สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม : สมัยก่อนมีพระภิกษุณีรูปหนึ่งนะครับได้ถูกข่มขืนตามเนื้อเรื่องกล่าวว่า หลังจากที่ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว ถูกธรณีสูบแผ่นดินแยกออกแล้วตกลงในอเวจีมหานรก อยากจะถามว่านรกจริง ๆ อยู่ใต้ดินหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้อยู่ใต้ดินนะ อันนั้นคือนันทมานพ นันทมานพนี่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่แอบรักนางอุบลวรรรณาเถรีมาก่อน คราวนี้นางอุบลวรรณาเถรีท่านสร้างบารีมีเอาไว้มาก ในเมื่อท่านสร้างบารมีเอาไว้มาก ท่านเบื่อหน่ายในวัฎสงสารก็ไปบวชจนกลายเป็นภิกษุณีอรหันต์ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ด้วย
แล้ววันหนึ่งนันทมานพนี่แอบซ่อนอยู่ใต้เตียงเวลาท่านออกบิณฑบาต พอกลับเข้ามาก็ข่มขื่นท่านลักษณะกฎของกรรมนี่บทมันจะบดบังขึ้นมาถึงมีฤทธิ์มีอะไรขนาดนั้นก็ตามมันก็เรียกว่าเผลอได้ ไม่ได้ดูไม่ได้อะไรอันตรายก็เกิดขึ้น ตรงนี้เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ข้อหนึ่งว่าห้ามภิกษุณีอยู่ในเสนาสนะที่ปราศจากภิกษุในขณะเดียวกันก็ห้ามร่วมอยู่กับภิกษุณีคืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีพระอยู่ด้วย อยู่ในเขตบริเวณวัดเดียวกันแต่ว่ากันเป็นส่วนหนึ่งต่างหากออกไป เพื่อว่าคนจะได้ไม่ได้แอบทำร้ายได้
คราวนี้ที่นันทมานพพอทำเขาทำกรรมหนักขนาดนั้นพอเขาก้าวลงเตียงมาแผ่นดินมันแยกออกแล้วหนีบเขาตาย ไม่ได้ตกนรกในลักษณะที่ว่าลงไปนรกอยู่ใต้ดิน แต่ว่าพอเขาตายจิตเขาลงอเวจีมหานรกไป
ถาม : ที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่อเมริกาครับ มีเครื่องบินหรือว่าเรือหายไปหลายลำแล้วเขาบอกว่าบางคนก็กลับมาก็บอกว่าหลุดไปอีกมิติหนึ่งอันนี้จริงเท็จแค่ไหน ?
ตอบ : จริงแท้อย่างไรไม่รู้ แต่ที่รู้มาส่วนหนึ่งก็คือว่าตรงจุดนั้นมันจะมีมนุษย์ต่างดาวมาทดลองอาวุธของเขา หรือว่ามาจับคนไปเพื่อที่จะเอาไปตรวจสอบเอาเอาไปทดลองเหมือนกับเอาสัตว์ไปทดลองอย่างนั้นน่ะ แต่ว่ามีหลายครั้งที่เขาทดลองเสร็จแล้วเขารีบเอามาคืน วิทยาการเขาก้าวหน้ามาก บางดวงนี่ล่วงหน้าเราเป็นแสน ๆ ปี เขาถึงขนาดเครื่องเขาตรวจสอบได้ว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความโลภ เขาเลยต้องรีบเอามาคืน สะใจมาก
แล้วขณะเดียวกันบางพวกที่เขามาน่ะเขามาทดลองอาวุธของเขา ไอ้พวกทดลองอาวุธนี่โหดไปหน่อยเพราะว่าอาวุธรังสีของมันนี่อย่างเรือสร้างด้วยโลหะลำโต ๆ มันฉายเเว็บเดียวกลายเป็นไอเลย ไอ้พวกนั้นไม่ได้แต่เรือหายไปอย่างเดียวคนตายด้วย แต่ถ้าพวกที่โดนจับไปทดลองถึงเวลาแล้วเขาเอามาคืน ถ้าถึงเวลาเอามาคืนเขาคิดว่าเขาหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีได้อธิบายถึงปฎิปทาเรื่องปฎิปทาท่านผู้เฒ่า ท่านบอกว่าได้พบหลวงพ่อเนียม เมื่อวันแรกที่ได้ทำการสอนกรรมฐานท่านบอกว่าได้พบหลวงพ่อเนียมในห้องและมีแสงสว่างเหมือนเปิดไฟเป็นสิบสิบดวง แล้วหน้าตาของหลวงพ่อเนียมเปลี่ยนไปเหมือนคนหนุ่มวัยกว่าที่พบครั้งแรกเป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : พระท่านสงเคราะห์ลักษณะนั้นแปลว่าพระท่านคุมอยู่ เวลาพระท่านคุมลงมานี่บางทีเปลี่ยนหมดของหลวงพ่อนี่สังเกตได้เลย ใครถ่ายรูปไว้บ่อย ๆ จะเห็น บางทีก็สีหนึ่ง บางทีก็แก่เชียว บางทีก็หนุ่มฟ้อเลยนะ แต่ละครั้งไม่เหมือนกันลักษณะเดียวกันนะ อีกองค์หนึ่งที่ชัด ๆ แต่ตอนนี้มรณะภาพไปแล้วคือหลวงพ่อดาบส หลวงพ่อดาบสที่พบท่านครั้งสุดท้ายนี่ห้องไม่ได้เปิดไฟไม่ได้อะไรกุฎิของท่านก็เล็ก ๆ นะสว่างยังกับไฟอย่างนี้ เรามอง ๆ เสร็จบอกโยมรีบไปทำบุญเถอะลักษณะนี้จะไปแล้ว วันที่พระสวยที่สุดมีอยู่ ๒ วัน วันที่บรรลุมรรคผลกับวันที่นิพพาน
ถาม : คำว่าบุพเพสันนิวาส ที่ท่านบอกว่าประกอบด้วย ๒ ประการคือเคยเกื้อกูลกันในชาติปางก่อน และได้เกื้อกูลกันในชาตินี้ อยากจะถามว่าคนที่ต้องแต่งงานกันนั้นได้ถูกกำหนดแล้วด้วยกฎของกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีทั้งเก่าแล้วก็ใหม่ ของเราคำถามเมื่อกี้นี่มันผิดนะคำว่า บุพเพสันนิวาส ปุบพะปุพเพคือแต่ปางก่อน สันนิวาสคืออยู่ร่วมกัน ลักษณะนี้ตัวบุญบารมีที่สร้างรวมกันมา ถ้าหากมันหลายชาติต่อหลายชาติรวมกันเวลาเจอกันปุ๊บสัญญาเก่ามันจะกลับมา มันจะวิ่งเข้าหากันอย่างกับแม่เหล็กดูดเศษเหล็กเลย ที่เขาเรียกว่ารักแรกพบอะไรนั่นนะ
ถ้าเป็นพวกนี้นี่หลีกกันไม่พ้นถึงเวลาต้องแต่งกันแน่ แต่ว่าอีกประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่าเกื้อกูลกันในปัจจุบันนั้นก็คือว่าสงเคราะห์ช่วยเหลือกันในชาตินี้ มันเป็นการสร้างกรรมใหม่ บุพเพสันนิวาสนั่นกรรมเก่า ว่าทั้ง ๒ ประเภทถ้าหากว่าเกื้อกูลกันในปัจจุบันพอเห็นอกเห็นใจก็แต่งกันเป็นเนื้อคู่กันไป ทั้ง ๒ ประการมันมีทั้งเก่าแล้วก็ใหม่ถ้าบุพเพสันนิวาสนี่เป็นเก่า ถ้าเกื้อกูลกันในปัจจุบันนี้ใหม่เริ่มต้นนับหนึ่ง
ถาม : ก็คือเปลี่ยนแปลงได้ ?
ตอบ : เปลี่ยนแปลงได้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกไม่มีคู่อย่าไปเชื่อมันนะไอ้หมอดู ไม่มีคู่ก็หาในชาตินี้สิ
ถาม : ถ้าเกิดว่าเราไปชอบเขาแล้วเขาไม่ชอบเรา ?
ตอบ : ก็อย่าไปยุ่งกับมันก็หมดเรื่อง (หัวเราะ)
ถาม : ถือว่าไม่ได้มีเวรต่อกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็จะไปมีอะไรล่ะ ไม่ไปผูกพยาบาทคาดพยาเวรไม่ได้ไปสร้างกรรมใหม่อะไรมันก็ไม่มีปัญหา
ถาม : การใช้ลูกประคำในการทำกรรมฐานใช้อย่างไรครับแล้วภาวนาว่าอย่างไร ?
ตอบ : ใช้นับ (หัวเราะ)
ถาม : คนทั่วไปทำได้มั้ยครับ ?
ตอบ : คือถ้าหากว่าเอาตามตำรานะ ตามตำรานี่เขาจะตั้งนะโม ๓ จบใช่มะ แล้วก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระนังคัจฉามิ อิติปิโส สวากขาโต สุปฎิปันโน คือ เป็นการถวายบูชาต่อพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วจะใช้คาถาหรือคำภาวนาอย่างไรใช้ตามนั้นแล้วแต่ อันนี้เท่าที่เคยใช้มานี่สารพัดคาถา ๑๐๘ เลย
คือมีอยู่สมัยหนึ่งหลวงพ่อท่านสงเคราะห์คล้าย ๆ กับว่าจะตึงกำลังใจของเราให้ต้องภาวนาท่านก็จะบอกคาถาบทโน้นดีนะไอ้หนู คาถาบทนี้ดีนะไอ้หนู เอาไปภาวนานะลูกนะให้เวลา ๓ เดือน อย่าลืมรักษาศีล ๕ ด้วยนะ ถ้าไม่รักษาศีล ๕ คาถาจะไม่มีผล เราเองก็จำเป็นต้องรักษาศีล ๕ ไปนั่งภาวนา ท่านก็ยังอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงนะลูก ไม่งั้นมันจะเกิดผลช้า กว่าเราจะรู้ท่านหลอกให้เราภาวนาก็ติดไปแล้ว พอทำ ๆ ได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานไปรายงานท่าน ๆ ก็ เอ้อ ๆ ดี ๆ ลูกเดี๋ยวเอาบทนี้ไปบทนี้มันเป็นอย่างนี้ไปลองทำดู เพราะฉะนั้นที่ใช้มามันใช้มาเยอะ สารพัดคาถาเลย
ถาม : คือท่องทีละคำแล้วก็นับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราบางทีก็ใช้ทั้งบทต่อเม็ดหนึ่ง บางทีก็ใช้คำละเม็ดก็ได้ แล้วแต่เราถนัด
ถาม : คือช่วยให้จิตทรงตัวดีขึ้น ?
ตอบ : มันเป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะด้วย คือสติมันรู้อยู่ว่าตอนนี้เรานับใช้มั้ย มันจับอิริยาบถอยู่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวนะ ตอนนี้รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่นะ ตอนนี้รู้คำภาวนาอยู่นะ มันแยกจิตรับรู้หลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้เอาไปทำเถอะไม่ได้ว่าอะไรหรอก
ถาม : การที่เราให้จิตพูดคุยกับเทวดาท่านนะครับ ท่านจะรับทราบความคิดเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงเลยแหละ คุณไม่ต้องคุยเขาก็รู้อาตมาโดนต้อนซะอยู่หมัด เราคิดท่านรู้หมดจะทำอะไรท่านรู้หมด บางทีเจตมาจะเเกล้งท่านไม่ได้รับประทานหรอกท่านรู้ก่อน คือของท่าน ๆ เป็นทิพย์ทั้งกายไม่ได้เป็นทิพย์แต่จิตเฉย ๆ ฉะนั้นสิ่งที่ท่านรู้มันเหมือนอย่างกับเรียนจบปริญญาเอกแล้วมาดูเด็กอนุบาลมันหลอกอย่างงั้น เด็กอนุบาลหลอกด๊อกเตอร์ได้คงจะเก่งนะ
ถาม : อย่างตอนเช้าที่เราสวดมนต์ไหว้พระแล้ว
ตอบ : ทราบอยู่แล้ว ท่านยินดีโมทนาด้วยอยู่แล้วในความดีของเราโดยเฉพาะท่านที่อยู่ในเขตนั้นเอาแน่ ๆ ละ
ถาม : ความต้องการจริง ๆ ในการทำกรรมฐานอยู่ที่อัปปนาสมาธิ หรือที่อุปจารสมาธิ แล้วเวลาใช้ทิพจักขุญาณเราใช้อุปจารสมาธิ ?
ตอบ : อันนี้มันต้องถามว่าเป็นความต้องการของใคร ถ้าหากว่าโดยปกติทั่ว ๆ ไป การทำสมาธิใคร ๆ ก็หวังซึ่งอัปปนาสมาธิยิ่งได้ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี
คราวนี้ว่าการใช้อุปจารสมาธิ เพื่อใช้ทิพจักขุญาณนั่นนะมันเป็นกำลังที่เบาอยู่ บางทีกำลังของเรามันน้อยมันทำให้ใช้ตัวนิวรณ์หรือว่ากิเลสต่าง ๆ มันแทรกได้ง่ายทิพจักขุญาณมันจะมัวไป แต่ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิคือกำลังของฌานสี่นี่กำลังใจของเรามันตั้งมั่น มั่นคงแล้วความชัดเจนเเจ่มใสจะมีมาก
ยิ่งโดยเฉพาะถ้าหากว่าท่านที่ทำกสิณอย่างอาโลกสิณ ก็คือว่ากสิณแสงสว่างนะ กสิณแสงสว่างนี่ท่านใช้ลูกแก้ว โอทาตกสินหรือกสิณสีขาว เตโชกสิณหรือว่ากสิณไฟ เหล่านี้จะเป็นทิพจักขุญาณโดยตรง ถ้าเป็นกำลังของฌานสี่นี่ชัดแจ๋วเหมือนกับนั่งคุยกันตรงหน้าเลย เพราะฉะนั้นการใช้การใช้อุปจารสมาธินี่กำลังมันน้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้กำลังให้สูงกว่านั้นหน่อยหนึ่งบางทีกำลังใจมันฟุ้งซ่านอยู่ อำนาจของนิวรณ์อะไรต่าง ๆ มันทำให้จิตมัว
ถาม : ถ้าสมมุติตัวเองเห็นได้ชัดเจนอย่างนี้ก็ถือว่าฌานสี่ ?
ตอบ : มันจะเป็นสี่หรือเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ว่าส่วนใหญ่มโนมยิทธินี้เข้าใจไว้เลยนะ มโนมยิทธินี่ตอนเห็นนี่เป็นอุปจารสมาธิแต่ถ้าคุณไปได้นี่ฌานสี่แน่ ๆ เลย อันนี้กล้ายืนยันใครมันจะว่าครึ่งกำลังไปเต็มกำลังอะไรช่างมัน ตอนเห็นนี่อุปจารสมาธิแต่ถ้าคุณไปได้ละก็ฌานสี่แน่นอน
ถาม : ไปได้หมายความว่าไปทั้งตัว ?
ตอบ : อย่างเช่นว่าเราตั้งใจจะไปกราบพระไม่ว่าจะไปที่จุฬามณีหรือว่าจะไปบนนิพพานอะไรนี่เป็นกำลังของฌานสี่แน่ไม่จำเป็นจะต้องไปทั้งตัวหรอกไปแค่ใจนั่นน่ะ
ถาม : ทำยังไงก็มองไม่เห็นนะคะ มืด....?
ตอบ : ไม่ต้องเห็นจ้ะ เขาไม่ได้ใช้ตา เขาใช้ใจ เหมือนยังกับตอนนี้เรานึกถึงภาพบ้านชัดเจน ตามันเห็นซะเมื่อไหร่นึกออกมั้ย ก็เห็นลักษณะนั้นน่ะ เราต้องเข้าใจตรงจุดนี้ให้ได้ถ้าใช้สายตาชาติหน้าโน่นเหอะกว่าจะได้เห็น ชาติหน้าถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาหรือไปอยู่บนนิพพานนี่มีทิพยเนตรแล้วคราวนี้เห็นแน่
ถาม : ท่านสอนว่าตอนเช้าให้ตั้งอารมณ์อยู่ในอากิญจัญญายตนฌานพอดีเดือนที่แล้วหลวงพี่บอกว่า ถ้าเกิดเป็นอรูปฌานต้องทำอารมณ์ฌานสี่ไปแล้ว
ตอบ : นั่นหมายถึงว่าการฝึก แต่คราวนี้ของเรามันไม่ได้เต็มที่ก็ได้คือตัวอรูปฌานนี่มันจะเป็นอารมณ์คิดอารมณ์พิจารณาเหมือนกับคล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ ตัวอากิญจัญญายตนฌาน ที่หลวงพ่อท่านบอกให้ตั้งอารมณ์ให้เหมือนนั่นมันเป็นวิปัสสนาญาณ คือท่านต้องการให้เราตั้งอารมณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่มีอะไรเหลืออยู่ คน สัตว์ วัตถุธาตุสิ่งของทั้งหมดในที่สุดก็พังหมดไปม่มีอะไรเหลือได้เลย
ลักษณะอารมณ์ใจที่ตั้งอยู่นี่มันจะเป็นวิปัสสนาญาณ มันคล้าย ๆ กับอากิญจัญญายตนฌาน เพราะว่ามันคิดแบบเดียวกันแต่ว่ามันไม่ได้ประเภทที่ต้องไปนั่งจับกสิณขึ้นมาแล้วเพิกภาพกสิณแล้วค่อยมากำหนดใจ ถ้าคุณต้องการฝึกอรูปฌานคุณต้องขึ้นด้วยฌานสี่ แต่ลักษณะพิจารณาแบบนี้ใช้ไปเถอะกำลังแค่ไหนก็ใช้ได้
|