เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๓
ถาม : ปีนี้จะสมานฉันท์สำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ชาติหน้าตอนบ่าย ๆ โน่น…! สถานการณ์ที่เกิดจากการชักจูงแล้วก็มีมือที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ให้ยุ่งไปหมด บางทีตัวเองก็คุมไม่อยู่ เพราะเขาสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เคล็ดลับอยู่ที่หยุด ถ้ารู้จักหยุด รู้จักพอ ก็เดือดร้อนน้อย
*************************
ถาม : ปีนี้จะมีโรคระบาดอะไรใหม่ ๆ อีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : โรคละบาท ?…เดี๋ยวนี้อย่างน้อยก็ต้องโรคละสามสิบบาท...!
ปีนี้น่าจะมีคนคิดยาปราบโรคบางตัวได้ อยากจะให้เป็นยาปราบโรคเอดส์ แต่ว่าเรื่องของวาระกรรม ก็แทบจะไม่มีประโยชน์ เพราะว่าถึงเวลานั้น กรรมก็บันดาลให้เป็นไป โรคนี้รักษาก็เป็นโรคใหม่อีก โดยเฉพาะสภาวะอากาศ เป็นตัวช่วยให้โรคเกิดใหม่ได้ง่ายมาก เพราะว่าอากาศร้อน เหมาะที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโต
ชาวทิเบตอาศัยอยู่ในประเทศตัวเอง แทบจะไม่เจ็บป่วยอะไรกับใคร เพราะว่าส่วนใหญ่อากาศหนาวติดลบตลอด เชื้อโรคจึงโตไม่ได้ ช่วงที่จีนยึดทิเบต ชาวทิเบตอพยพหนีมาเป็นล้าน ๆ คน มาอยู่ที่อินเดีย ป่วยตายไปเป็นหมื่นเลย เพราะว่าเชื้อโรคที่ไม่เคยเจอก็มาเจอ แล้วภูมิต้านทานก็ไม่มี คนที่อยู่ได้ต้องถือว่าอืดสุดชีวิต
ฉะนั้น...ในปัจจุบันที่สภาวะโลกร้อน ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่าย พัฒนาการก็เร็ว มีแต่ทำให้เกิดโรค จะเรียกว่าโรคใหม่ก็ไม่ได้ โรคเก่านั่นแหละ แต่ว่าเชื้อโรคมีการพัฒนาขึ้น ปรับตัวเองไปเรื่อย
ถาม : ตอนที่เดินไปเข้าห้องน้ำ จิตเป็นคนสั่ง หรือว่าร่างกายเป็นคนสั่งให้ไป ?
ตอบ : จิตสั่ง ร่างกายทำ จิตเป็นคนขับรถ ร่างกายเป็นรถ ถึงเวลาจิตก็ขับรถก็ไปตามที่จิตขับ
*************************
ถาม : เวลาทำสมาธิ สมาธิที่ถึงฌานสี่ รู้สึกแห้ง ๆ ทื่อยู่ ๆ เหมือนเป็นซากไม้ แต่เมื่อไรที่เราใส่เมตตาไป กลับรู้สึกว่าชุ่มชื่น ไม่ตายด้าน ?
ตอบ : ที่สอนให้แผ่เมตตาก็ตรงนี้แหละ ส่วนหนึ่งก็เพื่อหล่อเลี้ยงกำลังใจของเราให้ชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเป็นอุเบกขาแข็งทื่อไปเฉย ๆ
ถาม : แล้วอุเบกขาแข็งทื่อเฉย ๆ เป็นคนละอุเบกขากับในบารมีสิบหรือเปล่า ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราทำได้ในระดับไหน ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ก็จะมีอุเบกขาในเมตตา อุเบกขาในกรุณา ฯลฯ
ถาม : สงสัยว่า สมาธิที่ทื่อเป็นระดับฌานสี่ แต่พอใส่เมตตาเข้าไป เป็นสมาธิที่อยู่ในเมตตา ก็รู้สึกชุ่มชื่นเย็น ๆ จะลื่น ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ นึกถึงรถก็แล้วกัน ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่อง เครื่องก็ฝืด ใส่น้ำมันเครื่องลงไป เครื่องก็ลื่น แต่ว่าก็วิ่งเท่าเดิม เพียงแต่ความคล่องตัวมีมากกว่า
*************************
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ถาม : บูชาพระที่ไม่ได้ปลุกเสก มีผลเทียบเท่า...?
ตอบ : มีผลเท่ากัน เป็นพุทธานุสติเหมือนกัน ถ้าหากเป็นพระพุทธรูป สร้างขึ้นมาก็มีเทวดารักษาแล้ว ถ้าเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็มีผลเพิ่มขึ้นด้านการคุ้มครองรักษา
ถาม : ถ้าเป็นพระเครื่อง ?
ตอบ : สำหรับพระเครื่องนั้น จุดมุ่งหมายใหญ่อย่างหนึ่งของการพกติดตัว ก็คือตัดเคราะห์ให้แก่คนที่บูชา เพราะฉะนั้น...พระเครื่องต้องมีพิธีการปลุกเสกเต็มพิธี แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปสามารถบูชาได้เลย นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้เหมือนกัน
*************************
“อย่าลืมนะ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ขึ้นประโยคแรกเลยว่า ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา ประกาศไว้ชัดเลย ขันติ ความอดทนอดกลั้น เป็นเครื่องประดับอย่างยิ่งของนักปราชญ์ หมายความว่า จะประสบความสำเร็จในชีวิต ตลอดจนการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ได้ต้องมีความอดทน
ในเมื่อพ่อใหญ่ประกาศอย่างนั้น ถ้าเราไม่มีควาอมดทน จะหาความสำเร็จได้ยาก โบราณจึงใช้คำว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ”
*************************
มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นพวกร้านก๋วยเตี๋ยว มักถูกหวยเป็นประจำ มาทำบุญแทบทุกเดือน
“โยมพวกนี้เขาแปลกมาก ต้องบอกว่าเขามีลาภทางด้านนี้โดยเฉพาะ กำหนดการรับสังฆทาน เขาเอาไปเล่นหวยและถูกได้ทุกงวด ตลกจริง ๆ เลย งวดที่แล้วหวยออก ๒๑๓ ก็ถูกกันไปตาม ๆ กัน
พอมาที่นี่ เขาก็มาทำบุญกัน อาตมาก็ติดกำหนดการรับสังฆทานไว้ เขาเฮได้ทุกครั้ง ก็ถามว่าเฮไปทำไม เขาบอกว่าเอาไปเล่นหวยแล้วถูก
แต่ของพวกนี้ต้องมีบุญเก่าเสริมนะ ถ้าไม่มีบุญเก่าเสริม พวกเราไปดูเอง ดูไม่รู้หรอก แต่พอเขาไปดู เห็นว่าน่าออก เขาก็เลยเล่น แล้วก็ถูกกันเรื่อย”
*************************
ถาม : มีอยู่ ๒-๓ ครั้ง ท้าวสักกเทวราชมาเข้าฝันผม ท่านบอกผมให้หยิบล็อตเตอรี่ หยิบเสร็จให้ไปทำบุญวัดนั้นวัดนี้ ด้วยจุดประสงค์นั้นจุดประสงค์นี้ พอไปถึงจริง ๆ เจ้าอาวาสวัดนั้นถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้กำลังจะส่งพระไปโรงพยาบาล ผมบอกว่าไม่รู้หรอก แต่ท้าวสักกะท่านสั่งมา สั่งให้ไปหยิบล็อตเตอรี่ ครั้งเดียวก็ถูกเลย ผมก็ยังงง ๆ อยู่ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ทำเถอะ แบบนั้นถือว่าบังเอิญจนน่าเกลียดก็แล้วกัน...!
*************************
“โลกปัจจุบันนี้เป็นยุคของ วิชชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการต่าง ๆ สร้างเสริมขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านตรัส่ไว้สองพันกว่าปี มีชัดเจนในยุคเรานี่เอง ยุคอื่น ๆ ก็ยังไม่ใช่
สมัยก่อนต้องได้อภิญญา สมัยนี้ไม่ต้อง ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกแค่กดปุ่มก็เห็นหน้ากันแล้ว จะคุยกันก็ได้ยินเสียงถึงกัน เหล็กหนักเป็นร้อย ๆ ตัน เอาไปลอยน้ำ ไปลอยบนฟ้าได้ กลายเป็นว่าวิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าไปใหญ่ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ท่านบอกกล่าวล่วงหน้าไว้หมดทุกอย่างแล้ว
สองพันกว่าปีก่อนใครจะมีปัญญาไปดูว่า เด็กที่อยู่ในครรภ์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระพุทธเจ้าบอกรายละเอียดไว้เลย ตั้งแต่สัปดาห์แรกลักษณะเป็นอย่างไร มีความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร บอกไว้หมดสมัยนี้พอไปศึกษาแล้วรู้เห็นตามนั้น กลายเป็นว่าเขามาสงสัยอีกว่าพระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร ?
ต้องดูในอินทกสูตร ยักษ์ชื่ออินทกะ อาศัยอยู่บนยอดเขาชื่ออินทกะ เลยเรียกว่าอินทกสูตร ยักษ์ไปหาพระพุทธเจ้าแล้วก็สอบถาม พระพุทธเจ้าท่านบอกรายละเอียดไว้หมดเลย ตั้งแต่เริ่มเป็นกลละ ขึ้นเป็นอัพพุททะ เป็นเปสิ เป็นฆนะ ฯลฯ ไล่ไปเรื่อย”
*************************
ถาม : เดี๋ยวนี้ในหนังสือเรียนอย่างเรื่องไตรภูมิ เขาไม่ได้ระบุไว้ ว่าแท้จริงแล้วมีเนื้อหามาจากพระไตรปิฎก ส่วนมากเขามักจะไม่เชื่อกัน กลายเป็นเรื่องตลกหัวเราะกัน ?
ตอบ : แทนที่จะพิสูจน์ทราบ ก็กลายเป็นเห็นว่าเหลวไหลแล้วไม่เชื่อ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของคนขาดปัญญา ขาดปัญญาไม่พอ ความใฝ่รู้ก็ไม่มีด้วย
กำลังรออยู่ว่าเมื่อไรจะถึงยุคเมทริกซ์เสียที ที่คนอยากรู้เรื่องอะไรก็เสียบปลั๊กโหลดข้อมูลเลย คงจะมาเสียบกับหัวของอาตมากันเยอะ รู้สึกสยอง ๆ พิกลว่าจะถูกก๊อปปี้ข้อมูลไปเมื่อไร
*************************
ถาม : การพิจารณาว่าร่างกายเป็นแค่ธาตุสี่ กับพิจารณาว่าร่างกายเป็นของสกปรก จริง ๆ แล้วการพิจารณาธาตุสี่ระดับสูงกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเห็นจริง จะไปจบลงที่ปล่อยวาง เพราะเห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ก็ต้องสูงกว่า แต่ถ้าเห็นว่าสกปรก กำลังยังไม่เกินพระอนาคามี
ถาม : สมัยเด็กนั่งมองมือตัวเอง มือก็วางนิ่ง ๆ อยู่ แล้วเกิดความรู้สึกว่า มือนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นท่อนเป็นอะไรก็ไม่รู้ ก็เป็นลักษณะของธาตุสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : น่าจะมีของเก่าตามมา เห็นว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะบอกว่าเป็นธาตุสี่ก็ยังไม่ใช่ แต่เห็นว่าไม่ใช่ของเราแล้ว
ถาม : พอพิจารณาไปจริง ๆ กลับไม่มีอารมณ์ให้เกิดขึ้น เกิดแบบบังเอิญอย่างไรก็ไม่ทราบ ?
ตอบ : เหมือนกับพระราชาที่ไปเลียบพระนครแล้วก็เช็ดเหงื่อทีหนึ่ง บังเอิญคิดได้ตอนนั้น
ถาม : นอนภาวนาหลับไป ปรากฎว่าใจไม่หลับ ก็บังเอิญอีกแล้วค่ะ ?
ตอบ : ก็ทำใหม่สิ...!
ถาม : ได้ทีเดียวเอง ?
ตอบ : ถ้าสั่งได้จะได้เลิกบังเอิญ ถ้าสั่งไม่ได้ก็ยังบังเอิญอยู่นั่นแหละ
ถาม : พอได้แค่นั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ก็คืออยู่เฉย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แต่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ แล้วพยายามสังเกตอารมณ์ใจว่า จุดที่นิ่งอยู่ แล้วรู้ได้ทั้ง ๆ ที่หลับเป็นอย่างไร แล้วรักษาเอาไว้ตรงนั้น ถ้าหากเราคลายนิดเดียว สติขาดจะหลับไปเลย แต่ถ้าหากรักษาระดับนั้นเอาไว้ได้ ต่อไปจะหลับจะตื่น กำลังใจจะเท่ากัน
ถาม : คล้ายกับตอนภาวนาแล้วหลุดออกไปใชไ่หมคะ ? เพียงแต่ตอนนั้นหลุดจากร่างกาย อันนี้อยู่กับร่างกาย ?
ตอบ : ใช่
ถาม : สมัยก่อนเวลาที่มีความคิดที่เน่า ๆ เศร้า ๆ จะลงไปมั่วกับความคิดนั้น แล้วไร้ทางสู้เลย แต่หลัง ๆ เริ่มบังคับได้แล้ว พอมาก็หันหน้าหนีได้ แต่ลักษณะแบบนี้ก็ยังอยู่ในระดับปุถุชนอยู่ ?
ตอบ : อันดับแรกก็คือ ต้องหยุดให้ได้ ตัวหยุดให้ได้ ตัวหยุดให้ได้ก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้เราไม่ไปคิดนึกปรุงแต่ง ตาเห็นต้องหยุดอยู่แค่นั้น หูได้ยินเสียงต้องหยุดอยู่แค่นั้น
เพราะฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องอยู่กับสมาธิภาวนา ถ้าอยู่กับสมาธิภาวนา เราไม่คลายออกมา พอกระทบ สติและปัญญาเราจะรู้รอบเลยว่า ควรจะรับไว้หรือไม่ควรจะรับไว้ ถ้าควรจะรับไว้ มีความสนใจระดับไหน จะขยายออกรับรู้แค่นั้น แล้วก็รีบหลบกลับมา แต่ถ้าหากไม่ควรจะรับไว้ ก็ตัดทิ้งปล่อยไปเลย ก็แค่ประเภทสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน
ไปเริ่มต้นใหม่ได้ คราวนี้เหลืออยู่ตรงสมาธิแล้ว ถ้าสมาธิทรงตัวมาก ปัญญาก็เกิด แล้วก็จะรู้ว่าควรจะเลือกตรงไหน
*************************
“โลหะผสมถ้าหากว่าแก่ทองจะเป็นเมฆสิทธิ์ ถ้าแก่เงินจะเป็นเมฆพัตร
พัตรตัวนี้จริง ๆ มันต้องเป็น ภัสร์ (ภัสร = สว่างรุ่งเรือง) เมฆภัสร์ ก็คือ รุ่งเรืองเหมือนเมฆ เมฆสิทธิ์ ก็คือ สำเร็จเป็นดังเมฆ แต่คนเขียนเป็นพัตร แล้วก็ใช้คำนี้มาตลอด”
*************************
ถาม : เห็นตัวสังขาร การปรุงแต่ง ในลักษณะแยกออกไปว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สงสัยว่าตัวสังขารเกิดขึ้นเป็นปกติหรือเปล่า ?
ตอบ : สังขารจะเกิดขึ้นก็เพราะว่าอาศัยตัวอื่น คือ อายตนะภายในและภายนอก ส่วนใดส่วนหนึ่ง พอกระทบกันแล้วรับเข้ามา จึงอาศัยตัวนั้นปรุงต่อไปได้ คราวนี้การเห็นในลกัษณะอย่างนั้น เราเห็นหรือเปล่าว่าเกิดอย่างไร ถ้าเราเห็นว่าเกิดอย่างไรก็ตัดตั้งแต่ตรงนั้น ฉะนั้น...กลับไปดูตรงนั้นให้ละเอียด
ถาม : ตรงที่บอกว่าหยุดการปรุงแต่งนี่ก็คือ ?
ตอบ : หยุดคิด
ถาม : เวทนาก็เห็นด้วยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตรงนี้ ?
ตอบ : เหมือนกันหมด
ถาม : ตรงนี้ใช่ไหมที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรา ?
ตอบ : ก็ใช่เสียที่ไหนเล่า ? มีแต่พาเราทุกข์อยู่ตลอด
ถาม : เห็นตัวตัณหาอีกเหมือนกัน ว่าอยากหรือไม่อยาก ก็นำมาซึ่งความทุกข์ แล้วอารมณ์ที่ไม่ใช่ทั้งอยากและไม่อยาก คืออารมณ์ที่อยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ?
ตอบ : ใช่…ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้ ไม่ไปปรุงแต่ง ทุกอย่างก็จบ
ถาม : ลองฟังเพลงมาแล้ว ?
ตอบ : เจ๊ง..ไม่เหลือหรอก อาตมาลองมาแล้ว ขนาดทรงฌานเจ๋ง ๆ เลย เผลอหน่อยเดียวก็ไหลตามไปแล้ว
ถาม : แล้วก็ไปลองเรื่องกลิ่นด้วย เอาอาหารที่ชอบใจมา ?
ตอบ : ความคล่องตัวของเรายังไม่พอ ในเมื่อความคล่องตัวยังไม่พอ ก็จะเผลอ โดยเฉพาะเผลให้ตัวสังขาร การนึกคิดปรุงแต่ง โอ๊ย...เนื้อร้อง บรรยายถึงอย่างนั้น เผลอไปปรุงตามเรียบร้อยเลย ส่วนอาหาร กลิ่นอย่างนี้เราเคยกินมาก่อน รสชาติเป็นอย่างนี้ เสร็จหมด...! ฉะนั้น...อย่าไปเผลอ อาตมาสรุปว่า ในขันธ์ ๕ ตัวที่แสบที่สุดก็คือสังขาร การปรุงแต่งของใจนี่แหละ
*************************
ถาม : เวลาที่เราเห็นกิเลส แล้วเราไม่เข้าไปเล่นกับกิเลสตรงนั้น อยากทราบว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราควรทำอย่างไร ควรหาอาวุธมาตัดเลย หรือควรสักแต่ดูเฉย ๆ ?
ตอบ : สามารถพิจารณาให้เห็น ตัดได้เลยยิ่งดี แต่ถ้าไม่ไหวก็ประเภทคุมเชิงเอาไว้
ถาม : แต่ถ้าเป็นในกรณีเบนความในใจไปทำอย่างอื่น ?
ตอบ : ได้ แต่ว่าอย่าเผลอ เผลอเมื่อไรเดี๋ยวโดนอีก
ถาม : ตัวอายตนะเป็นช่องทางให้กิเลสเข้า ตอนที่กิเลสเข้า เท่ากับว่าเราไปปรุงแต่งแล้ว วิธีที่จะหยุดก็คือมีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่ในส่วนที่เราจะละอุปาทาน ที่เคยยึดถือมั่นหมายมาก่อน ก็ต้องหาทางมาพิจารณาละส่วนที่เราถือนั้นด้วยใช่ไหม ?
ตอบ : แรก ๆ จะต้องทำอย่างนั้น แต่ถ้านานไป ๆ กำลังมีมากพอ เราเห็นก็เฉย ๆ ไม่ไปยุ่งด้วย แค่นั้นก็ได้ รู้เท่าทันว่า เอ็งอย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่ไปแตะต้องเอ็ง
ถาม : ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าละส่วนที่ยึดมั่นถือมั่นในอดีตไปด้วย เพระาเรารู้แล้วใช่ไหม ?
ตอบ : ใช่
*************************
“สังเกตไหม ? การถือศีล ๘ เราว่าไม่ ๆ แต่ก็แพ้ใจตัวเองทุกที นั่นเกิดจากกำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ ระบบเมตาบอลิซึ่มของร่างกาย พอถึงเวลาก็จะทวง ถ้าเราไม่ให้สักสามสี่ครั้ง ร่างกายก็จะปรับระบบใหม่ แต่ช่วงที่โดนทวง อาการเราจะแย่ เหมือนจะตาย ปวดหัวปวดท้อง ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ท้ายสุดทนไม่ได้ก็ต้องไปกิน ก็เลยเหมือนกับพวกเสพยาเสพติด แต่ถ้าเราฝืนไปสักสามสี่ครั้ง พอรู้ว่าไม่ได้ รู้ว่าตอนช่วงนี้ไม่มีให้กิน เดี๋ยวก็เลิกทวง กองกัดฟันทำดูซิ
ที่ทองผาภูมิมีโยมอยู่คนหนึ่ง รูปร่างอ้วนมาก เขามาใส่บาตรก็จริง แต่ว่าไม่ได้ใส่บาตรเพื่อเอาบุญเหมือนคนอื่น เขามีแนวความคิดแปลก ๆ เขาบอวก่า เขาใส่บาตรไม่ได้ต้องการบุญ แต่เขาเป็นคนชอบทำกับข้าว ในเมื่อชอบทำกับข้าว ถึงเวลาจะให้คนอื่นเขาชิม แล้วถ้าเกิดเขาไม่หิวเล่า ? เขาก็เลยมาใส่บาตร เพราะมั่นใจว่าพระต้องการอาหารของเขาแน่ จึงได้เดินมาถึงหน้าบ้าน จัดเป็นแนวความคิดที่แปลกมาก รู้สึกว่าจะเป็นอุเบกขาในทานแบบบังเอิญมากเลย”
*************************
ถาม : การตั้งเครื่องบวงสรวงบูชาในกรณีที่เราลืมแก้บน จำเป็นต้องเปิดเทปบวงสรวงไหม ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวงให้เรียบร้อย จุดธูปแล้วก็เปิดเทป แล้วก็อธิษฐานบอกท่านว่า ทั้งหมดที่ลืมมามีเท่าไร ขออนุญาตใช้ในครั้งนี้
*************************
“ทางพม่าเขาจะกำหดนเวลาอรุณไว้เลยว่า แต่ละเดือนจะสว่างช่วงไหน อย่างเร็วที่สุดก็ตีสี่ครึ่ง ช้าที่สุดก็หกโมงครึ่ง เขาจะกำหนดตายตัวไว้เลย
แต่ทางบ้านเราไม่ได้กำหดนตายตัว ให้ดูแสงเงินแสงทองเป็นเกณฑ์ แต่จริง ๆ แล้วแสงทองจะมาก่อนแสงเงิน คือ ตอนเช้าฟ้าจะเหลืองขึ้นมาก่อน บางทีก็แดงจับขอบฟ้ามาเลย แต่ถ้าเแสงเงินมาเมื่อไรนี่แปลว่าสว่างแล้ว ทีนี้เราไปเรียกว่าแสงเงินแสงทองจึงไม่ถูก เพราะความจริงแสงทองมาก่อนแสงเงิน
ในเมื่อบ้านเราไม่ได้กำหดนเวลาตายตัวเอาไว้ ถ้าเป็นหน้าหนาวหรือฝนฟ้ามา ก็ต้องลุ้นกันแทบตาย ว่าจะออกบิณฑบาตได้หรือยัง ?”
*************************
ถาม : สมมติบัญญัติ ถ้าแปลตามอรรถกถา แปลว่าอะไร ?
ตอบ : แปลว่าสิ่งที่สมมติขึ้นมา เขาสมมติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงไม่สมมติ...เราก็รู้ แต่เราจะเรียกไม่ถูก
เขาสมมติเรียกว่าโทรศัพท์ เราจะสมมติเรียกเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าไม่เป็นที่ยอมรับ ไปเรียกว่าชามข้าว คนอื่นก็ว่าเราบ้า
เขาสมมติขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แล้วถามว่าเป็นความจริงหรือไม่ ? เป็นจริง...เป็นจริงโดยสมมติ ถึงได้เรียกว่า สมมติสัจจะ แต่ถ้าหากว่าเป็นจริงโดยธรรม เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ
ถ้าเป็นจริงโดยธรรม เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่นว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขัง มีความทุกข์เป็นปกติ อนัตตาไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายให้เป็นตัวเป็นตนได้ ท้ายสุดทุกอย่างก็พังหมดเป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าปรมัตถสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
แต่ตอนนี้เราเรียกว่ามือถือ ใช่ไหม ? อาจจะเรียกเซลโฟนก็ได้ เรียกโมบายโฟนก็ได้ เปลี่ยนไปเรื่อย แล้วแต่ว่าคนเขานิยมกันอย่างไร จึงเป็นสมมติสัจจะ เป็นจริงโดยสมมติ เปลี่ยนแปลงได้ สมมติเปลี่ยนการเรียกหาก็เปลี่ยนตามไปเรื่อย
*************************
ถาม : ขอให้การต่อคิว (ปรารถนาพระโพธิญาณ) ของผมไม่มีการล้มเลิกครับ ?
ตอบ : ขอไม่ได้ ต้องตั้งใจเอง
อย่างเช่นที่เศรษฐีขอให้พระสารีบุตรประกันศรัทธาให้ พระสารีบุตรท่านว่า ประกันชีวิต...ประกันให้ได้ ประกันสมบัติ...ประกันให้ได้ แต่ว่าประกันศรัทธา...ไม่ประกันให้ ศรัทธาอยู่ที่ท่านเอง ถ้าศรัทธาลด ท่านไม่ทำบุญขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ?
*************************
ถาม : ถ้าเราไม่รู้ว่าเราค้างหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ตั้งใจทำไปเรื่อย ๆ สักเดือนละร้อยสองร้อย ตั้งใจว่าเราชำระหนี้สงฆ์
ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่…หรือไม่ถ้าเห็นเขาสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่ไหน ก็ไปร่วมกับเขา
*************************
ถาม : ผมทำบุญบ้าน นิมนต์พระ ๙ รูป แล้วถ้าเรามีพระพุทธรูป ๑ องค์ มีหนังสือมนต์พิธี ผ้าไตรจีวร น้ำผลไม้ ซองปัจจัย ดอกบัว แล้วรูปอื่นเรามีเฉพาะน้ำผลไม้ ดอกบัว ซองปัจจัย ?
ตอบ : ตั้งใจกล่าวถวายเป็นสังฆทานก็หมดเรื่อง
ถาม : ได้เหมือนกันใช่ไหมครับผม ?
ตอบ : อานิสงส์สังฆทานเหมือนกัน
ถาม : เมื่อเช้าผมนิมิตเห็นสมเด็จองค์ปฐมเป็นองค์ทิพย์อย่างนี้ แล้วอยู่ ๆ เหมือนกับพระองค์ท่านแย้มพระโอษฐ์ให้ แล้วเปลี่ยนเครื่องทรง นำทรายขาวมามอบให้ ถือว่าเป็นนิมิตที่ดีไหมครับ ?
ตอบ : เห็นพระเป็นนิมิตที่ดีอยู่แล้ว
ถาม : ถือว่าเป็นพุทธานุสติ ?
ตอบ : ฝันไม่ถือเป็นพุทธานุสติ พุทธานุสติต้องตั้งใจนึกถึง แต่อย่างน้อย ๆ ก็เป็นนิมิตที่ดีแน่
*************************
ถาม : เราควรจะหาตัวตนอย่างไรครับ ว่าเราควรจะปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ ชอบอย่างไหนก็ทำไป ทำแล้วรักษากำลังใจให้ทรงตัวไว้
*************************
ถาม : ถ้าเรามีพระห้อยคอเยอะ เวลาอาราธนา เราอาราธนาเพียงบทเดียวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะอาราธนาทีละองค์เพื่อความแน่นอน ท่านจะได้มั่นใจว่าเราอาราธนาแน่ทุกองค์ เกิดไปเรียกท่านแบบรวม ๆ ท่านนึกว่าไม่เรียกท่านก็ซวยสิ...!
คำตอบนี้ไม่เป็นสากลนะ เป็นคำตอบเฉพาะคน...
*************************
|