนั้น...ถ้าเรารู้แล้วว่าศีลห้าข้อมีอะไรบ้าง เราตั้งใจปฏิบัติได้เลย ไม่ต้องไปสมาทานใหม่ แล้วจะอุทิศให้ใครก็ว่าไป
*************************

      ถาม :  ผมทำงานจนกระทั่งได้ผลงานเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท ช่วงเดือนธันวาคมมีใครไม่รู้เล่นวิธีพิสดาร ชนะผมไปเลย เสร็จแล้วต้องมีการรับรางวัล ผมกลายเป็นที่สอง ผมไม่อยากไปรับเลย ถ้าเกิดผมดื้อแพ่งไม่ไปรับ คนอื่นเขาจะมองว่า ?
      ตอบ :  กลายเป็นคนไม่มีน้ำใจนักกีฬา เราไม่รู้แพ้รู้ชนะ
      ถาม :  นั่นสิ ผมรู้สึกว่าไม่แฟร์ ?
      ตอบ :  นั่นก็เรื่องของเขา เราก็ทำของเราไป แล้วก็ดูไปด้วยว่าเขาใช้วิธีไหน ซอกแซกไปได้
      ถาม :  เหมือนวิ่งแข่งพันเมตร เราวิ่งมาตั้งแต่ต้น พอร้อยเมตรสุดท้ายเขานั่งเฟอร์รารี่แซงมา แล้วก็เดินเข้าเส้นชัยไปเลย แล้วก็บอกว่าไม่ผิดที่นั่งรถ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยครับ ?
      ตอบ :  เราก็ใช้วิธีเดียวกับเขาบ้าง
      ถาม :  อย่างนี้เราควรไปรับรางวัลไหมครับ ?
      ตอบ :  ควร…จะได้อยู่ในลักษณะรู้แพ้รู้ชนะ แสดงความยินดีกับเขาด้วย เป็นการวัดกำลังใจของเราได้ดีที่สุดเลยรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย จริง ๆ แล้วเป็นกำลังใจของทางด้านธรรมะโดยตรง แม้ว่าเขาจะไม่ตรงไปตรงมาก็ตาม แต่เราก็ต้องเข้าใจในจุดที่ว่า ในเมื่อเขาทำได้ตามกติกา เราเองก็ยอมรับกติกา
      ถาม :  ผมตั้งใจจะไม่ไปนะนี่ ?
      ตอบ :  ให้แกล้งทำเป็นคนโง่ ไม่รู้ไม่ชี้ สามก๊กเขาบอกว่า ถ้าโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้
*************************

              “สมัยก่อนหมาที่บ้านขึ้นต้นไม้ได้ แต่ขึ้นได้ไม่สูง พออาตมาเผ่นพรวดขึ้นต้นไม้ หมาก็ตะกายตาม แต่ตะกายได้ไม่สูงมกาเพราะเกาะไม่ค่อยติด เดี๋ยวก็รูดลง รู้สึกว่าหมาสมัยใหม่นี้หมดสมรรถภาพพอกัน สมัยนั้นช่วงตรุษจีนพอกินไก่เสร็จ อาตมายกกระดูกไก่ให้หมาดู แล้วก็ขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมากระโจนพรวดเข้าไป ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เอาออกมากินแล้ว สมัยนี้โยนเลยหัวไปศอกเดียวก็ยังหาไม่เจอ
              แสดงว่าทั้งคนทั้งสัตว์ สมรรถภาพเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มาคิดถึงการปฏิบัติ เพราะว่าความแหลมคมของประสาทสัมผัสเสื่อมไปด้วย ฉะนั้น...ในเรื่องการปฏิบัติ สติ สมาธิ ปัญญา ความแหลมคมก็ลดน้อยไปเรื่อย ตามความสุขสบายที่เกิดขึ้น พระเขาจึงบังคับว่าต้องออกธุดงค์ ออกไปเพื่อให้ลำบากไปเอาสัญชาตญาณเดิมกลับมา” 
      ถาม :  แสดงว่าอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ ?
      ตอบ :  คนที่จะอยู่กับที่นาน ๆ ได้ ต้องเป็นอย่างเจ้าคุณนรฯ คือ มีไฟอย่างสม่ำเสมอ มีวินัยในการปฏิบัติ ถ้าหากคนที่ไม่มีไฟสม่ำเสมอ ไม่มีวินัยในการปฏิบัติ อยู่กับที่นาน ๆ เสร็จทุกราย
              ให้สังเกตว่า เราไปที่ไหนใหม่ ๆ เวลากลางคืนนอนไม่ค่อยหลับหรอก ที่บอกว่านอนไม่หลับเพราะแปลกที่ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เป็นเพราะที่นั้นเราไม่เคยอยู่ เราไม่มั่นใจความปลอดภัย สภาพจิตก็จะตื่นตัวเอง นักปฏิบัติจริง ๆ จะต้องเอาให้ได้อย่างนั้น ก็คือ จะหลับจะตื่นต้องมีสติรู้อยู่ แต่พวกเรานี่พอเห็นว่าคืนที่สองไม่มีอะไร คืนที่สามก็กรนตั้งแต่หัวค่ำ พระธุดงค์ท่านจึงไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าอยู่ที่เดียว เดี๋ยวก็ชินแล้ว สติก็คลายตัว
*************************

              “เสียดายวิชาการของเราจำนวนมากต่อมากด้วยกันหายสาบสูญไปกับผู้รู้ เพราะกว่าที่ท่านจะหาลูกศิษย์ที่ท่านมั่นใจว่าทรงความดี มีความเพียรพยายามที่จะสืบทอดวิชาได้ บางทีท่านก็ตายไปเสียก่อน วิชาก็สูญไป หรืออีกมากต่อมากด้วย กัน ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ก็อุตส่าห์เก็บไม้ตายสุดท้ายเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นไม้ตายจริง ๆ คือตายไปกับตัว พอคนรุ่นหนึ่งก็หายไปนห่อยหนึ่ง รุ่นหนึ่งก็หายไปหน่อยหนึ่ง รุ่นหลังก็เลยเก่งสู้รุ่นก่อน ๆ ไม่ได้ จนกว่าคนเก่าจะเผลอมาเกิดใหม่ พอมาเรียนเข้าก็เกิดจำของเก่าขึ้นมาได้”
*************************

      ถาม :  นั่งสมาธิแล้วกำหนดลมหายใจ จังหวะหนึ่งมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตกจากที่สูง ช่วงที่วูบจะมีความรู้สึกว่าขนลุก จะไปต่อไม่ได้ ครู่เดียวก็หายไปเลย ?
      ตอบไม่ต้องไปต่อ แก้อาการตกจากที่สูงให้ได้ก่อน ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าจิตจะเริ่มเป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าจิตหยาบไปหน่อย สติจึงขาด ก็เลยพลัดหลุดอออกมา ให้เอาใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับลมหายใจจริง ๆ แล้วจะผ่านไปได้ ให้สังเกตว่าทุกครั้งที่เราพลัด ก็คือเราลืมลมหายใจ เอาใจจดจ่ออยู่กับลมให้แน่วแน่กว่าเดิม ถ้าผ่านไปแล้วก็จะทรงตัวไปเลย
*************************

      ถาม :  ถ้าเราได้ผลบุญ ควรที่จะไปคุยให้เพื่อนหรือญาติฟังไหม ถึงผลบุญที่เราทำแล้วได้กลับมา ?
      ตอบ :  ดูความเชื่อของเขาด้วย ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วเราไปคุย เขาก็จะว่าเราบ้า แล้วจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสียเปล่า ๆ ถ้าเขาเชื่อเราก็คุยได้ ถ้าเขาไม่เชื่อ...เสียเวลาไปคุย
*************************

      ถาม :  วิธีสวดอิติปิ โสฯ ๑๐๘ จบ ต้องสวดอย่างไรครับ สวดพระพุทธอย่างเดียว หรือสวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ?
      ตอบ :  สวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่ครบ ๓ บท เขาไม่ถือเป็น ๑๐๘
*************************

      ถาม :  การบน สมควรที่จะบนหรือไม่ ? เหมือนกับว่าเราไปดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับเราไปต่อรองว่า ถ้าได้อย่างนี้จะเอานี่มาถวาย
      ตอบ :  คิดในแง่นั้นก็ได้ แต่จริง ๆ แล้ว การบนนั้น ต้นทุนของเราต้องพอ จึงจะบนสำเร็จ ถ้าต้นทุนหรือความดีของเราไม่พอบนไปก็ไม่สำเร็จ
              เคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำในขวด ขาดอยู่แค่นี้ (เกือบถึงปากขวด) เติมอีกนิดเดียวก็เต็มแล้ว เราบนก็จะสำเร็จ
              เพราะส่วนใหญ่การบนคือ เราตั้งใจทำความดีให้ท่าน ความดีนั้นพอเราทำก็เป็นของเราก่อน เท่ากับว่าเราไปเติมน้ำให้เต็มพอดี ถ้าอย่างนั้นการบนรก็จะสำเร็จ แต่ถ้าเกิดเราขาดน้ำเยอะ มีน้ำอยู่แค่ก้นขวด บนเท่าไรก็ไม่สำเร็จหรอก ยังต้องเติมอีกเยอะ ความดีที่เราจะทำ สมมติเมื่อเติมแล้วได้แค่นี้ (ก้นขวด) ท่านก็ไม่รู้ว่าจะสงเคราะห์เราอย่างไร
              เพราะฉะนั้น...ว่าไปแล้วเรื่องของการบนก็เป็นไปตามเหตุตามผล ก็คือ เราสร้างเหตุไว้เพียงพอ ผลจึงจะเกิด ถ้าเราสร้าเงหตุไว้ไม่พอ ผลก็ไม่เกิด ว่าไปแล้วจริง ๆ ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลย เพียงแต่ว่าคนไม่เข้าใจ เห็นว่าคนนั้นบนได้ผล แล้วทำไมเราไม่ได้ผล ก็เพราะของเรายังขาดอีกเยอะ ต้องสร้างเหตุให้มากกว่านี้
*************************

              “นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ภาษาทุกภาษาจะเหลือแค่ภาษาใจ ก็คือ ใจเขาสื่ออะไรมา ใจเรารับได้ ก็จะเข้าใจภาษาของเขาหมด”
*************************