ถาม:  คนที่ตั้งจิตเป็นพุทธานุสติอยู่ตลอด สัมภเวสีจะเข้ามาไม่ได้ ?
      ตอบ :  ผีทั่วไปไม่ได้หรอก แต่ผีประเภทเพื่อนกันนี่เล่นประจำเลย พวกเพื่อนกันส่วนใหญ่เป็นเทวดาเป็นพรหม เทวดาอื่นไม่ค่อยว่าอะไรท่านหรอก ชั้นจตุมหาราชนี่สุดยอดจริง ๆ เผลอเมื่อไรเอาเมื่อนั้น ลองกำลังใจกันตลอด
      ถาม :  เล่นแบบไหนครับ ?
      ตอบ :  บางครั้งก็เอาต่อหน้าต่อตา ลืมตาใส ๆ แกเดินเข้ามา อาตมาเองทะเลาะเบาะแว้งตีกับผีมาสามพรรษาเต็ม ๆ คนอื่นเขานึกถึงความดีได้ นึกถึงพระนิพพานได้ผีก็เลิก ของเรามาเมื่อไรกูสู้ สันดานเป็นนักรบมาตลอด ในเมื่อมาแล้วสู้ มาแล้วสู้ ไม่เคยนึกถึงความดี ไม่เคยนึกถึงความตาย ไม่เคยนึกถึงพระนิพพาน มีแต่ “กูไหว...กูสู้” ตีกันอยู่สามปีเต็ม ๆ จนท่านเซ็ง ไอ้ห่...ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมนึกถึงพระเลย สู้อย่างเดียว ท่านเลยเลิกไปเอง
              คนอื่นประเภทหนังไม่หนาพอ โดนนิดโดนหน่อยก็หนีไปพึ่งพระ ของอาตมานี่ตีกันตึงตังโครมครามทั้งวัน ตอนนั้นกุฏิอยู่ที่มุมวัดหลังร้านป้ากิมกี เป็นกุฏิเล็ก ๆ ตรงมุมกำแพง ป้ากิมกีถามว่า “หลวงพี่ย้ายของอะไรทั้งวัน ตึงตังไปหมด ?” ย้ายกับแมวอะไร ผีย้ายอาตมาน่ะสิ ถึงต้องตีกับมัน เคยเตะนาฬิกาพังไปเรือนหนึ่ง ตั้งใจจะเตะผีไม่โดนผี แต่โดนนาฬิกาพังไปเลย
              ขอยืนยันว่าผีก็เป็นเนื้อ ๆ เหมือนเรานี่แหละ จับก็รู้สึกเหมือนเนื้อเรานี่เอง ไม่ได้เย็นด้วย อุ่น ๆ เหมือนเนื้อเราเลย ผีผู้หญิงก็เหมือนกับเนื้อผู้หญิง ผีผู้ชายก็เหมือนกับเนื้อผู้ชาย จับได้ต้องได้เหมือนกัน ถ้าเราตั้งใจมองจะทะลุเห็นของข้างหลังด้วย ถ้าเราไม่ตั้งใจมอง ทำเมิน ๆ หรือหลับตานี่เห็นชัดแจ๋วเลย ตีกันตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน มากันทีละหก ทีละแปด ไม่เคยมาตัวเดียว เขาต้องช่วยกันรุม ถ้าเดี่ยวต่อเดี่ยวเดี๋ยวเสร็จเรา ทำอย่างไรเขาก็ไม่กลัว เพราะเขาไม่ใช่ผีจริง....
              อาตมาโดนจับกดติดกับพื้น แล้วเขานั่งทับตั้งแต่ปลายเท้าถึงหน้าอก ตัวที่อยู่ที่หน้าอกกดอาตมาติดพื้น พูดว่า “ให้บอกว่ากลัวสิ แล้วจะปล่อย ?” จ้างก็ไม่กลัว...ใช่ไหม ว่าคาถาเป่า เขาแค่เอียงหน้าหลบนิดเดียว บอกว่า “ไม่ถูก” กวนได้ขนาดนั้น อธิษฐานเตโชธาตุเผา เขาก็รีบเผ่นซะก่อน ทำอะไรเขารู้ก่อนหมดทุกอย่าง เห็นท่าไม่ดีเขาก็เปิดก่อน พอเผลอก็มาใหม่ คราวนี้แย่ตรงที่อาตมาต้องกินต้องนอน แต่เขาไม่ต้องกินไม่ต้องนอน เพราะฉะนั้น...ต้องมีสักช่วงหนึ่งที่อาตมาเผลอ ให้เขาถึงตัวจนได้ทุกที บางทีเหนื่อยขึ้นมาก็อธิษฐาน ว่าอิติปิ โสฯ ขีดวงกลมรอบตัวเอง เอาไม้หวายยาว ๆ สักแขนหนึ่งขีดวงรอบตัวเอง ห้ามเข้านะมึง ขอหลับหน่อยเถอะ เหนื่อยเต็มที่แล้ว เอาบ้างไหม ? เจอผีระดับด็อกเตอร์ซ้อมอยู่สามปีเต็ม ๆ ไปเจอที่อื่นเลยกลายเป็นเรื่องสนุก สรุปแล้วผีดุที่สุดอยู่ในวัดท่าซุง
              ตั้งแต่ธุดงค์มาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่เคยเจอผีดุขนาดนั้นอีกเลย แต่จะโดนเขาฟัดตายอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไปถึงบ้านคลิตี้ เจ้าอาวาสไม่อยู่ ย้ายหนีพวกอาจารย์ไสยศาสตร์ไป เขาจัดให้นอนอยู่ในกุฏิไม้หลังหนึ่ง โอ้โฮ...พอเข้าไปถึงเจ้าประคุณเถอะ...คนอื่นจะกล้านอนไหม มีแต่โกศกระดูกวางเป็นตับเลย คือเผาใครก็ใส่โกศแล้วเก็บไว้ในนั้น แล้วให้อาตมาเราไปนอน อาตมาก็นอนอภาวนา ว่าไม่เผลอแล้ว มีเสียงอย่างกับใครทุบข้างฝาตีง จิตหลุดจากการภาวนานิดเดียวเท่านั้นเอง ถูกคว้าขึ้นมาอย่างกับเด็กกำตุ๊กตาไว้ในมือ เป็นอสุรกายตัวใหญ่อย่างกับภูเขา อาตมาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะคาถากี่บท ๆ จะมีฤทธิ์มีอภิญญาอนย่างไร เขาไม่รู้สึกรู้สาเลย เขาเก่งกว่า อาตมาถูกบีบจนเหมือนกระดูกจะแตก คิดว่างานนี้กูตายแน่แล้ว ในเมื่อจะตายเราก็เกาะสิ่งที่ดีที่สุดที่หลวงพ่อสอนนั่นคือพระนิพพาน
              คนที่จะเกาะพระนิพพานได้ รัก โลภ โกรธ หลงต้องไม่มี เพราะฉะนั้น...เราไม่ควรจะโกรธ ไม่ควรจะเคือง ควรจะให้อภัย ก็ตั้งใจแผ่เมตตาไป ไม่ทราบเหมือนกัน เหมือนกับไปขี้ตรงร่อง อะไร ๆ สู้ไม่ได้ แต่เขามาแพ้เมตตา ตัวเล็กลง ๆ จนอาตมาตัวใหญ่กว่า อ้าว...คราวนี้ก็เสร็จตูสิ นั่นน่ะไปเจอผีที่ดุพอ ๆ กับในวัดมาครั้งเดียว แต่นี่เป็นอสุรกาย สุดยอดจริง ๆ บีบจนกระดูกกระเดี้ยวจะแหลกอยู่แล้ว
      ถาม :  เพราะอะไร ?
      ตอบ :  เขาหวงที่ เห็นคนไปนอนก็ไล่ คราวนี้ไม่ได้ไล่เฉย ๆ จะเอาถึงตายเลย
      ถาม :  แสดงว่าเขาต้องเคยได้อภิญญามาก่อน ?
      ตอบ :  พวกนี้จะเป็นพวกใช้มิจฉาสมาธิ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหมอผี พอตายแล้วลงนรก เศษกรรมทำให้มาเกิดเป็นพวกมหิทธิกาเปรต หรือกาลกัญจิกอสุรกาย สองประเภทนี้จะมีฤทธิ์มาก ส่วนใหญ่จะตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขา เทวดาที่มีอานุภาพน้อย ๆ ต้องหลีกให้เขา เก่งขนาดนั้นนะ ไม่ต้องห่วง
              ตอนนั้นอาตมาไม่ค่อยให้อภัยใครหรอก ถึงเวลาได้เปรียบก็อัดเขาจนกว่าจะยอม คือจริง ๆ แล้วเขาทำให้เราตายไม่ได้ ยกเว้นว่าช่วงนั้นเรามีอุปฏาตกรรมเข้ามาจริ งๆ ถึงจะตาย คืออย่างของผมอุปฆาตกรรมไม่ค่อยเข้าหรอก เพราะปล่อยปลาเยอะเหลือเกิน แต่เราก็ทำอะไรเขามากไม่ได้ เพราะพวกเขาอยู่ในเขตที่เรียกว่าเป็นอมตะ ถ้าไม่ถึงอายุขัย พวกเขาอย่างไรก็ไม่พ้นจากเขตนั้น แบบเดียวกับสัตว์นรก โดนลงโทษหนักขนาดไหนก็ไม่ตาย ร่างกายแหลกเหลว แล้วก็กลับเป็นตัวขึ้นมาใหม่
      ถาม :  ในพระไตรปิฎกมีพูดถึงฆ่ายักษ์ ?
      ตอบ :  นั่นพวกยักษ์พวกรากษสปลอมเป็นตัวมา แล้วโดนฆ่าตาย แต่หมายความว่าความสามารถของเราต้องพอด้วย มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่อาตมายังเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ คือไปทำลายรูปกายของเทวดาเข้า คือช่วงที่โดนผีนั่งทับอกแล้วบีบคอจะขาดใจตาย ลมหายใจเหลือนิดเดียว นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองพกแหวนจักรพรรดิอยู่ ก็อธิษฐานขอให้แหวนจักรพรรดิช่วยเกิดแสงสว่างหมุนเป็นวงขึ้นมา วูบเดียวเท่านั้นเองกระจายเต็มฟ้าเลย ปรากฏว่านอกจากผีตัวนั้นแล้ว เทวดาที่ท่านเคยยืนเฝ้าอยู่สี่ทิศน่ะกลายเป็นผงไปด้วย แล้วตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เจอเทวดาสี่องค์นั้นอีกเลย
              มารู้ทีหลังว่าส่วนรูปขันธ์ของท่านโดนทำลายไป คงเหลือแต่ในส่วนของนามธรรมเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานได้ยินผู้การแดง พลตรีศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์ บอกว่า “หลวงพ่อบอกที่ซอยสายลมว่า แหวนจักรพรรดิทำอันตรายได้ถึงพรหม อานุภาพขนาดนั้นอย่าไปใช้ส่งเดช” ตอนนั้นไม่ได้เจตนาหรอก คิดอยู่อย่างเดียวว่า กูจะตายอยู่แล้ว แต่คราวนี้อานุภาพแหวนแรงไปหน่อย อาตมาเจตนาจะเฉ่งแค่ผีตัวที่บีบคออยู่ ปรากฎว่าเทวดาที่ท่านรักษาอยู่สี่ทิศกระจายกลายเป็นผงไปด้วย ตอนนี้จุดธูปให้ตายสี่ท่านนั้นก็ไม่มาให้เห็น ไม่มีรูปให้เห็นอีกแล้ว
      ถาม :  อย่างนี้เทวดาที่ลงมาจุติโดยใช้เงื่อนไขขอลงมาก่อนนี่...แล้ว ...?
      ตอบ :  ถ้าท่านลงมาก็เปลี่ยนจากขันธ์ทิพย์มากลายเป็นขันธ์หยาบ ขันธ์ทิพย์สลายไปก็มาจับอยู่กับขันธ์หยาบในครรภ์มารดาแทน
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้าคุณฉุกเฉินอย่างผมแล้วคุณจะรู้ ตอนนั้น แหม...จะตายอยู่แล้ว คนจะตายอาละวาดครั้งสุดท้ายรุนแรงขนาดไหนนึกเอาก็แล้วกัน พวกคุณมีสติเพราะนั่งฟังอยู่อย่างนี้ โดนบีบคอจนตาปลิ้นอย่างอาตมาดูซิว่าจะมีสติไหม ?
      ถาม :  ไม่ชัด ?
      ตอบ :  ขี้สงสัยขนาดตาฤทธิ์นี่หายาก บอกอะไรไม่เคยเชื่อหรอก แต่พอเป็นอย่างนั้น แล้วก็จะมานั่งบ่น คนประเภทนี้จริง ๆ แล้วดี ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ คราวก่อนเรื่องน้องสอบ เขายัวะนักยัวะหนา ดูหมอถามพระมาทั่วประเทศไทย ทุกคนบอกน้องผมได้ มีหลวงพี่คนเดียวบอกน้องผมสอบไม่ติด ฉิบหาย...กว่าจะรู้ว่าสอบไม่ติด ก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว
      ถาม :  มีวิธีให้ไม่สึกไหมครับ ?
      ตอบ :  เอาพลาสเตอร์ปิดปากไว้ พระจะสึกได้ต้องเอ่ยปาก “สิกขัง ปัจจักขามิ” ถ้าไม่เอ่ยปากกฎหมายอะไรก็ทำไม่ได้สึกไม่ได้
      ถาม :  ไม่กลัวหรอกครับ ?
      ตอบ :  เอาประเภทที่พวกโจรฝรั่งชอบใช้ปิดปากเจ้าทรัพย์นะ รัดเอาไว้เลย การบวชพระไม่ใช่ของง่าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คนเราจะเกิดมาเป็นคนได้ก็แสนยาก เกิดเป็นคนแล้วจะได้เกิดเป็นผู้ชายก็แสนยาก เกิดเป็นผู้ชายแล้วจะมีอาการครบ ๓๒ ก็แสนยาก เป็นผู้ชายมีอาการครบ ๓๒ จะได้ฟังธรรมก็แสนยาก ได้ฟังธรรมแล้วจะมีความเลื่อมใสก็แสนยาก เลื่อมใสแล้วจะได้บวชก็แสนยาก บวชแล้วจะดำรงชีวิตพรหมจรรย์อยู่ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ล่อไปกี่แสนแล้วล่ะ ?
              บวชทั่ว ๆ ไปไม่รู้อะไรเลย ไม่มีปัญหาหรอก อยู่สบายดี ถึงเวลาตายไปก็ไปอยู่อเวจี แต่ประเภทรู้ว่านรกรออยู่ คุณขยับตัวนิดเดียวจะตกขอบอยู่ตลอดเวลา คุณคิดดูว่ามีความสุขไหม ? ระวังกันจนตัวลีบ บวชใหม่ ๆ กว่าจะรู้ว่าจุดพอดีของเราอยู่ตรงไหนเครียดแทบตาย ขยับไปไหนก็จะตกนรกไปซะเรื่อย ต้องระวังจนตัวลีบแล้วลีบอีก
      ถาม :  เพื่อนผมไปเป็นที่ปรึกษาโรงงานครับ แล้วให้ผมไปเป็นผู้ช่วยเจ้าของถามว่า “จะเอาเงินเท่าไร ?” ผมบอกเจ้าของว่า “ผมไม่รับเงิน ทำงานสองเดือนผมไม่รับเงิน” เพื่อนมาคุยกับคนอื่นบอกว่าผมโง่ ผมไม่กล้ารับเงินเขา ผมไม่แน่ใจว่าผมทำงานได้ดีแค่ไหน แต่เขาบอกว่า “ถ้าคิดอย่างผมต้องกินแกลบไปทั้งชาติ” คือเพื่อนผมบอกว่า “ทำได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ต้องเอาเงินไว้ก่อน” คือเขาเอ่ยปากมาแล้วเอาเท่าไรเอาไว้ก่อน แต่ผมละอายใจ ผมไม่รู้ผมทำได้แค่ไหน ผมขอสองเดือนทำงานเต็มที่ก่อน เดือนที่สามค่อยจ่ายเงินให้ผม ?
      ตอบ :  ถูกทั้งคู่ เพื่อนว่าก็ถูกของเขา เราทำก็ถูกของเรา แต่ก็ถูกไม่หมดด้วยกันทั้งนั้น ที่ถูกที่สุดต้องพระพุทธเจ้า ทิฐิคือความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราว่าอย่างนี้ดีเราก็ทำ เขาว่าอย่างโน้นดีเขาก็ทำ ถ้ากำลังใจของเจ้าของโรงงานดี เขาเห็นว่า เออ...คนนี้ดีนะ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ยังไม่แน่ใจว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหน เขายังไม่กล้าคำนวณอัตราเงินเดือนตัวเอง แต่ถ้าเจ้าของโรงงานอยู่ในลักษณะเดียวกับเพื่อน เออ...ดี...โง่ดี คนประเภทนี้ควรจะมีเยอะ ๆ จะได้ใช้ไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนมอง คนอยู่สูงมองลง คนอยู่ต่ำมองขึ้น อยู่ตรงกลางก็มองตรง ๆ
      ถาม :  มีอยู่ช่วงหนึ่ง เหมือนมีกระแสไฟแลบแปลบแล้วก็หายไป ?
      ตอบ :  ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของโอภาสหรือเปล่า โอภาสนี่บางครั้งแสงก็สว่างเป็นแผ่นผืนกว้างไปหมด บางครั้งก็สว่างเป็นจุด บางครั้งก็เป็นเส้น บางครั้งก็เป็นคลื่น ถ้าตัวนั้นมาใกล้จะเป็นฌาน สมาธิเรื่มทรงตัว ความเป็นทิพย์เริ่มเกิด เริ่มจะเห็นโน่นเห็นนี่ มีหลายต่อหลายรายที่เข้าใจผิด ไปคิดว่าตัวเองได้มรรคผลแล้ว อย่างท่านสมณะอะไรนั่น บอกว่าท่านกำลังปัสสาวะอยู่ แล้วสว่างไปหมดเลย เลยคิดว่าท่านบรรลุมรรคผลตอนปัสสาวะ ความจริงแหม...คนอั้นมาเต็มที่ อยู่ ๆ ผ่อนคลายได้ใจโปร่ง ความเป็นทิพย์เริ่มเข้ามาเลยสว่าง ตกลงท่านเลยได้มรรคผลตามแบบของท่าน ของเราก็ระวังเอาไว้แล้วกันว่าเป็นอย่างไร แต่มีอย่างคือถ้าเป็น แสงสว่างแบบมโนมยิทธิ ถ้าเราไม่สนใจแสงนั้นจะมีแรงดึงดูดเราด้วย ถ้าดูดเราให้กำหนดใจไว้เลยว่า ที่สุดของแสงอยู่ที่ไหนเราขอไปที่นั่น
      ถาม :  อาจารย์ผมพูดว่ามีกายซ้อนกันอยู่สิบแปดกาย ?
      ตอบ :  ไม่แน่หรอก อาโลกสิณถ้าขึ้นถึงที่สุดของจริง ๆ เหมือนกับกระจกสะท้อนตะวันจิตจ้าใอยู่ตรงหน้าเรา ไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นกายขั้นตอนต่าง ๆ ที่เราเห็นเป็นกาย หลวงพ่อสดท่านใช้วิธีหยุดตรงกึ่งกลางไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  ทำไมบางคนเกิดมาเชื่อคนง่าย คนเกิดมาเชื่อคนยากนี่เพราะอะไรคะ ?
      ตอบ :  ถ้าศรัทธาจริตก็เชื่อคนง่าย ถ้าพุทธิจริตก็เชื่อคนยาก ถ้าวิกลจริตก็ไม่ต้องเชื่อใคร
      ถาม :  จริตต่างกันเกิดจากอะไรครับ ?
      ตอบ :  เกิดจากการสั่งสมมา ประเภทนิสัยเฉพาะตัวชาติแล้วชาติเล่า จนกระทั่งกลายเป็นเด่นขึ้นมา ระวังวิกลจริตนะ...!
      ถาม :  เกิดแต่ละชาตินิสัยเหมือนกันหรือครับ คือตายจากชาตินี้ ชาติหน้านิสัยเหมือนเดิม ?
      ตอบ :  อุปนิสัยอย่างหนึ่ง ลักษณะรูปร่างอย่างหนึ่ง ความชอบในข้าวปลาอาหารอย่างหนึ่ง จะตามไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น...คนเคยอ้วนก็จะอ้วนอยู่อย่างนั้น อาตมาเคยอยู่ครั้งหนึ่ง เห็นข้างหลังคนนึกว่าใช่คนที่รู้จัก รูปร่างเหมือนกันเลย แต่หันหน้ามาแล้ว ไม่ใช่คนที่รู้จักหรอก ลักษณะรูปร่างก็ข้ามชาติมาเหมือนกัน ยกเว้นพระมหากัจจายนะ ท่านอธิษฐานเปลี่ยนใหม่เลย
      ถาม :  อุปนิสัยคือนิสัย มีหลายแบบหรือคะ ?
      ตอบ :  อันนี้เขาเรียกว่าสันดานจ้ะ ภาษาบาลีเรียก “สันตติ” แหม...เรียกเสียเพราะเลย ถ้าเป็นเสถียรโกเศศกับนาคะประทีป ท่านว่าเป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด เพราะจริง ๆ สันดานท่านเรียกว่าวาสนาที่ตัดไม่ขาด
      ถาม :  อันไหนคือสันดาน อันไหนคือนิสัย ?
      ตอบ : ทั่วไปเป็นนิสัย ถ้าฝังรากลึกก็จะกลายเป็นสันดาน
      ถาม :  อาหารด้วยหรือคะ แปลกจริง ?
      ตอบ :  ทำไมเราถึงชอบอย่างนั้น แล้วไม่ชอบอย่างอื่น ?
      ถาม :  รู้สึกชอบอาหารฝรั่ง สงสัยจะมีแวว ?
      ตอบ :  บังเอิญชาติต่อ ๆ มากินข้าวเหนียวมากไปหน่อย เลยตั้งหาย...!
      ถาม :  การปรามาสพระรัตนตรัยกับวิจิกิจฉา เป็นตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  คนละเรื่องกัน การปรามาสพระรัตนตรัย เกิดจากความไม่รู้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนี่งคือการดลใจของมาร ส่วนใหญ่ถ้ามาถึงระดับของพวกเรา เกิดจากมารดลใจมากกว่า เขากลัวว่าเราจะได้ดีเร็วเกินไป จึงต้องพยายามดึงเราเอาไว้ เพราะผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพานเบื้องต้นคือพระโสดาบัน ต้องมีกติกาว่า เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติ คราวนี้มารทำให้เราปรามาสพระรัตนตรัย แปลว่าเราไม่ได้เคารพ เขาพยายามที่จะขัดแข้งขัดขาเราอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  แล้วจะเลิกเมื่อไร ?
      ตอบ :  เมื่อรู้ทัน แต่ถ้าเผลอสติเมื่อไร ก็เอาอีก
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  มั่นคงไม่ท้อถอยแล้ว ดูอย่างสุปปะพุทธะกุฏฐิ พระอินทร์ท่านแสดงให้เห็นชัด คงจะเขียวปี๋ไปเลย “ดูกร..สุปปะพุทธะ เราคือพระอินทร์ ถ้าเธอกล่าววาจาตามเรา เราจะบันดาลให้เธอหายจากโรคเรื้อน แล้วกลายเป็นมหาเศรษฐีเดี๋ยวนี้” ถามว่า “จะให้พูดอะไร ?” ท่านบอกว่า “พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ พูดแค่นี้ก็พอ”
              สุปปะพุทธะกุฏฐิเป็นขอทานแต่ไล่พระอินทร์ “อัปเปหิ...พระอินทร์ถ่อย จงถอยไป ตัวเรานี้อย่าว่าแต่กล่าวอย่างนั้นเลย ขึ้นชื่อว่าการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจสำหรับเราจะไม่มี” พระอินทร์ท่านถึงได้มั่นใจว่าพระสุปปะพุทธะท่านเป็นพระโสดาบันจริง ๆ ไม่อย่างนั้นใครจะไปคิด คนขอทานนุ่งผ้ายังไม่ครบผืนเลย เป็นพระโสดาบันไปแล้ว
      ถาม :  ถ้าเป็นเรื่องของพระที่เรารู้สึกว่าเราไม่เคารพท่านล่ะคะ ท่านทำตัวไม่ใช่พระอะไรแบบนี้ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าท่านให้เคารพพระอริยเจ้า ไม่ได้ให้เคารพลูกชาวบ้านที่เปลี่ยนผ้านุ่ง ตัวอย่างคือชาวเมืองโกสัมพี กลุ่มของพระวินัยธรกับพระธรรมธรท่านทะเลาะกัน พระธรรมธรท่านเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ท่านเข้าห้องน้ำ ตักน้ำราดแล้วเหลือน้ำติดกะโหลกไว้หน่อยหนึ่ง ท่านก็ไป พระวินัยธรเห็นเข้าบอกว่า “นี่...ถ้าทิ้งไว้อย่างนี้เป็นอาบัติคือศีลขาด เพราะสัตว์เล็กอาจตกลงไปในน้ำนั้นแล้วตายได้ หรือถ้ายุงลงไปไข่ทิ้งไว้หลาย ๆ วันเป็นตัวขึ้นมา เผลอเอานน้ำนั้นราดลงไป สัตว์นั้นก็ตายอีก” พระธรรมธรท่านก็บอก “กระผมไม่ทราบครับ ดังนั้นกระผมขอแสดงคืนอาบัติ” คือจะปลงอาบัติแล้ว พระวินัยธรท่านบอก “ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก”
              เรื่องน่าจะจบแค่นั้นแต่ไม่จบเพราะพระวินัยธรท่านไปเล่นต่อ ท่านไปพูดกับลูกศิษย์ว่า “พระธรรมธรดีแต่สอนผู้อื่นเขา อาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ไม่รู้” ลูกศิษย์พอได้ยินก็เอาไปคุยต่อ ก็ไปเข้าหูลูกศิษย์พระธรรมธรท่านเข้า ว่าพระวินัยธรท่านว่ามาอย่างนี้ ท่านก็ไปฟ้องอาจารย์ “อาจารย์ครับ พระวินัยธรท่านกล่าวหาอาจารย์อย่างนี้” อาจารย์ก็ยัวะขึ้นมา “อะไรวะ วันนั้นบอกว่าไม่เป็นไร วันนี้ดันเสือกว่าเป็น พูดจาสับปลับแบบนี้คบไม่ได้”
              ลูกศิษย์ของพระวินัยธรได้ยินเข้าก็เอาไปบอกอาจารย์ สรุปแล้วเป็นอย่างไร ? แตกกระจายเป็นสองฝ่าย ต่างคนต่างมีลูกศิษย์ ต่างคนต่างอยู่ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปห้าม คนกำลังหน้ามืดก็ไม่ฟัง ไม่ยอมสามัคคีกัน พระพุทธเจ้าท่านถึงกับเสด็จหนีไปอยู่ป่าเลไลยก์ ให้พญาช้างท่านคอยอุปัฏฐากแทน
              จนกระทั่งชาวบ้านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จไปอยู่ป่า ลำบากลำบนขนาดนั้น มีช้างตัวเดียวคอยอุปัฏฐากอยู่ เพราะบรรดาพระทั้งหลายเหล่านี้ทะเลาะแตกแยกกัน ท่านเลยประกาศกันว่า “ถ้าตราบใดที่ยังไม่สามัคคีกัน จะไม่ใส่บาตรให้กิน” ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ท่านรู้ว่าควรจะเคารพแต่พระอริยเจ้าเท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้าห้ามแล้วยังไม่ฟังอย่างนี้ก็ไม่ใส่บาตรให้กิน มีเพียงแค่ไม่กี่บ้านที่ใส่บาตรให้ พระจำนวนมากไม่พอกิน อดกันแทบแย่
              พออดกันถึงขนาด เลยต้องไปขอให้ชาวบ้านยกโทษให้ ชาวบ้านบอกว่า “จะไม่ยกโทษให้ จนกว่าจะไปทูลเชิญพระพุทธเจ้ากลับมา” ท่านเลยต้องไปหาพระอานนท์ ขอตั้งพระอานนท์เป็นทูตไปทูลเชิญพระพุทธเจ้ากลับมา พอพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา เห็นสงฆ์ทั้งหลายสามัคคีกันดีแล้ว เลยให้สวดปาฏิโมกข์ เป็นการประกาศศีลและทบทวนความบริสุทธิ์ของทุกคน
              ถึงได้มีการสวดปาฏิโมกข์คือทวนศีลของพระ ในวันขึ้นหรือแรมสิบห้าค่ำหรือว่าแรมสิบสี่ค่ำหรือว่าวันสามัคคี เพื่อให้ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์เสมอกัน นั่นชาวบ้านเขาเป็นพระอริยเจ้ากันเยอะแยะแล้ว เล่นเอาพระปุถุชนอดแทบตาย เคารพคือเคารพในสังฆคุณ เป็นสังฆานุสติ ไม่ใช่สักแต่ว่าเคารพเพราะเห็นแก่ผ้าเหลือง
              ถ้าผ้าเหลืองห่มตอแล้วเคารพ อย่างนั้นไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ผ้าเหลืองห่มสัตว์นรกหรือห่มเปรตนี่ยุ่งเลย คนเราเวลากิเลสบังหน้านี่แย่ หรือโทสจริตทะเลากัน ขนาดพระพุทธเจ้าไปห้ามเองยังไม่ฟัง คุณเองคงจะเคยทำอย่างนั้นมาเหมือนกัน ชาตินี้พอรู้ตัวแล้วก็อย่าไปทำ