คราวนี้เจ้ารถคันนั้นมันจอดอยู่บนคันคูยุทธศาสตร์เรามองไปแล้วมันเป็นทุ่งโล่ง ๆ พอตัดกับขอบฟ้ากลางคืนนี่ อะไรที่มันเด่นขึ้นมามันเห็นชัดมากเลย มองเสร็จเรียบร้อย... ตูขืนอยู่เป็นเป้าอาร์พีจีแน่นอนเลย มันต้องยินรถก่อน พอมันยิงรถเสร็จแล้วหนียากแล้วใช่ไหม? ไม่มีไอ้เคลื่อนที่ได้เร็วมันก็ล้อมเราได้ ถ้าขืนอยู่ตูเป็นเป้าอาร์พีจีแน่แผ่นดีกว่า เราก็หลบเข้าไปชายป่า พอหลบเข้าไปในชายป่าหมอบไปใต้ต้นไม้ใหญ่มันมีพายุหมุน ลมหัวด้วนที่เราเรียกว่าลมบ้าหมูน่ะ มันหมุนวน ฮือ ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ยังไงก็ไม่ไป วนไปวนมา วนมาวนไป เราก็... มันจะวนไปทำอะไรของมันวะ ? แล้วพายุกลางค่ำกลางคืนก็ไม่เคยเห็นเพิ่งจะเคยเห็นเนี้ย มันวนไปวนมาสักพักนึกขึ้นมาได้ เอ๊ะ ! ดูท่าจะมีใครมาขอส่วนกุศลเรามั้งหว่า ? ก็เลยตั้งใจว่า เออ... ใครก็ตามนะที่เธอต้องการส่วนกุศลนี้ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตลอดจนกระทั่งบุญที่เราปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอให้เธอทั้งหลายโมทนานะ เราได้รับประโยชน์ ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย พอคิดแค่นั้นแหละพายุมันก็สลายตัววึ๊บ คราวนี้สิขอรับ ยุงมาเป็นหอบ ๆ เลย ตอนลมพัดอยู่ยุงมันไม่มี (หัวเราะ) โอ้โห ทนให้ยุงมันกินจนคันไปทั้งตัว
              จนกระทั่งผ่านไปสักค่อนชั่วโมงได้ก็มีเสียงสัญญาณบอกผ่านของฝ่ายเรามา เขาจะทำเป็นเสียงนกกลางคืนมา เราก็ตะโกนถามรหัสผ่าน มันต้องมีสัญญาณซ้อนสัญญานนะ ถ้าบอกผิดขึ้นมานี่พ่อยิงกระจายเลย ถ้าไม่งั้นขืนปล่อยไว้ฝ่ายตรงข้ามมันแทรกเข้ามาได้ใช่ไหม ? ตะโกนถามเขาบอกรหัสผ่านถูก ถามปลาร้า ตอบ แซ่บอีหลี (หัวเราะ)
              พวกรหัสนี้เราจะตั้งเป็นคืน ๆ แล้วกระซิบบอกกัน ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามถ้ามันรู้แล้วมันแทรกเข้ามาได้ ตะโกนตอบเสร็จเรียบร้อยก็โผล่หัวออกไป เจ้านายเขาบอกมึงหายหายไปไหนมาวะ? ก็บอกว่าผมเห็นว่าถ้าขืนอยู่ตรงนั้นเป็นเป้าอาร์พีจีแน่ ผมก็หลบ แต่ว่ารถมันอยู่ในสายตาผมครับไม่มีใครขโมยได้แน่ ลูกน้องก็ถามพี่ ๆ หลบอยู่ใต้ต้นไม้นี่นะเหรอ ? บอกว่า เออ...มีอะไรล่ะ ? อาทิตย์ก่อนผมฝังไว้ ๓ ศพ (หัวเรา) ไว้เวร ! แล้วมันก็ไม่บอกเรา ให้เราอยู่บนหลุมฝังศพตั้งครึ่งคืน
              ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าเขาฝังศพไว้ตรงนั้น คือมันปะทะกับบ่อยแล้วก็ตายกับบ่อย ๓ ศพ ๕ ศพนี่ถือว่าขอกันกิน แต่ไม่มีข่าวหรอกจนแต่ว่าครบปีพระราชทานเพลิงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุก็ ๔๐๐-๕๐๐ ศพล่ะกว่าจะรู้กันทีหนึ่ง แต่ถ้าเสียพื้นที่เมื่อไหร่ต้องรีบออกข่าวเพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินวิธีตามการทูต ถ้าประเภทปะทะกันตาย ๓ ศพ ๕ ศพ ถือว่าขอกันกิน บังเอิญบางทีมันขอเรามากเราก็เจ๊งเยอะเพราะว่าตอนช่วงที่อยู่นั่นถ้าทหารตายศพหนึ่งเขาหักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๒ บาท
              ถ้าอยู่ ๆ จ่ากองร้อยมาบอกงวดนี้ ๒ บาทนะครับก็แปลว่าเพื่อนตายอีกศพแล้ว ถ้า ๔ บาทก็ ๒ ศพ อยู่ตรงนั้น ๕ เดือน ปกติแล้วจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน รวมแล้ว ๓ ฐานปีนั้น จะเป็น ๑ ฐาน ในแนวหน้า แล้วก็ ๒ ฐานที่เป็นกองหนุน ฐานที่อยู่แนวหน้าจะอยู่บ้านหนองเสม็ด ฐานที่แนวหลังจะอยู่บ้านโคกสูงกับบ้านแซร์ออ บ้านหนองเสม็ดจะอยู่ในเขตตาพระยา บ้านแซร์อออยู่ในเขตวัฒนานคร บ้านโคกสูงก็เขตอรัญประเทศ มันคนละอำเภอกัน
              แต่ว่าของเรากำหลังหนุนมันพร้อมที่จะขึ้นไปได้ทุกเวลา ปกติจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน อาตมาโชคดีไปหน่อยมันปะทะติดพันอยู่ถอยไม่ได้ เราเคลื่อนย้ายกำลังฝ่ายตรงข้ามเสียบเข้ามาก็บรรลัยแล้ว ช่องว่างมันเกิด ใช่ไหม ? เลยติดแหง็กอยู่ฐานหน้า ๕ เดือนกว่า รวมเวลาภาระกิจเขาปีหนึ่ง เราล่อไปปีกว่า ช่วงอยู่ข้างหน้า ๕ เดือนปะทะทุกวัน เพื่อน ๆ กองร้อยเดียวกันตายไป ๒๖ ศพ ร้อยเอกหนึ่งศพ ร้อยตรี ๑ ศพ นายสิบ ๘ ที่เหลือพลทหาร แค่ ๕ เดือนนะ..... แต่ว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้กลัวอะไรเลย เพราะว่ามีธงมหาพิชัยสงครามหลวงพ่อติดตัวอยู่ หลวงพ่อขึ้นไปแจกให้ด้วยตัวเอง
              สมัยก่อนธงมหาพิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อหวงมากเพราะว่าทำยากทำเย็นเหลือเกิน สมัยก่อนนี่เขาเขียนด้วยมือ ผืนหนึ่งเขียนเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หลวงพ่อท่านศึกษาตำราเสร็จบอกชอบใจแต่ว่าทำไม่ไหว ไม่มีเวลา ท้าวมหาชมภูที่เป็นเจ้าของธงท่านเคยเกิดเป็นพระร่วงมาก่อนเป็นเจ้าของธงมาบอกว่าให้ทำ หลวงพ่อบอกว่าทำไม่ไหวท่านก็เลยผ่อนผันให้ บอกว่าให้ไปปั๊มขึ้นมาก็ได้แล้วก็นำมาเสก เอามาแสกหลวงพ่อก็บอกว่าเสกไม่ไหว มันยาวเหลือเกินคาถา ท่านก็เลยบอกว่าแกทำมาข้าเสกเอง หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่างั้นเออ..พอไหว ท่านบอกถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่งไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานเดี๋ยวจะอัดให้ร่วงเลย..ว่างั้น อะไรที่ลำบากหลวงพ่อไม่เอา ท่านเอาแต่สบาย ๆ
              คราวนี้การเสกธงมหาพิชัยสงครามตอนนั้นน่ะทำที่ไหนโยมรู้ไหม ? วัดบวรจ้ะ เหลือเชื่อไหม ? เพราะตอนนั้นสถานการณ์ชายเเดนไม่ดีมากเลยต้องมีการทำวัตถุมงคลสำหรับส่งไปให้ทหารที่ชายแดน งวดนั้นเสกธงมหาพิชัยสงครามที่วัดบวรประมาณ ๑ คันรถปิ๊กอัพ แต่ว่าหลวงพ่อหวงมากใครมาขอธงถามว่าเป็นทหารตำรวจชายแดนหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่แนวหน้าก็ไม่ให้ด้วย
              ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อออกเยี่ยมชายแดนเป็นว่าเล่นเลย มีรายที่ประเภทเขี้ยวลากดินที่สุดก็คือผู้การประจักษ์ ผู้การประจักษ์ก็คือ พันเอกประจักษ์ สว่างจิต ยังเติร์กดัง ตอนนั้นน่ะเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ ๒ อยู่ .... เขาเรียกบูรพาพยัคฆ์ คือค่ายมันอยู่ทางตะวันออกวัฒนานคร แกเล่นเอารถถังทุกคันมาให้หลวงพ่อติดธงมหาพิชัยสงคราม เจิมให้ด้วย กะเอาชนิดที่ว่ายังไง ๆ กูต้องรอดแน่
              ส่วนตัวแกเองเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่เย็บเหรียญหลวงพ่อติดซะแน่นพึ่บ คนมันศรัทธามากขนาดนั้นจริง ๆ ของ ๆ หลวงพ่อนี่ชอบมากเลยอยู่ชายแดน ของยิงไม่ออกไม่ชอบหรอก ยิงออกไม่ถูกอย่างหลวงพ่อนี่ชอบมากมันตรงกับนิสัยเรา ได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วมันส์ไง พอได้ยินแล้วมันอยากวิ่งใส่อย่างเดียว เพราะงั้นอยู่ที่ชายแดนนี่ปลอดภัยมาก ถึงที่เรียกว่าโดนหนัก ๆ
              ขนาดมีอยู่ครั้งหนึ่งทหารญวนเฮงสัมริน เฮงสัมรินนี่มันเป็นเขมรแต่ญวนสนับสนุนจะถอนกำลัง มันใช้วิธีรุกอำพรางการถอย ปืนใหญ่ ๓ กระบอกมันระดมใส่เราตั้งแต่ตี ๒ กว่า ๆ หมู่ปืนใหญ่ที่คล่อง ๆ นะ ๓ วินาทียิงได้นัดหนึ่ง เราตีว่ามันห่วยแตก ๖ วินาทียิงได้นัดหนึ่งเลยเอ้า มันยิงอยู่ ๑๕ นาทีเต็ม ๆ แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย ๓ กระบอกมันล่อไป ๔๐๐-๕๐๐ นัด แผ่นดินไหวยังไม่พอบังเกอร์มันทรุดหมดน่ะ บังเกอร์เขาเรียกสั้น ๆ ว่า “เบิม” มันทรุดลงมาท่อนไม้แต่ละท่อนใหญ่ประมาณขาอ่อนไม่ต้องห่วงหรอกเท่า ๆ กันหมด เพราะว่าตอนที่อาตมาขึ้นไปสั่งลูกน้องมันตัดไม้ เราก็ชี้ที่ให้ขุดหลุมทำบังเกอร์ กว่าจะรู้มันขนมา ๒ คันรถยีเอ็มซี ไม้สักทองล้วน ๆ มันไปตัดจากสวนป่าไม้เขา (หัวเราะ) งวดนั้นเคลียร์กันแทบตายกว่าป่าไม้เขาจะเชื่อว่าเราไม่ได้เจตนา ลูกน้องมันมักง่าย มันเจอสวนไม้สักทองมันก็ลุยเข้าไปเอาเลย ต้นเท่า ๆ กันดีด้วย ขนาดเจ้านายต้องการพอดีเลยใช่ไหม โห...มันล่อมา ๒ ยีเอ็มซีนั่นแหละ เบิมทรุดหมดเลย เรานึกถึงคำพูดหลวงพ่อท่านว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน
              คราวนี้เราใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบของเราอยู่จะไปกลัวอะไรนอนตีพุง คนอื่นอพยพกันให้เจี้ยวไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นแหละ นอนฟังดูว่าเสียงปืนมันเพราะดี ปรากฏว่าปืนใหญ่นี่เขาจะมีผู้ตรวจการหน้า เขาเรียก ผ.ต.น. ผู้ตรวจการหน้านี่เป็นตัวแสบที่สุด มันจะบอกเป้าหมาย ไม่เกิน ๓ นัดจะลงกลางเป้า ปรากฏว่างวดนั้น ๔-๕๐๐ นัดนี่มันตกมาแค่หน้าฐาน ข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย มันเหมือนยังกับชนกำแพงตกลงมายังหน้าฐานหมด
              หลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐานครั้งนั้นเห็นคาตาเลยจริง ๆ คุ้มได้จริง ๆ ปืนใหญ่นี่รัศมีฉกรรจ์มัน ๕๐๐ เมตร ครึ่งกิโลนะ รัศมีฉกรรจ์หมายถึงโดนนี่ตายแน่ รัศมีฉกรรจ์มันครึ่งกิโลสมัยที่ฝึกใหม่ ๆ เราก็อยากดังใช่ไหม ? บอกมันประเภทซ้าย ๒๐ ลด ๒๐๐ มันด่าว่าลดหาพ่อมึงเหรอ ๒๐๐ ลด ๒๐๐ คือ ๒๐๐ เมตร รัศมีมัน ๕๐๐ เมตรสั่งลด ๒๐๐ เมตรลดไปทำไมมันด่ามาเลยคือมันเชื่อขนาดที่ว่าแค่นั้นเองโดนแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เกิน ๓ นัดลงแหง ๆ เลย ๓ กระบอกมันยิงกับประมาณ ๑๕ นาที คงไม่ต่ำกว่า ๔-๕๐๐ นัด

              กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ บอกมอบกายถวายชีวิตเลยหลวงพ่อ... ของดีขนาดนี้ และตั้งแต่นั้นมาไม่กลัวอะไรเลย ถูกใจมาก ยิงไม่ออกนี่ไม่ชอบมันไม่ได้ยินอะไร ยิงออกไม่ถูกนี่ชอบจริง ๆ มันส์มาก ได้ยินเสียงปืนมันอยากวิ่งใส่ตอนนั้นเลย วัตถุมงคลทุกอย่างหลวงพ่อบอกฉันไม่รับรองว่าจะเหนียวเพราะว่าบางคนมันถึงที่ตายนะ ถ้าถึงที่ตายเหนียวก็เข้า
              ดังนั้นท่านบอกว่าท่านไม่รับรองให้ใคร แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมาท้าวมหาราชท่านรับรองว่าถ้าเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้หมดอายุจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน ท่านเอาขนาดนั้น ตอนแรก ๆ ที่ท่านทำท่านบอกว่าหนังแตกได้แต่ห้ามกระดูกหัก ไป ๆ มา ๆ ท่านให้ถึงขนาดว่าหมดอายุขัยจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน แสดงว่าเทวดาจริง ๆ เหนื่อยกว่าเราเยอะใช่ไหม ? ทหารออกรบ ๑ กองร้อยพกพระไป ๑ กองพล แต่ละคนพวงเบ้อเริ่มเลย มีเราพกธงอยู่ผืนเดียวคนอื่นเขาไม่เชื่อถือกันหรอก เขาคลำคอแล้วไม่มีพระสักองค์มีธงหลวงพ่อผืนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่ธงเปล่า ๆ อย่างนี้ จะติดธงชาติเล็ก ๆ อยู่ด้วย พอพับ ๆ เสร็จแล้วก็จะคล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่กระเป๋าอยู่ คนอื่นเขาก็รู้แค่เรามีของดีไม่รู้ว่ามีอะไร
              มีอยู่งวดหนึ่งเบิกเบี้ยเลี้ยง อยู่ชายแดนนี่รวยมากมันจะมีเบี้ยเลี้ยงปกติ เบี้ยเลี้ยงสนาม เบี้ยกันดารแล้วก็เงินเดือน โห... รวยอย่าบอกใครเลย แต่ว่าพอถึงเวลาไม่การปะทะเซ็งไง มหรสพทุกอย่างไม่มีมันก็เขย่าไฮโล เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่มันก็หมดใช่ไหม ? ของเราเองเราไม่ค่อยเบิกมันไม่ได้ใช้อะไรนี่ ถึงเวลาคนอื่นเขามันไม่มีการมีงานเราก็นั่งภาวนาของเรา
              ปรากฏว่าวันนั้นเบิกมาพอดีถึงงวดออกเบิกมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่มากระเป๋าตุง เผลอถอดเสื้อไปอาบน้ำหน่อยเดียวกลับมาหายเกลี้ยงทั้ง ๘,๐๐๐ กูไม่ว่าแต่ถ้าเอาธงพ่อจะตามล่าจนกว่าจะได้คืน คือคนอื่นเขาไม่รู้ว่าธงดียังไงใช่ไหม ? เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาจะเอาเงิน ก็ ๘,๐๐๐ บาทให้มันไป ไม่ว่ากัน นึกว่าขอกันกิน
      ถาม :  พระแต่ละองค์วัดท่าซุงนี่ส่วนมากเป็นทหารกันเยอะนะครับ ?
      ตอบ :  ของอาตมาเองไม่ได้คิดจะเป็นทหารหรอก มันจับพลัดจับผลูเข้าไปอีท่าไหนก็ไม่รู้มันเป็นจนได้ เสร็จแล้วมันก้าวหน้าผิดปกติชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย แต่ว่าไป ๆ มา ๆ แล้วมันก็เบื่อ มันเบื่อตรงไกลหลวงพ่อ ไกลหลวงพ่อมันเซ็งขึ้นมาก็ลาออกเลย ของทหารเขาเรียนมาต้องใช้ให้ครบอายุราชการ ถ้าไม่ใช้ให้ครบต้องควักเงินคืนเขา พอใช้อายุราชการครบก็เปิดดีกว่า
              ตรงจุดนี้จุดหนึ่งที่เห็นคุณหลวงพ่อจะได้เห็นว่า “สังโฆอัปมาโณ” เป็นยังไง พระที่วัดท่าซุงแต่ละองค์ไปถามประวัติดูเถิด กระทั่งตำราจยังหนาว หลวงพี่ทีปใจดีอย่างที่โยมเห็นนั่นน่ะ ก่อนบวชยกเค้าตำราจ ๓ บ้านรวดเลือกเฉพาะตำรวจด้วย อย่างอื่นไม่มันต้องยกเค้าตำรวจถึงจะสะใจ แล้วหลวงพี่นันต์เราเห็นยิ้ม ๆ อยู่ทั้งวัน บวชตอนอายุ ๒๕ บอกว่าก่อนจะบวชไม่รู้รอดตายมาได่ยังไง เพราะว่าไม่ว่าจะมีงานที่ไหน
              สมัยก่อนเขาเรียกหนังกลางแปลง มีงานที่ไหนก็เจอกันที่นั่น ตีกันแหลกราญชนิดที่เรียกว่าวิ่งกันข้ามทุ่ง หลวงพี่นันต์จนทุกวันนี้ยังติดนิสัยนะ ถ้านอนต้องไปเรียกไกล ๆ อย่าไปเรียกใกล้ ท่านลุกปุ๊บท่านจะควานหาอาวุธข้างตัวก่อนเลย ครั้งแรกไม่รู้ไปเรียกท่านใกล้ ๆ ท่านลุกพรวดพราดขึ้นมาเตรียมคว้าอะไรตีแล้ว นั่นแหละหลวงพี่อนันต์ที่เห็นนั่งยิ้มเย็น ๆ อยู่แหละท่านบอกว่าก่อนจะครบบวช ๒๕ ก่อนมาบวชนี่ไม่รู้รอดตายมาได้ยังไง เดี๋ยวตีกันเดี๋ยวแทงกันประจำเลยทุกงาน คือวัยรุ่นมันเลือดร้อน ข้ามถิ่นไปเห็นสาวสวยไปจีบเข้าเจ้าถิ่นเขม่นก็ตีกันแล้ว ไปถามประวัติดูเถอะแต่ละคนตำรวจหนาวทั้งนั้นแหละ
              หลวงพี่ทีปเขาบอกกูไม่คิดจะทำหรอกแต่มันเสือกจับกูบ่อย แกเป็นนักเรียนช่างกลปทุมวันนี่ จับกูบ่อยกูหมั่นไส้กูก็เอาสิ ทำทั้งที่ต้องทำให้ดัง คราวนี้คงหมดอายุราชการไปแล้วล่ะ คือ คดีอาญามัน ๒๐ ปีใช่ไหม ? พี่แกบวชเกิน ๒๐ ปีแล้ว ไม่เป็นไร...เล่าได้ (หัวเราะ)
              คราวนี้เราจะได้เห็นว่าเสือสิงห์กระทิงแรดขนาดนั้นมันมารวมกันอยู่ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อเป็นคนคุมทีมมันไม่กัดกันแหลกเหรอ เราจะได้เห็นคำว่าสังโฆอัปมาโณ คุณของสงฆ์ไม่มีประมาณนี่เป็นยังไง ขนาดหลวงพี่นันต์ยิ้มเย็น ๆ อยู่ทั้งวันนั่นล่ะเข้าไปเรียกดูเถอะ ลุกขึ้นมานี่น่ะต้องคว้าอะไรข้างตัวไว้ก่อน ความเคยชิน การระวังตัวจนชิน พอเจอเข้าครั้งเดียวตั้งแต่นั้นมา โน่น...เปิดประตูยื่นแต่หน้าเข้าไป หลวงพี่ครับ หลวงพี่.. (หัวเราะ) ขืนเข้าไปเรียกใกล้ ๆ นี่หัวร้างข้างแตกไม่รู้ตัว เป็นไง...คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นจะเอาลูกหลวงพ่อกลุ่มนี้อยู่เหรอ มันถึงได้ไม่ยอมรับนับถือใครง่าย ๆ ถ้าพ่อเราไม่แน่จริงไม่มีสิ่งที่ดีจริง เอาไอ้ลูกกลุ่มนี้ไม่อยู่หรอก แต่ละคนเจ้าประคุณรุนช่องเถอะใครอยากได้ประวัติพระมันส์ ๆ นี่แคะพระวัดท่าซุงองค์ไหนไปก็ได้ ประวัติมันส์ทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) ถึงเวลามีอะไรนะ เกิดมีชื่อเสียงขึ้นมาตอนแก่ ๆ มานั่งคุยกันคงหัวเราะกันซะไม่มี ตอนนั้นคุณเล่นผมอย่างนั้น ตอนนั้นผมเล่นอย่างนี้ มันสนุกอย่าบอกใครเลย สมัยก่อนเห็นหลวงปู่หลวงพ่อ ๑๐ กว่าองค์ อย่างหลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่คำแสน หลวงปู่บุดดา ฯลฯ ท่านนั่งมองหน้ากันแล้วยิ้มกันไปยิ้มกันมา เรานึก ๆ ดูมานึกถึงตอนนี้ก็คงลักษณะนั้นแหละ นึกถึงสมัยก่อนเคยทำอย่างนั้นมา สมัยนี้หมดกิเลสแล้วนั่งยิ้มได้ใช่ไหม ? ตอนเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบยิ้มไม่ออกหรอกมันทุกข์นี่ ตอนนี้หมดทุกข์แล้วท่านก็ยิ้มของท่านได้
              หลวงปู่คำแสนนี่ยิ้มทีชาวบ้านร้องไห้โฮเลย หลวงปู่ทำไมยิ้มสวยขนาดนี้ ท่านตอบยังไงรู้ไหม ? คนหมดกิเลสแล้วยิ้มสวยหมดทุกคนแหละลูก (หัวเราะ) บอกชัดเลยนะงานนั้น คนหมดกิเลสแล้วยิ้มสวยหมดทุกคน ฟัง ๆ อย่างนี้แล้วได้เปรียบนะ ไปหลอกให้พระคุยบ่อย ๆ กำลังใจเราได้ทรงตัวใช่ไหม ?
              พูดถึงหลวงพ่อนึกถึงหลวงพ่อก็สังฆานุสสติ พูดถึงธรรมะก็น้อมใจไปธัมมานุสสติ พูดถึงพระพุทธเจ้าก็น้อมใจไปพุทธานุสสติ พูดถึงนิพพานน้อมใจไปอุปมานุสสติ พูดถึงเทวดาพรหมน้อมใจไปเทวตานุสสติ นั่งภาวนาเท่าไหร่อารมณ์ใจมันก็ไม่ทรงตัวง่ายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นมีโอกาสหรอกให้พระพูดบ่อย ๆ แต่ว่าหาน้ำไว้ให้ด้วยนะ ไม่หาน้ำไว้ให้เสียงแห้งหมด