เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒
ถาม : เวลามีเรื่องกระทบเบา ๆ ก็จะพิจารณาว่าจิตอยู่กับเรา ไอ้ที่เกิดเป็นเรื่องธรรมดาไม่เกี่ยวกับเรา กับอีกแบบหนึ่งคือเรื่องที่แรงมาก หนูจะโดดไปเกาะพระที่พระนิพพาน ให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่าไม่เกี่ยวกับเราจริง ๆ ?
ตอบ : จะแรงหรือจะเบาเอาให้ได้อย่างหลัง คือส่งใจไปพระนิพพานไว้ก่อน แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้ก่อน เราจะได้เห็นชัด ๆ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเปรียบดูแล้วร่างกายเหมือนกับบ้าน คนมาเตะประตูรั้วบ้าง มาทุบประตูบ้านบ้าง ขว้างฝาผนังบ้างก็เรื่อของเขา เราอยู่ในบ้านเราก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่คราวนี้เราไม่ได้อยู่ในบ้านเสียด้วย เราเผ่นไปรอที่พระนิพพานเสียด้วยซ้ำไป
ถาม : ถ้าทำอยู่แค่นี้ ไม่ได้มากกว่านี้ แต่ทำให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ใช้ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ทำให้คล่องตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ทันทีที่กระทบ แล้วเราไปอยู่ที่พระนิพพานได้เลย ถึงจะปลอดภัย
ถาม : แล้วถ้าพิจารณานั่งนิ่ง ๆ ยังมีความจำเป็นอยู่ไหม ?
ตอบ : ถ้ามีเวลาอยากคิด ก็ให้คิดได้ แต่ถ้าไม่คิด ส่งใจไปอยู่พระนิพพานที่เดียวก็พอแล้ว
ถาม : หนูพยายามมองตัวเองว่ายังห่วย ซึ่งก็ยังห่วยอยู่ แต่บางอารมณ์ก็ดันไปเปรียบเทียบว่าคนอื่นว่าเขาแย่งกว่าเรา อะไรอย่างนี้ ?
ตอบ : นั่นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังมีสักกายทิฏฐิ ยังมีมานะอยู่ เจ้าสองตัวนี้จะทำให้เราเผลอคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเขา
ถาม : แล้วพวกนี้ถ้าเราไม่ไปตัดอะไร ก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : สิ่งที่เราทำอยู่เป็นการตัดอยู่แล้ว อย่างเช่นว่าเราเข้าสมาธิอยู่ กิเลสก็ไม่สามารถที่จะโตต่อไปได้ ถ้ามีปัญญาค่อยไปตัดไปละ แล้วเดี๋ยวกิเลสก็จะหมดสภาพไปเอง ตอนนี้ตัดกิ่งใหญ่ไม่ได้ ก็ตัดกิ่งเล็ก ๆ เท่าไม้จิ้มฟันไปก่อน แล้วค่อยไปตัดกิ่งใหญ่ ๆ อย่างที่ลูกของเราทำอยู่
ถาม : หลัง ๆ พอภาวนากำลังจะสงบ กลายเป็นมีกิเลสระหว่างวันโผล่ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัด ๆ เลย อย่างนี้ฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เรียกว่าฟุ้ง เป็นช่วงที่จิตกำลังจะสงบ จะเริ่มเข้าสู่อารมณ์ของอุปจารสมาธิ ช่วงนั้นกิเลสจะแทรกได้เต็ม ๆ ถ้าเป็นปฐมฌานจะแทรกไม่ได้ ในเมื่อเราเผลอเปิดโอกาสให้แทรกเข้ามาก็เป็นเรื่องดี เราจะได้ดู
ถ้าหากว่าเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร ช่วงทันทีที่กิเลสโผล่ จังหวะนั้นเป็นช่วงจิตในจิต คือรู้เท่าทันอาการ เห็นหน้าของกิลส แล้วก็พิจารณาต่อไปเลยว่า นี่เป็น รัก โลภ โกรธ หลงอย่างไร ก็จะเป็นธรรมในธรรม รู้ทันแล้ววาง...รู้ทันแล้ววาง อย่าไปปรุงไปแต่ง เราเป็นแค่คนดูเฉย ๆ อย่าไปเป็นคนเล่น ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวกิเลสก็พัง เพราะว่าเราไม่ไปปรุงไปแต่ง ไม่ไปต่อเติมเสริมความ เหมือนกับไฟลุกขึ้นมา พอไม่มีเชื้อก็จะดับ แต่ถ้าเราไปปรุงไปเติมไปแต่ง ไปเสริมความให้ พอมีเชื้อเข้าก็จะลุกลามไปเรื่อย อย่างเช่นเราไปคิดต่อว่า คนนั้นไม่ดีกับเราอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีกับเราอย่างนี้ เป้นอย่างนั้น เป้นอย่างนี้ คราวหน้าเราจะเอาคืนบ้าง คราวนี้ไปกันใหญ่ พอถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไม่อยู่ จะหาวิธีไหนเอาคืนดี ? ก็ว่าไปเรื่อย กว่าจะรู้ตัวก็ฆ่าเขาไปสามร้อยกว่าวิธีแล้ว
*************************
ถาม : ถ้ามีสติระหว่างหลับกับตื่นเท่ากัน นี่ต้องไม่ฝันเลยใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นนิมิต แล้วเราแยกไม่ออกว่าเป็นฝันหรือนิมิต นิมิตส่วนใหญ่จะบอกเหตุที่เกิดขึ้นล่วงหน้าหรือไม่ก็นิมิตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำมาในอดีต ฉะนั้น...ต้องแยกให้ออก นิมิตกับฝันหน้าตาเกือบจะเหมือนกัน
*************************
ถาม : หนูมีพระองค์หนึ่ง ตั้งใจจะมาถวายหลวงพ่อ แล้วลูกไปปัดตกแตกเสียแล้วค่ะ ?
ตอบ : ซ่อมใหม่
ถาม : ซ่อมแล้วมาถวายใหม่หรือคะ ?
ตอบ : ซ่อมแล้วปิดทองให้ จะได้อานิสงส์เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าเผลอเกิดใหม่จะเป็นเบญจกัลยาณี เขาเรียกพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ส่งไปให้ช่างซ่อมปิดทองให้ใหม่เลย
*************************
ถาม : วิธีหยุดพักอย่างเต่านี่ทำอย่างไร หยุดแบบไม่ให้ถอยหลัง ?
ตอบ : เต่ามีหัว ๑ มีตีน ๔ รวมแล้เวป็น ๕ เราก็ปิดกั้นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเราเสีย อย่าให้กระทบ อย่าให้ปรุงแต่งสู้กิเลสไม่ไหวก็หลบ อย่าให้ทำอันตรายเราได้ ฟังแล้วกลุ้มใจไหม ?
ถาม : ก็อยู่ในสมถะของเราไป ?
ตอบ : ยังฆ่าไม่ตายก็ยื้อไปเรื่อย ๆ ดูว่าใครจะอึดกับกัน
ถาม : แข่งกันอึด แข่งกันยื้อ ?
ตอบ : จะเป็นช่วงที่ชีวิตมีรสชาติมากเลย
*************************
ส่วนใหญ่คนที่ทำปรอทแล้วที่ไปหลง ก็เพราะว่าพอทำได้แล้วอานุภาพเกิด อย่างปีที่อาตมาไปพม่า พระไทยไปเรียนทำปรอท ๕ รูปสึกเกลี้ยงตั้งแต่ทำปรอทได้ขั้นแรก เพราะขั้นแรกเจะเป็นมหาเสน่ห์
ไม่น่าเชื่อว่าขนาดอยู่ในป่า พวกสาว ๆ ก็ตะเกียกตะกายมาส่งน้ำส่งข้าวให้ ท้ายสุดก็ต้องสึกไปจนได้ ก็พวกลูกสาวชาวบ้านแถวนั้นแหละ ถ้าหากธรรมดาเราคงไม่รู้สึกว่าน่าสนใจหรอก อาจเป็นไปได้ว่า ไม่ได้เจอผู้เจอคนนาน ๆ เจอใครก็ดูดีไปหมด
*************************
เชื่อไหมว่าในพม่า มีนิกายหนึ่งที่ไปจากไทย แล้วมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือมาก คือนิกายมหาเย็น
มหาเย็น จริง ๆ ท่านเป็นพระวัดบวรฯ ธุงดงค์ไปพม่า ด้วยความที่ท่านเป็นธรรมยุติ ท่านเน้นมากในเรื่องของอภิสมาจาร ทำให้ดูน่าเลื่อมใส คนก็เลยเกิดศรัทธา สร้างวัดให้ท่าน คราวนี้พอท่านสร้างวัดแล้วลูกหลานเขามาบวชด้วย ท่านเองก็สามารถอบรมเขาให้ได้แบบเดียวกับท่าน คนก็เลยยิ่งเลื่อมใสเข้าไปใหญ่ ช่วงแค่ไม่กี่ปี เขาสร้างวัดถวายท่าน ๒๐ กว่าวัด ฟังตรงนี้แล้วฉุกใจคิดอะไรบ้างไหม ? เขาสร้างวัดถวาย ไม่ใช่ท่านสร้างเอง
เราลองนึกถึงสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารถวายวัดเวฬุวัน อนาถปิณฑิกเศรษฐีถวายวัดเชตวัน นางวิสาขามหาอุบาสิกาถวายวัดบุพพาราม นางอัมพปาลีถวายวัดอัมพปาลีวัน หมอชีวกถวายวัดชีวกัมพวัน สมัยก่อนล้วนแล้วแต่ญาติโยมช่วยบำรุงพระภิกษุสามเณร ช่วยสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ให้ แต่สมัยปัจจุบันพระต้องสร้างเองทั้งนั้น เกิดจากอะไร ที่อยู่ ๆ ความนิยมเก่าที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างถวายพระสูญหายไปเฉย ๆ กลายเป็นพระต้องไปตะเกียกตะกายทำเอง
สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน อำมาตย์ เสนาบดีต่าง ๆ ก็ยังนิยมสร้างวัด จากที่พิจารณาดูช่วงเปลี่ยนผ่าน น่าจะเป็นช่วงที่ประเทศของเราสนับสนุนอุตสาหกรรมการส่งออก สมัยนั้นมีข้าว ไม้สัก ยางพารา ข้าวโพด แร่ดีบุก แต่ละอย่างต้องใช้แรงงานมาก ในเมื่อแรงงานเข้าไปอยู่ภาคอุตสาหกรรมนี้หมด ส่วนที่จะมาช่วยในเรื่องของวัดวาอารามก็น้อยลง แต่ก็ยังดี คนเขาก็ยังอยากทำบุญอยู่ จึงเปลี่ยนเป็นถวายปัจจัยให้พระคุณเจ้าไปสร้างเอง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระคุณเจ้าก็ต้องสร้างกันเองมาตลอด ผิดธรรมเนียมไปเยอะเลย อาตมานั่งคิด ๆ ดู ว่าน่าจะเป็นช่วงนี้แน่นอน
*************************
ถาม : หลวงพ่อคะ ขอธรรมสำหรับการไปธุดงค์ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร คิดเสียว่าไปตาย สบายที่สุด
ถาม : บรรยากาศไม่ให้ค่ะ ?
ตอบ : ก็นนอนนอกเต็นท์ นอนในมุมที่รกที่สุด ไกลคนที่สุด เดี๋ยวบรรยากาศความตายก็มาเอง ในเมื่อไม่ให้ เราก็สร้างบรรยากาศเองสิ ตั้งใจว่างูมากี่ตัวให้มาทางนี้ ย่ิงหน้าหนาว งูจะไปหาที่อุ่น ๆ งูเป็นสัตว์ที่น่าสงสารมาก พวกสัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่จะเลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายจะเท่ากับอุณหภูมิอากาศ บางทีตากแดดสาย ๆ จนเก้าโมง จึงจะขยับตัวได้ ถ้าเจอคนก็จะเข้าไปหาเลย อาตมามีประสบการณ์โดนงูนอนทับอกมาหลายครั้ง
ถาม : ก่อนหน้านั้นมีความรู้สึกว่าถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว เราต้องไปสถานที่ที่เขาปฏิบัติ อย่างไปธุดงค์ หลัง ๆ มานี่ความรู้สึกที่จะไปธุดงค์ก็คือไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ความรู้สึกไม่ต่างกัน ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วอันนี้เป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง การปฏิบัติจะอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าการในสถานที่บางแห่ง สิ่งแวดล้อมจะชักนำให้เราอยากปฏิบัติหรือว่าต้องเร่งรัดตัวเองมากขึ้น คือ สิ่งแวดล้อมพาไป ถ้าหากว่ามีสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ก็ควรที่จะไป เพื่อที่จะได้เอาความก้าวหน้าใส่ตัวของเรา
ถาม : พอเราจะไปเราก็เริ่มตั้งความว่าเราจะได้อะไรกลับมาบ้างไหม ?
ตอบ : ต้องตั้งใจว่าเราจะทำให้ดีที่สุด ส่วนจะได้หรือไม่ได้อะไรก็ช่างถ้าไปตั้งใจว่าต้องได้อย่างนั้น ต้องได้อย่างนี้เดี๋ยวพังกลายเป็นโลภเจตนา
ถาม : แต่ถ้าเราคิดล่วงหน้าว่าเราจะทำอะไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าจะไปทำอะไรบ้างไม่เป็นไร แต่อย่าไปคิดว่าเราจะได้อะไร คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนจะได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของมัน
*************************
เวลาผีเขาจะหลอกเรา เขาจะใช้กำลังดึงธาตุ ๔ ในอากาศมารวมตัวกันให้เป็นสสารหยาบ ซึ่งปกติเป็นสสารอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นระเบียบ ก็ดึงมารวมกันทำให้หยาบ จะได้ปรากฎตัวได้ ถ้าหากกำลังไม่พอ เขาจะทำให้ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าหากตัวไหนที่มาหลอกเราได้ แสดงว่ากำลังเขาพอใช้ได้ บางรายแย่ ๆ ก็ได้ยินแต่เสียง ได้แต่กลิ่น เห็นแต่เงาวูบวาบ ๆ เท่านั้น พวกนั้นกำลังน้อย
*************************
ถาม : หนูอยากจะถามว่าเวลาหมาพูด จะพูดว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็พูดว่า “โฮ่ง”
ถาม : แล้วหมาที่เป็นเทวดาล่ะคะ ?
ตอบ : พูดได้แต่ภาษาหมา เพราะเขาโดนบังคับให้อยู่ในร่างหมา เขาไม่ได้พูดภาษาคนหรอก เขาอยู่ในร่างหมาก็ใช้ภาษาหมาอยู่ แต่หมามีทั้งภาษาเสียง ภาษากาย ภาษาใจ
อาตมาเคยบอกว่าสัตว์เขารู้ ฝรั่งเขาพยายามศึกษาเรื่องนี้ ศึกษาจนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า ในแต่ละอารมณ์ ร่างกายเราหลั่งสารเคมีออกมาไม่เหมือนกัน แล้วสัตว์จะสัมผัสได้ ก็เลยรู้ว่าเราคิดดีหรือคิดร้าย อย่างในแบบของพวกเรา ทิพจักขุของสุนัขดีกว่าของพวกเรา แถมยังเป็นริรุกติปฏิสัมภิทาด้วย รู้ทุกภาษาในโลก ลองเอาไปโยนไว้แถว ๆ อเมริกาสิก็ยังคุยกับหมาอเมริการู้เรื่อง เอาไปโยนที่ขั้วโลก ก็คุยกับหมาพวกเอสกิโมได้
ถาม : เป็นหมาที่มีฤทธิ์ ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่า กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม กรรที่ทำให้เขาไปเกิดอย่างนั้น ก็ต้องมีสิ่งทดแทน
*************************
ถาม : ถ้าสติเราตามดูเราทันเป็นวิปัสสนา ความรู้สึกต่างกับการกดทับไหมคะ ?
ตอบ : สติที่จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้า จะไม่ปรุงไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง นั่นแหละคือวิปัสสนาญาณ
ถ้าเห็นว่าสภาพแท้จริงร่างกายเป็นอย่างนี้ก็เป็นไป งานยังไม่เสร็จก็ยังไม่เลิก จะเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าเป็นการกดทับจะไม่ใส่ใจอาการอื่น จะอยู่ที่สมาธิหรือลมหายใจ
ถาม : จะซื้อกองทุนรวม เพื่อเอาไว้ออมทรัพย์ใช้ยามป่วยค่ะ ?
ตอบ : พวกเราคงรู้จัก คุณหมอสมศักดิ์ สืบสงวน กันดี สมัยก่อนอาตมาคุยกับท่านเป็นประจำ คุยกันเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง สุดท้ายก็จะดึงเนื้อหามาสรุปเข้าหัวข้อธรรมะ
พอคุณหมออายุ ๕๕ ปี คุณหมอก็จัดแจงเกษียณตัเวองก่อนที่รัฐบาลจะมี early retire หลังจากนั้นคุณหมอก็ไปอยู่วัดเป็นประจำ เดือนหนึ่งจะอยู่วัดอย่างน้อย ๑๐ วัน พออาตมาออกจากวัดมาแล้วย้อนกลับไปได้เจอกัน คุณหมอก็มาจับแขน แล้วบอกว่า “อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ไม่ผิดจริง ๆ” จึงถามคุณหมอว่า “งวดนี้เรื่องอะไรอีก”
คุณหมอก็เล่าให้ฟังว่า “ก็ตัวผมน่ะสิครับ ผมคิดว่าได้เงินบำเหน็จมา บวกกับเงินของตัวเอง ฝากเอาไว้จำนวนเท่านี้ ๆ ได้ดอกเบี้ยมาเท่านี้ ๆ อย่างไรก็พอใช้ ปรากฏว่าค่าของเงินตก ที่คิดว่าพอใช้ตอนนี้ไม่พอแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ทุกอย่างอนิจจัง ผมดันไม่เชื่อเอง”
ดังนั้น...เก็บเงินเอาไว้บ้างเถอะ เผื่อว่าตอนแก่ ๆ อาจจะได้ใช้บ้าง
*************************
ถาม : ช่วงแรกพอเปลี่ยนจากฌานหนักเป็นฌานใช้งานแล้ว อารมณ์จะเบาขึ้น ต่อไปก็จะเบาขึ้นเรื่อย ๆ หรือพอเปลี่ยนแล้วเบาเลยทีเดียวคะ ?
ตอบ : ไปตามสภาพของความคล่องตัว คล่องตัวมากก็เบา
ถาม : ตัววิปัสสนาคือรู้ว่าอารมณ์ไม่มีมาแล้วตั้งแต่ต้น แต่ตัวอรูปฌานก็คือมีอยู่แล้ว แต่เราไปทำให้ไม่มี ?
ตอบ : ถ้าหากพิจารณาง่าย ๆ ให้ดูตรงที่ว่า วิปัสสนาเรารับรู้แล้วปล่อยวาง ส่วนอรูปฌานเป็นการกด ใช้กำลังฌานมาคานไว้ ให้แยกอย่างนี้ อย่างที่เราดูจะกลายเป็นทำของง่ายให้ยาก
ถาม : เวลาอยู่ในอารมณ์วิปัสสนาจะเป็นลักษณะหยุดการปรุงแต่ง ถ้่าอยู่ในอรูปฌานจะหยุดการหมายจำได้หมายรู้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอรูปฌานก็หยุดการปรุงแต่งได้ เพียงแต่ว่าเป็นการปรุงแต่งสภาพจิตอีกแบบ หยุดได้เหมือนกัน แต่ไปปรุงอีกตัว
ถาม : การนึกถึงหลวงพ่อไม่ว่าจะเป็นท่าทาง ปฏิปทาหรืออะไรก็ตาม รู้สึกว่ายินดีมาก ชอบใจ ถามว่าดีไหม...ก็ดี แต่ความรู้สึกก็คือมีที่ดีกว่านั้น ก็คืออารมณ์เป็นกลาง ๆ ถูกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถูก คลำให้เจอแล้วกัน ว่าที่ไม่ดีไม่ร้ายเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเจอเมื่อไรจะเป็นส่วนสังฆคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวตน
*************************
ถาม : โผฏฐัพพะ คืออะไรคะ ?
ตอบ : การสัมผัสถูกต้อง ก็คือ ประสาทส่วนหนึ่งที่เป็นผิวหนัง
ถาม : แล้วอย่างนี้จัดว่าเป็นอารมณ์ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ระวังจะเกิดโผฐัพพารมณ์ คือ ความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็จะพาให้เกิดอารมณ์ยินดียินร้าย หรือไม่ยินดียินร้าย
ถาม : แล้วธรรมารมณ์ล่ะคะ ?
ตอบ : ธรรมารมณ์ คือความคิด กายสัมผัส คือโผฏฐัพพารมณ์ ใจครุ่นคิด คือธรรมารมณ์
ถาม : ทำไปแล้ว เราว่าดีแล้ว แต่ปรากฏว่ายังไม่ดี อย่างเช่นการภาวนา ยิ่งภาวนาก็ยิ่งรู้สึกว่าดี ทำไปทำมามีความพอใจในการภาวนามากเลย ปรากฎว่าแม้กระทั่งอารมณ์พอใจในการภาวนาว ก็ยังเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีสำหรับเรา คิดว่าดีแล้วก็ยังไม่ดีอีก ?
ตอบ : อาตมาเคยเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกับการขึ้นบันได เราขึ้นบันไดขั้นนี้ เราก็ว่าบันไดนี้ดีแล้ว...ใช่แล้ว แต่พอก้าวไปอีกชั้น อ้าว...นี่ยังดีไม่พอ...ยังสูงไม่พอ แล้วก็มายึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้ดีแล้ว ใช่แล้ว จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
ถาม : เหมือนกับว่าปรับไปเรื่อย ๆ ให้เหลือแต่อารมณ์ที่เป็นกลางจริง ๆ ?
ตอบ : เดี๋ยวก็รู้ ถ้าเลิกพูดเมื่อไร ก็จะเฉยจริง ๆ แล้วจะเห็นของจริงนิ่งเป็นใบ้ ถ้าพูดได้ก็ยังไม่จริง
ถาม : ในการปฏิบัติต้องมีการละรูปกับนาม การเห็นจิตในจิต เห็นกิเลสในใจตัวเองตรงนี้ ถือว่ากำลังละในส่วนที่เป็นนามด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่
ถาม : แล้วจำเป็นต้องละตัวรูปด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่านามปรากฎก็ละในส่วนของนาม ถ้าหากว่ารูปปรากฎก็ละในส่วนของรูป อะไรมาก็ละส่วนนั้น
*************************
คนที่ถักหมวกไม่ทันจะเสร็จก็เลิกทำ กลับไปแล้วต้องทำให้ได้ อะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่สำเร็จ จะบั่นทอนกำลังใจตัวเอง ปัจจุบันนี้ความกล้าอย่างเดียวไม่เพียงพอจะใช้งาน ต้องบ้าด้วย โดยเฉพาะคนที่จะไปพระนิพพาน...บ้าปกติไม่พอหรอก...ต้องบ้ากว่าคนทั่วไปอย่างน้อย ๔ เท่า
ไปสะสมความมั่นใจใหม่ให้สำเร็จ จะช่วยอะไรด้เยอะ คนที่เขาสะสมความมั่นใจมามากเพราะว่ามีประสบการณ์มาก แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ทำจะประสบความสำเร็จ ในเมื่อประสบความสำเร็จก็จะเกิดความมั่นใจ เกิดความกล้าที่จะทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไป ต้องทำให้ได้ จะออกมาขี้เหร่แค่ไหนก็ทำเถอะ ทำให้เขารู้ว่าเราก็ทำได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเสมอว่า สิบนิ้วเท่ากัน ถ้าเขาทำได้เราก็ต้องทำได้
*************************
ถาม : แต่ก่อนที่ปฏิบัติ จับภาพพระพุทธรูป สีจะไม่ชัด ตอนนี้ก็เปลี่ยนค่ะ ครึ่งหนึ่งค่อนข้างเข้ม อีกครึ่งหนึ่งยังไม่เข้ม แต่ก็ยังไม่ขาว ต้องทำอย่างไรต่อคะ ?
ตอบ : รักษาภาพพระไว้ แล้วพยายามดูเรื่องของศีล สมาธิให้ดีกว่านี้ อย่าไปใส่ใจว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
ถาม : มีเพื่อนฝากถามมาว่า เขาจะไปฝึกมโนฯ ที่วัดท่าขนุน ท่านเปิดสอนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เคยสอน ไปทำเอง ติดขัดตรงไหนมาถามได้
*************************
ถาม : การเดินจงกรม กับนั่งสมาธิอย่างไหนดีกว่ากัน ?
ตอบ : อยู่ที่เราด้วยว่าชอบแบบไหน ถ้าเราชอบการเคลื่อนไหว เดินจงกรมจะดีกว่า แต่ถ้าหากว่านั่งแล้วจิตใจสงบทรงตัวดีกว่า ก็นั่งสมาธิเพียงแต่ว่าทำอะเไรอย่างเดียวนาน ๆ ก็มีเบื่อ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ความรักชอบเป็นของส่วนตัว ให้คนอื่นบอกไม่ได้หรอก
ถาม : ไม่ใช่สิ่งที่เราาสั่งสมแต่ชาติก่อน แล้วเราไปต่อยอดเอา ?
ตอบ : จริตนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ถาม : จริตนิสัยของเรานี่สั่งสม ?
ตอบ : สั่งสมมาแต่ชาติก่อน ๆ เหมือนว่าเราชอบอาหารอย่างหนึ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันก็ไม่ไหว จะให้กินแต่ผัดสิ้นคิดทุกวันก็ไม่ไหว ชอบแค่ไหนก็ต้องมีเปลี่ยนบ้าง
*************************
ถาม : เมื่อเดือนที่แล้วฝันถึงในหลวง ในฝันท่านนนั่งอยู่บนรถเข็น แล้วเราก็ไปเยี่ยม ท่านก็รับปากว่าจะช่วยเรา ?
ตอบ : การฝันเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โบราณถือว่าเป็นมงคลใหญ่ เพราะว่าโอกาสที่จะพบท่านเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ได้พบในฝันก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
*************************
การเลี้ยงลูกอย่าอารมณ์เสียนะ ไม่ว่าจะหงุดหงิดแค่ไหนก็ต้องเก็บเอาไว้ให้มิดชิด ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะหมดความนับถือ ต้องเอาแค่ด้านที่ดี ๆ ให้ลูกเห็น นึกถึงตอนที่ชอบกับแฟนใหม่ ๆ ทำดีกับเขาอย่างไร ก็ให้ทำดีกับลูกแบบนั้น
*************************
ถาม : ถ้าจะระลึกถึงความตายต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : สมมติว่าตัวเองตายอยู่บ่อย ๆ สมมติว่าวันนี้เราจะไม่ได้เห็ฯตะวันตกดิน เราต้องตายแน่นอน ก่อนตายเราควรที่จะอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเรามีเวลาแค่วันนี้เราควรที่จะทำอะไร เพื่อที่จะเสริมสร้างกำลังใจของเราให้ดีกว่านี้ ถ้าสมมติความตายอย่างนี้บ่อย ๆ ความรู้สึกก็จะอยู่กับควาตายตลอดเวลา ว่าไม่เที่ยงหนอ ในที่สุดก็ตายแล้ว ความตายอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรานี่เอง ทำบ่อย ๆ แล้วจะชิน เขาเรียกว่า มรณานุสติกรรมฐาน ต้องซ้อม ถ้าไม่ซ้อมแล้วไม่คล่อง
ถาม : เจ็บเนื้อเจ็บตัวเหมือนโดนของ ?
ตอบ : พวกไสยศาสตร์เขาก็ทำไปเรื่อย ถ้าหากไม่ทำอะไรเรามากไปกว่านั้น ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ของพวกนี้แปลกตรงที่ว่า ถ้าเราตอบโต้เขาก็จะเล่นเราหนักขึ้น ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ก็จบเรื่อง นาน ๆ ไป ก็จะคิดว่าเราตายไปแล้ว ก็จะเลิกไปเอง
ถาม : คิดอย่างนั้นไม่ได้ค่ะ มีแต่จะคิดว่าเอาสิ เอาเลย ไม่กลัวหรอก ?
ตอบ : สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ตอนนั้นอาตมาจะตายเสียให้ได้ เจ็บไปทั้งตัวเหมือนกับมีหนามปักอยู่ทั้งตัว ร้อนไปหมดเหมือนโดนไฟเผา ตั้งใจจะจะไปกราบพระที่พระนิพพานเพื่อลาตาย พอหลุดอออกไปดันไปหล่นอยู่กลางวงเขาเลย เหมือนกับท่านต้องการให้รู้ว่าใครทำ ปรากฎว่าคนทำมีทั้งนุ่งขาว นุ่งเหลือง นุ่งลาย สนุกสนานเฮฮา มีพวกที่กำลังเผาหุ่นด้วยมีเข็มปักไปทั่วหุ่น ใจก็บอกว่าอโหสิ แต่ตีนดันไปก่อน กวาดตูมเดียวกระจายทั้งวง...! พอกลับมาแล้วอาการก็หายเดี๋ยวนั้นเลย หายตั้งแต่ตอนทำลายพิธีเขา อาตมาก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ที่ไหนได้...วันรุ่งขึ้นล้มทั้งยืน หนักกว่าเดิมอีก พอเราไปตอบโต้เขา เขารู้ว่าเราไม่เป็นอะไร เขาก็ทำใหม่ ไปหาที่หนักกว่านั้นมาอีก
ถาม : หลวงพ่อเป่ายันต์ก็ยังโดน ?
ตอบ : รับยันต์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วยังโดนเลย จึงได้รู้ว่ายันต์เกราะเพชรถ้าหากว่าระกรรมเข้าจริง ๆ ก็ช่วยเราได้แค่ไม่ให้ตายด้วยไสยศาสตร์ แต่ไม่สามารถจะป้องกันความเจ็บปวดที่เขาทำมา แต่ถ้าไม่ใช่วาระกรรมจริง ๆ ก็ป้องกันได้เลย กลายเป็นว่าเพราะเราทำเอาไว้เยอะ ก็เลยมีช่องว่างให้เขาเล่นงานได้
ถาม : หลวงตาวัชรชัยบอกว่า กระแสสายตาของหลวงพ่อฤๅษีมีอำนาจมากถึงขนาดเห็นแล้วเข่าอ่อนเลย ?
ตอบ : ตัวอาตมาเองก็โดนมา ก่อนหน้านี้ก็คิดแต่ว่าคนอื่นเขาเป็น จริง ๆ แล้วอยู่ในลักษณะที่ว่าพลังอำนาจบารมีของท่านนั้น เป็นมหาอำนาจที่เป็นปกติอยู่แล้ว ท่านก็พยายามจะเก็บงำ แต่บางวาระก็เผลอหลุด เวลาที่ท่านสอบถามพระในวัด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่หลายคนจะอ้าปากไม่ออก พูดไม่ได้ อาตมานี่อ้าปากได้ทุกอย่างแต่ก็สั่นเหมือนกัน
แต่มีชัดอยู่วันหนึ่ง วันนั้นพอฉันเพลเสร็จก็จะมารับหน้าที่เวรเพราะเวรหน้าตึกเขาจะเปลี่ยนวันละสองเวลา หลวงพ่อท่านฉันเพลอยู่ อาตมาไหว้ท่านเสร็จ ก็หันจะไปเปิดประตู หลวงพ่อก็เรียก “เฮ้ย...เล็ก...” อาตมาหันกลับมา เข่าอ่อน ร่วงไปกองอยู่ที่พื้นเอง แค่ท่านจะสั่งงาน แต่เผลอหลุดออกมาเท่านั้นเอง จากที่อาตมายืนอยู่ลงไปกองที่พื้นเลย...!
ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตมีสภาพจำ ?
ตอบ : ก็คือจำด้วย แต่คราวนี้ของอาตมาไปเจอว่า ลักษณะอย่างนั้นตายมาหลายทีแล้ว ตายมาหลายทีแล้ว...เลยจำได้...!
ถาม : พี่บางคนเขาบอกว่าสมัยเป็นฆราวาสไม่กล้าแม้กระทั่งมองตาท่าน ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้น ถ้าท่านไม่เผลอหลุด ไม่เป็นไร ถ้าเป็นหลวงวิจิตวาทการ ท่านเรียกว่า จิตตานุภาพ อำนาจิตที่แข็งกล้า
ถาม : หลวงพ่อเคยเล่าว่าตอนสมัยอยู่วัดท่าซุงหลวงพ่อฤๅษีลงจากรถ แล้วจะเดินขึ้นตึก แล้วหลวงพ่อก็ไปพยุงท่าน ตอนนั้นไม่สั่นหรือคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ตายในหน้าที่นี่ไม่กลัว
ถาม : เกี่ยวกับขันธ์ ๕ ไม่ดีหรือเปล่า ช่วงที่ท่านป่วยมาก ๆ กระแสมหาอำนาจก็เลยออกมา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านเผลอก็รั้งไม่อยู่ ความเคยชินเก่า ๆ ที่ปกครองคนมานับไม่ถ้วน ถึงเวลาต้องใช้ความเด็ดขาด เพื่อสร้างระเบียบวินัยและความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้น
ถาม : อย่างนี้จะเป็นไปได้ไหม ที่คน ๆ นั้น บรรยากาศนั้น ประโยคนั้น ๆ ที่คนนั้นเคยพูดกับเราในอดีตชาติมาแล้ว พอชาติปัจจุบันเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่ ?
ตอบ : จิตมีสภาพจำ บางทีแม้สัญญาเดิมจะไม่ชัดเจน แต่ก็เหมือนกับว่า เออ...เราควรจะว่าอย่างนั้น เราควรจะพูดอย่างนั้น แล้วก็พูดซ้ำของเดิมออกมา
*************************
|