คราวนี้เรามาดู พระพุทธเจ้าส่งพระ ๖๐ รูปแรกออกประกาศศาสนา (ปัญจวัคคีย์+คณะของพระยสะ) ส่งอีก ๓๐ รูปหลังออกประกาศพระศาสนา (ภัททวัคคีย์) แต่นี่ ๑,๐๐๓ รูป พระพุทธเจ้าพาไปไหน ? พระองค์พาไปแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ยืดได้เดินนำไปเลย
เพราะอะไร ? พระเจ้าพิมพิสารแม้จะอยู่ในลักษณะของบุคคลที่ใจดี รู้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะหนีออกมา ก็ยังจะแบ่งสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แต่ว่ากษัตริย์ย่อมมีขัตติยมานะเป็นปกติ ถ้าไปในลักษณะที่ไม่สมกับเกียรติยศของกษัตริย์ ท่านอาจจะดูถูกดูแคลน ไม่ให้ความสนใจและไม่เชื่อถือ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ส่งพระอรหันต์ ๑,๐๐๓ รูปนี้ออกไปประกาศพระศาสนา แต่พาไปหาพระเจ้าพิมพิสารด้วย ไปในลักษณะบริวารยศ ก็คือ มียศใหญ่ด้วยมีบริวารมาก
ไปโดยศักดิ์ว่าเป็นกษัตริย์เสมอกัน ถึงแม้จะได้รับพระบรมราชานุญาตว่า บรรลุมรรคผลแล้วให้มาโปรดด้วย ถ้าเช่นนั้นสามารถที่จะตรงเข้าวังได้เลย แต่พระองค์ไม่ไป เพราะถ้าไปในลักษณะอย่างนั้น ก็เหมือนกับเขาเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านต้องมีตัวกู..ตัวของกูเป็นธรรมดา...ก็กูใหญ่กว่า อาจจะไม่ละพยศ ไม่เชื่อกัน ท่านจึงไปพักที่สวนลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม)
ชาวบ้านได้ข่าวก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน เพราะอะไร ? อาจารย์ใหญ่มานี่ ท่านอุรุเวลกัสสปะ ท่านนทีกัสสปะ ท่านคยากัสสปะ อย่าลืมว่าเฉพาะชาวบ้านที่บวชอยู่กับชฏิลสามพี่น้องมีจำนวนหนึ่งพัน แสดงว่าชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านต้องไม่ธรรมดา ไม่มีใครแลพระพุทธเจ้าเลย...! ไปหาแต่อาจารย์ใหญ่ของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร นั่งยิ้ม...
พระเจ้าพิมพิสารได้ข่าว พาข้าราชบริพารมาด้วยรวมกับชาวบ้านทั่วไป ท่านบอกว่ามี ๑๒ นหุต (๑ นหุต เท่ากับ ๑ หมื่น) คราวนี้เรารู้สึกคุ้นไหมกับคำว่า นหุต ? ศรีสัตนาคนหุต ก็คือ เมืองล้านช้าง
คำว่า นาค หรือ นาคะ ใช้แทนคำว่าผู้ประเสริฐก็ได้ ใช้แทนคำว่า พระพุทธเจ้าก็ได้ ใช้แทนผู้ที่ฝึกดีแล้วก็ได้ ใช้แทนช้างก็ได้
สตนหุต = ร้อยหมื่น ของบาลีจะเอาตัวนามกล่าวไว้ตรงกลาง เลขจะอยู่หัวท้าย ก็เลยกลายเป็นสัตนาคนหุต ล้านช้าง ก็คือ ช้างล้านตัว
ก็แปลว่า ทั้งข้าราชบริพารและชาวบ้านรวมไปกันทั้งหมด หนึ่งแสนสองหมื่นคน...!
พระเจ้าพิมพิสารรู้จักพระพุทธเจ้า คนก็เริ่มมองกันว่า อ้อ...คนนี้หรือพระพุทธเจ้า ? แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ตกลงใครเป็นลูกศิษย์กันแน่ ? เพราะอาจารย์ใหญ่ของเขามีชื่อเสียงมานานแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าเพิ่งปรากฎขึ้นมา เพิ่งได้ยินวันนี้เองว่า ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุก็ยังน้อยอยู่
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า อย่าดูหมิ่นพระราชาว่ายังเด็ก อย่าดูหมิ่นงูพิษว่าตัวเล็ก อย่าดูหมิ่นสะเก็ดไฟว่าเล็กน้อย และท้ายสุดอย่าดูหมิ่นสมณะว่ายังหนุ่ม พระราชาแม้จะเป็นเด็กแต่ก็สั่งตัดหัวคนได้ งูพิษแม้ตัวเล็กถ้ากัดก็ตายได้ สะเก็ดไฟน้อย ๆ ลองไหม้สิ เมืองทั้งเมืองก็อาจจะไหม้หมดได้
พอชาวบ้านได้ฟังพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าจึงได้ยอมรับ แต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีว่าใครเป็นลูกศิษย์ ? ใครเป็นอาจารย์ ? พระอุรุเวลกัสสปะจึงครองจีวรเฉวียงบ่า กราบซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ประกาศว่า ข้าพเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของข้าพเจ้า พอประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไปชั่วลำตาล แล้วก็ลงมากราบใหม่ ประกาศใหม่ ทำอย่างนี้ด้วยกันถึงสามวาระ ชาวบ้านทั้งหมดจึงยอมเชื่อ ยอมเชื่อเพราะอะไร ? ก็อาจารย์ใหญ่เหาะให้ดูเห็น ๆ แต่กลับยอมไปกราบเท้าพระพุทธเจ้านั่นเอง
พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์อนุปุพพิกถา พอเทศน์จบมหาชนทั้งหมด ๑๑ นหุต (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน) บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมทั้งพระเจ้าพิมพิสารด้วย ส่วนอีกหนึ่งหมื่นมัวแต่ตื่นเต้นหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงไม่ได้บรรลุ...แต่ก็เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
คราวนี้เรามาดู..ดูอะไร ? ดูว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ายากจริงหรือเปล่า ? ถ้ายากจริงทำไมเขาบรรลุกันทีเป็นแสนคน ฉะนั้น...อ่านพระไตรปิฎกอย่าอ่านทิ้งเฉย ๆ ต้องคิดให้เป็น สมัยนี้เทศน์กันปากเปียกปากแฉะ อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย แค่หนึ่งคนก็หายากแล้ว...!
พระเจ้าพิมพิสารเมื่อเป็นพระโสดาบัน ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าได้มหาอำนาจมาอยู่ในเงื้อมมือ ถ้าเปรียบเป็นประเทศจีนกับประเทศอเมริกา ตอนนี้ได้ประเทศจีนมาแล้ว เพราะว่าแคว้นมคธเป็นมหาอำนาจ มักผนวกเอาแคว้นอังคะเข้าไปอยู่ด้วยเสมอ เผลอเมื่อไรก็เสร็จ ส่วนแคว้นโกศลของพระเจ้าปเสนทิโกศล นอกจากจะปกครองแคว้นกาสีแล้ว ยังปกครองกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ฉะนั้น...พระพุทธเจ้าจะทำอะไรต้องคิดเป็นพิเศษ ไม่ระมัดระวังไม่ได้ เดี๋ยวญาติของพระองค์เองจะเดือดร้อน
พระองค์เองตอนนี้ เมื่อประกาศศาสนาในแคว้นมคธได้ มีจอมคนของแคว้นมคธ คือ พระเจ้าพิมพิสารเป็นสาวกแล้ว ก็พอจะมีเครื่องป้องกันตัวอยู่ แต่จะกลายเป็นว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ยิ่งระแวงหนักเขาไปอีก ถ้าเกิดเห็นว่าพระพุทธเจ้าไปบวช เพื่อเสาะหาบริวารที่จะแข็งเมือง ตอนนี้ยังมาผูกมิตรกับเมืองใหญ่ระดับทัดเทียมกันแล้ว ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ ? ถ้าจู่ ๆ เข้าไปเทศน์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง แล้วจะเหลือไหม ? นี่เอาความคิดอย่างคนที่มีกิเลสมาคิด ...
พระพุทธเจ้าท่านจึงยังไม่สามารถเสด็จเข้าแคว้นโกศลได้ แต่พระองค์ท่านใช้วิธีวนอยู่รอบ ๆ ไปคว้าอีกสองแคว้นใหญ่ในสมัยนั้น ก็คือ แคว้นวัชชีกับแคว้นวังสะ แคว้นวังสะ มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง ปกครองโดยพระเจ้าอุเทน แคว้นวัชชี มีเมืองไพศาลีเป็นเมืองหลวง สองแควนนี้พระพุทธเจ้ากวาดหมด...!
มาดูต่ออีก เมื่อพระพุทธเจ้าได้แคว้นมคธ ก็แปลว่าได้แคว้นอังคะด้วย แคว้นอังคะนั้นมีเศรษฐีที่รวยจนนับเงินไม่ได้ก็คือ เมณฑกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นลูกของธนัญชัยเศรษฐี เป็นหลานของเมณฑกเศรษฐี เมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงานกับปุณวัฒนกุมาร ซึ่งเป็นบุตรของมิคารเศรษฐี เศรษฐีของแคว้นโกศล ก็เท่ากับว่าตอนนี้มหาสาวิกานำหน้าเข้าไปแคว้นโกศลก่อน แล้วพระพุทะเจ้าไปโปรดราชคหกเศรษฐีในแคว้นมคธ และไปได้อนาถบิณฑิกเศรษฐีของแคว้นโกศลมาอีก (อนาถบิณฑิกะเป็นน้องเขยของราชคหกเศรษฐี)
นอกจากนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลยังขอธนัญชัยเศรษฐีจากพระเจ้าพิมพิสาร ไปเมืองโกศลของตัวเอง เพราะว่าโกศลเป็นเมืองที่มีเศรษฐีน้อยมาก ถ้าแคว้นไหนมีเศรษฐีมาก เศรษฐกิจจะรุ่งเรือง ธนัญชัยเศรษฐีจึงพาบริวารไปแคว้นโกศล พาบริวารไปไม่เท่าไรหรอก สองแสนคนเอง...!
ถาม : บริวารสองแสนคน...! นึกว่าไปออกรบ ?
ตอบ : อย่าลืมว่ากองเกวียนสินค้าเศรษฐีสมัยก่อน ก็คือกองทัพดี ๆ นี่เอง ต้องไปค้าขายต่างบ้านต่างเมือง จึงต้องมีกองกำลังส่วนตัวเพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย
เมื่อธนัญชัยเศรษฐีไปยังแคว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปรับเองเลยนะ ให้เกียรติมาก เพราะรู้ว่าจะมาสร้างความเจริญให้ประเทศตัวเอง แต่ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่ซึ่งเหมาะสมตรงรอบนอกมากกว่าในเมือง ถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ที่ตรงนี้มีเจ้าของหรือไม่ ?” พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ของข้าพเจ้า ยังไม่มีเจ้าของ ธนัญชัยเศรษฐีจึงตัดสินใจขอที่ตรงนี้ สร้างเมืองใหม่ด้วยตนเอง เพราะไม่ต้องการเข้าไปรบกวนในเมืองสาวัตถี คนตั้งสองแสนเข้าไปแย่งกินแย่งใช้ ทรัพยากรอาจไม่พอ ธนัญชัยเศรษฐีก็เลยสร้างเมืองสาเกตขึ้นมา
ตอนนี้ฝ่ายพระพุทธเจ้ามีใครบ้าง นางวิสาขาปราบมิคารเศรษฐีจนยอมรับพระพุทธศาสนาแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ธนัญชัยเศรษฐีเป็นสาวกแล้ว และยังมีแคว้นใหญ่สามแคว้นหนุนหลังอยู่ คราวนี้เข้าไปในแคว้นโกศลน่าจะสบายแล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้ยอมเข้าแคว้นโกศล เข้าแคว้นโกศลเมื่อไร ? พรรษาที่ ๑๔...! ใช้เวลา ๑๔ ปี จึงเข้าแคว้นโกศลได้
พระพุทธเจ้าเทศนโปรดพระเจ้าปเสนทิโกศล จนยอมประกาศตนนับถือพระรัตนตรัย แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังทดสอบพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อย ถ้าเราไปอ่านพระสูตรจะเจอพระสูตรหนึ่งที่ปริพาชก ๗ ท่านเดินผ่านมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถอดรองพระบาทคุกเข่าแสดงอาการคารวะปริพาชกทั้ง ๗ แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระอรหันต์”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปุถุชนสามารถรู้ได้แค่เรื่องของปุถุชน พระโสดาบันสามารถรู้ได้แค่เรื่องของพระโสดาบัน ในเมื่อพระองค์ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นเป็นพระอรหันต์ ?” พระเจ้าปเสนทิโกศลอับจนด้วยถ้อยคำ จึงได้ยอมสารพภาพว่า นั่นเป็นจารบุรุษของโยมเอง แสดงว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลส่งสายลับไปทั่วเลย ปลอมเป็นนักบวชก็เอา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่จับโกหกได้ซึ่ง ๆ หน้าอย่างนั้น คาดว่าคงโดนทดสอบอีกเยอะ จะเห็นได้ว่า โดยวิสัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นบุคคลที่ลงให้คนอื่นได้ยากมาก ต้องบอกว่าหัวแข็งจนทุบไม่ลง
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลประกาศตนนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จกลับกบิลพัสดุ์ได้อย่างเปิดเผย เพราะว่าผู้ปกครองเมืองกบิลพัสดุ์ยอมเป็นบริวารแล้ว ไม่อย่างนั้นนี่ ...กลับไปสงเคราะห์ญาติตัวเองได้ยาก
วิสัยความหวาดระแวงของคน พาให้ตายมาเยอะแล้ว สมัยก่อนเรื่องชิงราชสมบัติ พูดง่าย ๆ ว่า กรุณาอย่ามีลูกหลายคนเลย มีเมื่อไรเดือดร้อนกันไปหมด คนไหนมีทีท่าว่าจะเด่นขึ้นมา โดนสอยตลอด
เรื่องนี้ที่เล่าให้ฟังกัน ก็คือว่า บางทีในเรื่องของพระพุทธประวัติก็ดี อะไรก็ดี มีสิ่งต่าง ๆ แฝงอยู่เยอะมาก เพียงแต่ว่าเราต้องใช้ความคิดของคนอย่างมีกิเลสไปคิด แล้วจะเห็นและเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงทำอย่างนั้น ? ทำไมจึงใช้เวลาตั้ง ๑๔ ปี กว่าจะเข้าแคว้นโกศล ?
ว่าโดยตามจริงแล้วแคว้นโกศลเป็นมหาอำนาจ ใหญ่กว่าแคว้นมคธเสียด้วยซ้ำไป ลักษณะอย่างจีนกับอเมริกา ถึงคุณเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน แต่เขาก็เห็นว่าอเมริกามีภาษีดีกว่าใช่ไหม ? แล้วทำไมพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาในแคว้นมคธ ไม่ประกาศในแคว้นโกศลเสียเลย ก็ด้วยเหตุที่ว่ามา...
ถ้าหากเราคิดเป็นมองเป็น สิ่งที่ไม่ได้เล่าเอาไว้มีอีกเยอะมาก ในบรรดาพระไตรปิฎกต่าง ๆ สามารถให้เราฟุ้งซ่านได้อีกนาน เพียงแต่ว่าให้ฟุ้งในธรรม ใช้ความรู้สึกบ้าง ใช้การคาดคะเนบ้าง ลองตรอง ๆ เอา ไม่ต้องถึงขนาดความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะเห็นอะไรอีกมากต่อมากเลย”
*************************
“พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธัตถจริยา ก็คือ แบบอย่างของความเป็นพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ต้องวางตนอย่างไรบ้าง อย่างเช่นว่า
ปุพฺพณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ เช้าขึ้นมาก็ต้องไปบิณฑบาตเพื่อโปรดชาวบ้าน
สายณฺเห ธมฺมเทสนํ บ่ายก็เทศน์โปรดชาวบ้านทั่วไป
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนคำ่ก็ให้โอวาทพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา
อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืนก็แก้ปัญหาของพรหมเทวดาท่าน
ปจฺจุสฺเสว คเตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ใกล้รุ่งก็ตรวจดูนิสัยสัตว์โลก เพื่อที่จะดูว่าสมควรไปโปรดผู้ใด
นี่เป็นจริยาของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องทรงประพฤติอย่างนี้ทุกพระองค์
ญาตัตถจริยา แบบอย่างในการสงเคราะห์ต่อญาติ พระองค์เสด็จโปรดพระราชมารดา โปรดพระราชบิดาพร้อมพระประยูรญาติ โปรดพระนางพิมพา โปรดพระราหุล นำเอาพระญาติของศากยวงศ์มาบวชเสียเยอะแยะ โดยเฉพาะชุดที่มาบวช ศากยะ ๒๕ โกลิยะ ๒๕๐ ทำเอานางสากิยาณีเป็นหม้ายไป ๕๐๐ ตอนหลังต้องตามพระนางปชาบดีโคตมีออกบวช
ด้านสุดท้ายก็คือ โลกัตถจริยา แบบอย่างที่ทำตนเพื่อประโยชน์แก่โลก ตอลด ๔๕ พรรษา พระองค์ทรงแสดงธรรมตลอด สงเคราะห์ด้วยธรรมแม้วินาทีสุดท้าย ก่อนจะปรินิพพานก็ยังมีปัจฉิมโอวาท เมื่อเรามองทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่ตรองตามไป ก็จะได้พุทธานุสติเต็ม ๆ ส่วนผลอย่างอื่นก็เป็นผลข้างเคียง
พระพุทธเจ้าทรงสงเคาะห์ญาติ ก็จะมีพระปางห้ามญาติอยู่ ทรงห้ามญาติถึงสามวาระด้วยกัน หรืออาจจะเกินสาม ? ทรงห้ามพระญาติระหว่างเทวทหะกับกบิลพัสดุ์ ที่จะรบกันเพราะจะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณี หลังจากนั้นก็ห้ามพระเจ้าวิฑูฑภะ ไม่ให้ไปถล่มแคว้นศากยะของพระองค์ท่าน ห้ามถึงสามวาระแล้วยังห้ามไม่อยู่ ก็ต้องยอมปล่อยให้เป็นไปตามวาระกรรม”
*************************
ถาม : พระปางที่ยกสองมือ คือปางห้ามญาติใช่ไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกปางห้ามสมุทร ปางห้ามญาติยกมือเดียว
ถาม : แล้ววันจันทร์นี่ปางห้ามสมุทรหรือคะ ?
ตอบ : วันจันทร์นี่ปางห้ามญาติ ห้ามมือเดียว
สำหรับปางห้ามสมุทรเขาเชื่อว่าเป็นปางที่ตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ สมัยก่อนเขานิยมสร้างในลักษณะเสริมดวง
*************************
ถาม : ช่วงไปธุดงค์ อารมณ์แทบจะไม่ต่างจากปกติเลย เ ป็นเพราะว่าการปฏิบัติอ่อนลง หรือเพราะอารมณ์ทรงตัวแล้ว ?
ตอบ : อย่างนี้ต้องสังเกตเอง ถ้าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง คือ อารมณ์เราทรงตัวแล้ว แต่ถ้าคิดอย่างไม่ประมาทก็คือ ตอนธุดงค์เรายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก็เลยยังเหมือน ๆ เดิมอยู่
*************************
ถาม : เวลาเกิดปฏิฆะ เห็นว่าอารมณ์กำลังเกิด ตอนจะดับเราก็เห็นขั้นตอนทุกอย่าง แต่ว่าเป็นไปอย่างช้า ๆ ไม่ได้เร็วปั๊บเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าความสามารถรู้ได้ถึงขนาดดับได้ก็ดีแล้ว จะช้าจะเร็วดับให้ได้ก่อน
ถาม : ค่อย ๆ ทำไปใช่ไหมคะ จนกว่าจะเร็วขึ้น ?
ตอบ : เดี๋ยวจะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ไปเอง
*************************
ถาม : จะเปิดร้านกาแฟ ทำอย่างไรให้มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น ควรทำอะไรเสริม ทำสังฆทานถวายเจ้าที่อย่างนี้ดีไหมคะ ?
ตอบ : ได้ แต่จะให้แน่ ๆ ก็ต้องภาวนาพระคาถาเงินล้านเยอะ ๆ
*************************
ถาม : เคยเห็นพระรูปหนึ่ง เวลาผู้หญิงใส่บาตร พระรูปนี้จะจับไหล่ผู้หญิงแล้วก็อวยพร ผู้หญิงก็จะสะดุ้งกันเป็นแถวเลย แบบนี้ผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ว่ากันตรง ๆ ก็ผิดแน่ ขนาดรับของจากผู้หญิง เขายังให้เอาของอื่นรับ
ถาม : เห็นอย่างนี้ทุกวันค่ะ มีแต่คนมอง สะดุ้งกันเป็นแถวเลย ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ โทรบอกคุณสรยุทธ ให้มาถ่ายทำข่าวเลย...!
*************************
“สถานการณ์ประเทศ ถ้าหากว่าอยู่ในช่วงไม่ดี สังเกตมาหลายทีแล้วว่า มักจะมีช่วงเสาร์ ๕ เพื่อจะได้ทำพิธีผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ว่างานนี้เขาบอกว่าดีเดย์อยู่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ แต่เสาร์ ๕ อยู่เดือนมีนาคม เพราะฉะนั้น...สิ่งที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่ใช่เสาร์ ๕ จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากพอ ซึ่งตอนนี้หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณารามก็ไปหนึ่งองค์แล้ว ก็ต้องรอดูว่ารายต่อไปคือใคร ?”
ถาม : องค์เดียวไม่พอหรือคะ ?
ตอบ : ไม่พอ ต้องสามหรือสี่ ทั้งพระและฆราวาสที่มีความดีใหญ่
*************************
ถาม : ผมสอบเข้าเพื่อไปเรียนปริญญาเอก เดือนกรกฎาคมนี้สอบอีกรอบ ไม่ทราบว่าจะผ่านหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ารู้จักคาถาท่านปู่พระอินทร์ก็ให้ใช้คาถานี้ ถ้าไม่รู้จักก็ไปเปิดดูในหนังสือมนต์พิธีมีอยู่ คาถาท่านว่า สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ ขอความคล่องตัวในการสอบ ขอให้ตอบคำถามได้ถูกต้องและถูกใจกรรมการด้วย ไปลองใช้ดู เขาใช้กันมาเยอะแล้ว
ถาม : มีพระแนะนำมาว่า วันพระให้เราถือศีล ๕ วันธรรมดาให้เราถือศีลสองข้อ ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใครสอน ?
ถาม : พระค่ะ ?
ตอบ : ถ้าถือศีลห้าได้ตลอดก็ถือไปสิ อย่าลืมว่าคนเราจะเป็นคนหรือไม่เป็นคน อยู่ที่ศีลห้านะ ถ้าศีลห้าขาดไปข้อหนึ่ง ความเป็นคนก็หายไป ๒๐% ถ้าถือได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ถือเลย ยกวเ้นว่ามีเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องขาด ก็ให้รีบถือใหม่ให้เรียบร้อย ให้ครบถ้วนเหมือนเดิม ยิ่งถือศีลแปดได้ยิ่งดี
*************************
ถาม : การเพ่งเปลวเทียน จัดว่าเป็นในหมวดของกสิณไฟหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นเตโชกสิณ กสิณไฟ
ถาม : จิตไม่ยอมเข้าไปถึงองค์ฌานของกสิณ แต่ยกไปสู่วิปัสสนาเสมอ พยายามจะเข้าไปในองค์ฌานให้ได้ แต่ก็ไม่ยอมค่ะ ?
ตอบ : จำภาพแล้วประคองภาพไว้ จะเข้าถึงเมื่อไรเรื่องของเขา อย่าไปอยากเข้า ถ้าอยากยังฟุ้งซ่านอยู่ จะเข้าไม่ได้ มอง...หลับตาลง...นึกถึง ถ้าภาพหายไป ลืมตา...มอง...จำ แล้วก็นึกถึงใหม่ พร้อมกับคำภาวนา จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌานก็ช่าง เรามีหน้าที่รักษาภาพอย่างเดียว
ถาม : สีของเปลวจะเปลี่ยนก็ไม่ต้องสนใจ ?
ตอบ : จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนเรื่องของเขา เรามีหน้าที่รักษาภาพเอาไว้ให้ได้ก็พอ
|