สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ถ้าในกรณีที่เกิดว่าหนูสอบได้ทีนี้หนูจะต้องไปอยู่ป่าละอู ๓ เดือน คือตั้งแต่ปีที่แล้วตั้งใจว่าจะอยู่ธุดงค์ที่วัดท่าซุงในช่วงเดือนธันวากรณีที่เกิดว่า.....
      ตอบ :  เราก็รอให้เลยธันวาก่อน เลยธันวาแล้วค่อยไปป่าละอู
      ถาม :  คิดว่าถ้าไปตุลาแล้วพอธันวาเราพักเราค่อยไปต่ออย่างนั้นได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องให้มันครบ ๓ เดือนจริง ๆ ประเภทที่ว่าตุลาเดือนหนึ่ง พฤศจิกาเดือนหนึ่ง จะได้ ๒ เดือนแล้ว ธันวาเราไปอยู่วัดใช่มั้ย ? มกราก็ไปอยู่ป่าละอูต่อนั่นแหละ เอาให้มันครบแล้วกัน
      ถาม :  ที่เราไปอยู่ธุดงค์ให้ครบตรงนั้น ๓ เดือน เรียกว่าตัดไปเลยใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ตัดในช่วงธุดงค์ทั้งไปเลยเอาเฉพาะเราอยู่ป่าละอูเท่าไหร่เอาให้ได้ครบ ๓ เดือน หรือไม่ก็ถ้าต้องการให้ต่อเนื่องก็ให้เลยธันวาแล้วค่อยไป ป่าละอูสมัยที่อาตมาไปนะมันป่าทึบจริง ๆ จากหัวหินไปตลอดผ่านหนองพลับเข้าไปนี่ทางฝุ่นท่วมข้อเท้า มาระยะหลังถึงมีทางลูกรัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ลาดยางหรือยัง ?
      ถาม :  ลาดยางแล้วค่ะ
      ตอบ :  ลาดยางแล้วก็สบายไป จากตลาดหัวหินไปมันตก ๖๐ กว่าโลได้
      ถาม :  ประมาณ ๗๐ ค่ะ
      ตอบ :  ประมาณ ๗๐ ถึงสำนักใช่มั้ย
      ถาม :  จากที่ลาดยางไปจนถึงอีก ๑๐ กิโลได้ ตอนนั้นไปที่สำนักที่หลวงพ่อ...ให้ทำ
      ตอบ :  อาตมาสมัยนั้นไปย่ำต๊อกตลอด ก็ป่ามันใหญ่แล้วบรรดาสัตว์ป่าเยอะมาก ไปเจอตัวจงโคร่งก็ป่านั้นแหละ ครั้งแรกก็ไม่รู้จักหรอก จงโคร่งนี่มันเป็นคางคกชนิดหนึ่งบางทีเขาเรียกคางคกไฟ จะมีอานุภาพแปลก ๆ บางอย่างคือว่า ถ้าเขาหมอบอยู่สัตว์อะไรบินผ่านเขาจะตกลงไปให้เขากินเอง ตอนแรก ๆ เราก็นึกถ้านกตกลงไปมันจะกินได้รึ ? พอไปเจอตัวมันเข้าจริง ๆ เจ้าพระคุณเอ๋ยตัวเบ้อเร่อเลย อย่างนั้นอย่าว่าแต่นกเลยแม่ไก่มันยังกินไหว
              แล้วพวกตัดช่องย่องเบาเขาจะชอบมาก เขาจะถลกหนังจงโคร่งไปตากแดดให้แห้งแล้วป่นเป็นผงไปผสมกับธูปปั้นเป็นธูปขึ้นมา เวลาจะเข้าบ้านไหนพอตกค่ำก็ไปจุดเหนือลม รับรองได้ว่าหลับชนิดลากรอบบ้านไม่ตื่นหรอก มันเมาด้วย วิธีแก้มีวิธีเดียวคือใช้ว่านแสงอาทิตย์ ว่านแสงอาทิตย์โยมอาจเคยเห็น มันเป็นก้านเขียว ๆ แทงพ้นพื้นขึ้นมาแล้วดอกมันจะฟู ๆ แดง ๆ นั่นแหละใช้หัวว่านแสงอาทิตย์ตำผสมกับแอลกอฮอล์หรือว่าเหล้าโรงทาจมูกถึงจะฟื้น คนที่ไปจุดถ้าไม่ทาไว้ก่อนลมหวนก็หลับเหมือนกัน กว่าจะตื่นอีกเป็นวัน ๆ วิธีแก้ก็แก้วิธีนี้ แต่ว่าขณะเดียวกันว่านแสงอาทิตย์ถ้าเราไปทาส่งเดชโดยที่เขาไม่ได้จุดอันนี้นะ ตาค้างยิ่งกว่าม้าดีดอีก (หัวเราะ) ต้องระวังไว้หน่อย
      ถาม :  แล้วที่ตำนี่เอาสด ๆ อย่างนั้นเลยหรือคะ ?
      ตอบ :  ตำสด ๆ เลย ว่านสด ๆ ตำกับเหล้าโรงนะ ของพวกนี้มันมีกันมีแก้ มันต้องใช้คู่กัน ไปใช้อันเดียวมันอันตราย จงโคร่งทางปักใต้เขาเรียกว่ากง คางคกยักษ์ตัวเบ้อเร่อเลย
              เมื่อเดือนก่อนที่ลงไปปักษ์ใต้ เจ้าชาญมันเอาใส่ตะกล้ามาให้ดูตัวหนึ่งเต็มตะกล้าพอดี นึกเอาดูก็เเล้วกันว่าตัวใหญ่แค่ไหน อาตมาเจอครั้งต่อไปที่ถ้ำกระแซงที่ยะลา กำลังปีนถ้ำอยู่เห็นโขดหินก็เหนี่ยวเต็มที่เลย โขดหินมันลอยตามมือเรามา ขนาดเห็นมันเป็นโขดหินตัวมันต้องใหญ่มากเลยนะ เหนี่ยวปุ๊บมันโดดเลยหัวลงน้ำตูมไปเลย รู้จักไว้ก็ดี สัตว์แปลก ๆ มันเยอะ
      ถาม :  แล้ววันนั้นพอดีท่านเล่าว่าวันดีคืนดีพอดีเจอเสือดำมั่ง เสือโคร่งมั่ง ช้างมั่ง ถ้าหนูไปอยู่หนูจะเจออะไร ?
      ตอบ :  ของพรรค์นี้ไม่ต้องไปกลัวหรอก อาตมายืนยันว่าถ้าโยมกำลังใจมั่นคงนะ บารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มได้แน่นอน เพราะว่าเดินป่ามามากต่อมากด้วยกันจนกระทั่งเชื่อว่าในทุกที่เราก็อยู่ได้ถ้าเราอาศัยบารมีพระไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ส่วนใหญ่เขากลัวเราซะด้วยซ้ำไป
              ให้ตั้งใจเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เราแก่เขาก็แก่ เราเจ็บเขาก็เจ็บ เราตายเขาก็ตาย เราหิวเขาก็หิว เรากระหายเขาก็กระหาย เราเป็นคนเรายังไปเสาะได้ หาได้สะดวกสบายแต่ว่าเขาเป็นสัตว์ อาหารการกินก็หาไม่ได้อย่างใจ เขาทุกข์กว่าเราเยอะ เขาเดินทางมาบางทีเป็นวันไม่เจออะไรที่กินได้เลย ของเราอยากกินเดินเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว....เขาทุกข์กว่าเรามากทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ น่าสงสารมากไม่ใช่น่ากลัว มีใครรู้จักป่าละอูบ้างมั้ย ?
      ถาม :  ก็นี่แหละค่ะไปตอนบุกเบิก
      ตอบ :  ทางด้านใต้ของไทยถ้าหากนับเป็นกลางตอนล่างก็ต้องป่าละอู มันต่อเนื่องกันเป็นผืนเดียวกับเเก่งกระจาน แก่งกระจานถ้าโยมเคยเข้าไปพ่อเจ้าพระคุณรุนช่องเถอะ ! ป่ามันมโหฬารติดไปถึงประเทศพม่าเลยผืนเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นสัตว์ป่าเยอะมากวันดีคืนดีช้างมันโผล่มาเยี่ยมก็ยืนยิ้มให้มันนะ
      ถาม :  ตอนไปครั้งแรกที่ไปถางป่าเห็นไก่ป่า
      ตอบ :  ที่วัดอาตมาปัจจุบันมีไก่ป่าเป็นกุรุสเลย ตอนแรก ๆ ได้มาตัวเดียว มันหลอกอีท่าไหนไม่รู้นะหลอกสาวมาได้ตัวหนึ่ง ทีนี้ก็เป็นเรื่องล่ะเพราะว่าตอนแรก ๆ ไก่ป่าในป่ามันก็มีลูกแค่ ๕ ตัว ๖ ตัว ๓ ตัว ๔ ตัว พอมมาอยู่กับเรากินดีอยู่ดี โอ้โห... มันไข่ออกมา ๒๐ กว่าฟองแล้วมันฟักออกมาทีละ ๑๗- ๑๘ ตัว พักเดียวก็โตเต็มไปหมด เอาไปให้วัดท่าขนุนซะเกือบ ๓๐๐ ตัว วัดอื่นก็ให้เขาเอาไปเยอะ อยู่ที่โน่นพักเดียวก็มาสังเกตง่ายขาเขาจะสีดำหรือไม่ก็สีออกเขียวคราม ขาไก่บ้านจะสีเหลือง

      ถาม :  พอดีเมื่อวานไปวัดท่าซุงเจอหลวงพี่ตี๋ ก็เลยถามท่านว่าตอนนี้มีพระกี่องค์ ท่านบอกว่าพระที่ไปจากวัดเรา ๗ แล้วที่โน่น ๓
      ตอบ :  ที่โน่นก็คงท่านบัญญัติมั่ง ท่านบัญญัติ เขาอยู่กับหลวงพี่นิภัทร อยู่ไปอยู่มาหลวงพี่นิภัทรคงจะแปรเจตนาท่านบัญญัติท่านเลยไม่อยู่ด้วย ลำบากหน่อย ... อยากรู้หวยไปถามหมอเพชร หมอเพชรเขามีพรสวรรค์ไม่ว่าหมอเพชรไปที่ไหนพวกผีเขาจะโผล่มา ส่วนใหญ่เขาจะบอกเรื่องหวย แล้วมันแปลกว่าถ้าหมอแกซื้อเองแล้วซื้อน้อยแกถูก แล้วถ้าหากประเภทที่เรียกว่าบอกคนอื่นแล้วคนอื่นไม่โลภก็ถูก แต่ถ้าทุ่มเทงวดไหนงวดนั้นจะผิด เพราะฉะนั้นอย่าไปซื้อเยอะเจ๊งเอาง่าย ๆ แกไปนั่งกรรมฐานที่ไหนผีก็มักจะมาบอกตรงนั้นแหละ
              ป่าละอูมันจะผ่านหนองพลับมันจะมีหน่วยจัดการต้นน้ำหนองพลับ สังกัดศูนย์ที่ ๑๖ ที่อาตมาอยู่ เวลาอบรมชาวบ้านอะไรถ้าเขาขอตัวมาก็ต้องไป เพราะฉะนั้นแถวนั้นจะชำนาญพื้นที่ โยมบอกมาหลับตานึกออกหมด
      ถาม :  ที่ผีมาหานี่ ทำไมถึงมีผีอยู่ ทำไมเขาถึงไม่ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ครับ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) ผีในความหมายของเรา อะไรมันก๊อกแก๊กมาเราเหมาเป็นผีหมด ไล่ตั้งแต่เปรตจำพวก ๑๒ อสุรกาย สัมภเวสี (คนตายก่อนหมดอายุ) จนกระทั่งเทวดา มาร พรหม พระบนนิพพาน ของเราอะไรก๊อกแก๊กเราเหมาเป็นผีหมด ทีนี้ผีในความหมายของอาตมาว่านี่นะส่วนใหญ่เขาจะเป็นเทวดา เป็นเจ้าที่ในที่นั้น หรือไม่ก็บรรดาผีประเภทที่ว่ายังไม่ไปนรกไปสวรรค์ คือพวกสัมภเวสีพวกนี้จะตายก่อนหมดอายุ
              ในเมื่อที่ตายก่อนหมดอายุจะไปรับความดีความชั่วอะไรก็ไม่ได้ ต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหมดอายุขัยความเป็นมุนษย์ ซึ่งมันเวลาแป๊บเดียวของเขา สมมุติว่าในระยะนี้อายุขัยของมนุษย์เป็น ๗๕ ปี เกิดเขาตายตอนอายุ ๓๐ เหลือเวลา ๔๕ ปีใช่มั้ย ? มันก็ไม่ถึงวันหนึ่งของเขาแต่อย่าลืมว่าถึงจะแป๊บเดียวของเขาก็ตาม ถ้าเขาทำความดีมาน้อยอยู่ในลักษณะอดอยากหิวโหยเขาก็ลำบากมาก ของเราลองหิวข้าวซักวันหนึ่งดูซิ เป็นลมใช่มั้ย ? ของเขาเองเขาก็ลำบากเหมือนกัน อยู่ในสถานะไหนล้วนแล้วแต่มีทุกข์ทั้งสิ้น ไปนิพพานเถอะ...
      ถาม :  แล้วที่ว่าเขาเห็น ๆ กันล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไอ้ที่เขาเห็น ๆ กันมันมีได้หลายอย่าง อาจจะมีทั้งเปรตจำพวกที่ ๑๒ มีทั้งอสุรกาย มีทั้งสัมภเวสี มีทั้งเทวดา แล้วแต่ว่าใครจะมาถ้าหากว่าเป็นพวกระดับต่ำอยู่ในอบายภูมิอย่างเปรตจำพวกที่ ๑๒ หรืออสุรกายหรือสัมภเวสีพวกนี้ ถ้าที่บารมีน้อย ๆ บางทีก็มาได้แต่กลิ่น บางทีก็มาได้เฉพาะเสียง บางทีก็มาให้เห็นได้แต่รูปได้แต่บอกอะไรเราไม่ได้
              ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่พวกเราเองก็มักไปกลัวเขา เขาบุญน้อยบารมีน้อย ที่เขาทำได้สวยที่สุดก็คือพวกเราวิ่งอ้าวกันนั่นน่ะสวยสุดฝีมือมันแล้ว บุญเขาน้อยจริง ๆ เขาทำได้แค่นั้น
              เพราะฉะนั้นต่อไปไม่ต้องกลัวผีแล้ว ส่วนใหญ่ผีมันน่าสงสาร อาตมาเองเด็ก ๆ นี่กลัวผี ห้องน้ำมันอยู่นอกบ้าน โอ๋.... อั้นกันจนหน้าเขียวกว่าจะสว่างไม่กล้าไป พอหลังจากฝึกมโนมยิทธิรู้จักผีดีแล้ว มันเลิกกลัวไปตอนไหนบอกไม่ถูก คือเห็นแล้วว่าเขาน่าสงสารมาก ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาลำบากมากเลย ถ้าไม่ลำบากเขาไม่มาหาเราหรอก เขาเพลินกับความสุขของเขาอยู่ ดังนั้นหากว่าคราวหน้าคราวหลังผีมาไม่ต้องกลัวนะ เขาทำได้สวยที่สุดแค่นั้นแหละรีบ ๆ อุทิศกุศลให้เขาแล้วกัน เขาจะได้สวยขึ้น
      ถาม :  แล้วอย่างพวกนางไม้ล่ะคะ ?
      ตอบ :  พวกนางไม้ ถ้าบารมีน้อยหน่อยบางทีเจอพระเขาก็ขอมาทำบุญใส่บาตร อาตมาเองก็เจอนะ ก่อนจะออกบิณฑบาตก็มักจะซ้อมมโนมยิทธิ กำหนดใจดูก่อนว่าคนที่จะใส่บาตรเราคนแรกวันนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรเหล่านี้เป็นต้น แล้วพอไปถึงก็ไปตรวจสอบว่าตรงมั้ย ?
              วันนั้นก็กำหนดใจดูแล้วว่า เออ...คนทีจะทำบุญให้เขาจะใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าเก่า ๆ เสื้อแขนยาวแบบเสื้อเชิ้ตแต่ว่าเป็นผู้หญิง คราวนี้ พอไปถึงปุ๊บพอเห็นก็เออเรารู้ถูก ก้มหน้าลงเปิดบาตร ตอนก้มลงเปิดบาตรความลับมันแตกคือเขาเองก็คงบังเราไม่หมด ชายผ้ามันแลบออกมามันไม่ใช่สีฟ้าเก่า ๆ นะซิ มันเป็นผ้าประดับทองด้วยนะ เราก็ปิดโครมไม่ต้องใส่ถามก่อนว่าเป็นใคร ? (หัวเราะ) เขาก็เลยต้องแสดงตัวจริงให้เห็นเป็นรุขเทวดาที่อยู่ใกล้ ๆ นั่น ผู้หญิงสวยมากเลยแต่ว่าเนื้อเขาคล้าย ๆ เนื้อเราแสดงว่าบุญน้อยมาก เทวดายิ่งบุญสูงเท่าไหร่ เนื้อเขาจะใสมากเท่านั้นนะ
              อันนี้เนื้อเขาคล้าย ๆ เราก็แสดงว่าเป็นเทวดาที่จนหน่อย แต่ขนาดจน ๆ ที่เข็มขัดทองเส้นขนาดเท่าฝ่ามือ ถามว่าเขามาทำอะไร เขาบอกขอทำบุญหน่อยเถอะค่ะ อยากได้บุญก็เลยบอกเขาบอกว่าผลบุญใดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอโมทนานะ เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย เขาก็โมทนากลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปแนบบาตรเบิดไม่ใส่เลย (หัวเราะ) อดแดก..... นี่จำจนขึ้นใจเลย ต่อไปต้องให้เขาใส่ก่อนนะ (หัวเราะ) งวดนั้นเสียท่ารีบให้เขา เขาได้แล้วเขาเลยไม่ต้องใส่บาตร ไปดีกว่า...แหม...
      ถาม :  ที่บ้านพักที่โรงเรียนนะคะ มีอยู่ ๔ คืนด้วยกัน คือนอนตอนตี ๒ กำลังหลับก็มาเรียกชื่อ ๆ ก็สะดุ้ง เอ๊ะผีหรือเปล่า ก็ไม่ได้ขานนะคะ พออยู่อีก ๒ คืนมาเรียกอีก เรียกอยู่ประมาณ ๔ คืนแน่ะค่ะ เอ๊ะ...มันผีอะไร หนูสวดยันทุนไล่ (หัวเราะ)
      ตอบ :  ไม่ใช่ยันทุนหรอก ยันจนหมดทุนเขาก็ไม่ไปหรอกเพราะว่าถ้าเป็นพวกเทวดาเขาไม่กลัว
      ถาม :  เสร็จแล้วบังเอิญก่อนวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหะ ก็ขับรถไปแล้วก็ไปแวะร้านอีกร้านหนึ่งก็ถาม เจ๊ลม มันเป็นยังไงนี่มีคนมาเรียกอยู่ ๔ คืนติด ๆ กันแล้ว พอดีคน ๆ นี้เขาค่อนข้างจะปฎิบัติใช้ได้นะคะ เขานับถือเสด็จเตี่ย เสด็จพ่อ ร. ๕ ด้วย เขาก็บอก เอ๊ะคุณมันมีอะไร พวงมาลัยเหลือง ๆ ลอยนะ เอ้า! ดูให้ดี ดูให้หน่อยนะ เขาบอกมีพวงมาลัยแบบคล้าย ๆ พวงมาลัยดอกดาวเรืองน่ะคะ ใจหนูก็บอกว่าดูใหม่ซิ เขาก็บอกว่านี่ไงเดินผ่านไปแล้ว นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแล้วก็ใส่สไบสีเหลือง หนูก็ถามว่า ถามซิ เขาก็หันไปพูดที่โรงเรียนครูมีเสาที่แบบสีเหมือนเสาอันนี้มั้ย ? พอเขาพูดถึงเสา หนูก็นึกถึงนางไม้ที่โรงเรียนเลยคือท่านอยู่มาเป็นคิดว่าเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ปีแล้ว เสร็จแล้วหนูก็เอ๊ะ...จะทำยังไงดี
              พอดีคืนนั้นนอนสวดมนต์เสร็จแล้วก็ทำสมาธิกว่าจะสร็จประมาณตี ๒ เอ๊ะ...ทำไมเรานอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับหนูก็ลุกขึ้นมาทำสมาธิ ฟันเฟินไม่ต้องแปรงเอาตามหลวงพ่อเราน่ะค่ะ พอทำไปสักพักพ่อก็มา พ่อมาหาก็ถือไม้เท้านั่งอยู่ก็กราบท่าน ท่านก็ไม่พูดอะไร เสร็จแล้วเหมือนกับท่านหรี่ไฟ บังเอิญมีภาพเป็นนางไม้น่ะค่ะ ท่านเดินมา เดินมาก็ปรึกษาท่านว่าจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าให้ไปซื้อผ้าสไบ จะเห็นหมดเลยคือองค์แรกจะเป็นแบบเห็นผมยาว ๆ ค่อนข้างหยักศก นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแบบมัน ๆ หนูก็เรียกไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน แล้วก็สไบสีเหลือง องค์ที่ ๒ ก็ผ้าโจงกระเบนสีเหลือง ผ้าสไบออกสีโอรส องค์ที่ ๓ ก็ผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงินแล้วสไบเป็นสีเหลือง แล้วก็กุมาร ๆ ใส่ชุดสีชมพู
              ทีนี้หนูก็มานั่งคิด โอ้โห... จะให้ซื้อถวายขนาดนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหน คือผ้าโจงกระเบนผืนหนึ่งก็หลายร้อยใช่มั้ย ? มีเงินอยู่แค่ ๓ พันกว่าบาท เลยทำยังไงดี ท่านก็เลยทำเป็นหุ่น ๆ จิตก็บอกว่า เอ้า...ไม่เป็นไร เป็นหุ่นก็ยังพอได้
              พอเช้าขึ้นมาแล้วหนูก็ไปถามว่าทำไมต้องทำให้หนูทำอย่างนี้ ท่านก็บอกว่าจะเข้าพรรษาแล้วท่านอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า คือท่านตอนทำให้เห็นว่าผ้าท่านเก่ามากแล้ว ท่านบอกว่าอยากเปลี่ยนเครื่องทรง หนูก็เลยบอกว่าจะให้ทำยังไงต่ออีกทำไม่เป็นนะ ท่านก็บอกว่าให้ถวายผลไม้ ๕ อย่างแล้วท่านก็จำเพาะมา ท่านบอกว่า ๒ อย่าง สับปะรดกับชมพู่นะอีก ๓ อย่างจะเอาอะไรก็ได้ แล้วหนูถามว่าธูปล่ะจุดยังไงถวายยังไง ท่านก็บอกว่า...(ไม่ชัด) ... เช้าหนูไปหาพี่ถามพี่หนูทำอย่างนี้จะผิดมั้ย เออ...ไม่เป็นไร
              ก่อนจะไปหนูไปไหว้ท่านแล้วบอกว่าหนูจะไปดูหุ่นแล้วก็ตามไปเลือกเอาเองแล้วกัน ไปถึงก็ได้ตามนั้นทุกอย่างเลย ท่านบอกให้ทำวันนี้ หนูกลับมาประมาณบ่ายโมงได้หนูก็ทำวันนั้นเลย วันนั้นวันอาสาฬหะ พอทำเสร็จก็ไปวัด ทีนี้อยากจะเรียนถามว่าตรงนี้ท่านได้มั้ยคะ ที่หนูทำไปนี่ ?
      ตอบ :  ถ้าทำตามที่ท่านต้องการท่านได้แน่ คือว่าเขามาขอเองนี่ในเมื่อขอเอง เขาบอกอย่างไรทำอย่างนั้นก็เป็นอันว่าดีตามที่ท่านบอก อาตมาเองไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ นะ เจ้าที่เขาขึ้นมาบอกว่าภายใน ๒ ปีสร้างศาลให้ผมหลังหนึ่งนะครับ ก็ถามท่านว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าผมเป็นเจ้าที่อยู่แถวนี้แหละ เป็นอากาศเทวดาด้วยนะ ชาวบ้านเขาเรียก “พ่อปู่ดำ” ถามว่าแล้วจะเอาศาลแบบไหน เขาก็บอกว่าเอาศาลแบบหลังคาเขียว ๆ เราก็นึกว่ามันเป็นศาลที่เขาทำด้วยไม้แล้วมีหลังคาเป็นสังกะสีเขียว ๆ ปรากฏว่ามันไม่ใช่อย่างที่ท่านต้องการ
              พอรุ่งขึ้นก็ถามหัวหน้าป่าไม้ว่าเจ้าที่ที่นี่ชื่ออะไร บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยขับรถไปดูด้วยกันปราฏกว่าเขาติดป้ายไว้ว่า “ศาลพ่อปู่ดำ” เมื่อเป็นอย่างนั้นก็บอกท่านว่าถ้าอย่างนั้นจะตั้งศาลให้เลย มีข้อแม้หน่อยว่าในเมื่อถ้ามันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจแล้วช่วยบอกทีเหอะว่าจะเอาแบบไหน เขาก็ตกลง เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนั่งรถมันไปเรื่อยเปื่อย
              พอไปถึงที่หนึ่งท่านสะกิดบอกเอาศาลแบบนี้ เรากำลังเพลิน ๆ อยู่ลืมตาขึ้นหันไปดู มันผ่านโรงงานขายวัสดุก่อสร้างมีศาลตั้งอยู่เป็นแถวเลย ปรากฏว่าเป็นศาล ๖ เสาหลังเบ้อเร่อเลยนะ แล้วก็มีหลังคาเขียว ๆ เหลือบทอง อ๋อ....หลังคาเขียวแบบนี้เอง ไปถามเขาดูว่าราคาเท่าไรนะ ตอนนั้นปี ๒๕๓๖ เจ้าของร้านเขาบอกว่าตอนนี้มันเป็นช่วงจะเข้าพรรษาไม่มีใครเขาตั้งศาลกันเลย เหลือแค่ราคา ๙ พัน ถ้าออกพรรษาแล้วก็หมื่นกว่าครับ เลยรีบยกไปเลยขืนช้ารอออกพรรษาหมดอีกเยอะ (หัวเราะ)
              ผลปรากฏว่ารถปิ๊กอัพคันหนึ่งขนไม่หมดหรอกมันใหญ่เกินปิ๊กอัพ ตรงนอกชานล้นขอบปิ๊กอัพออกมาเลย ลองนึกดูเถอะศาลมันใหญ่แค่ไหนคนงาน ๘ คนแบกไม่ขึ้นเราก็นึกว่าเป็นศาลไม้เล็ก ๆ หลังเขียว ๆ พวกเราคงเคยเห็นใช่มั้ย ? เขาทำด้วยสังกะสีแล้วตัวศาลเป็นไม้ นั่นแหละ ต้องให้เขาเลือกเอง ถูกใจท่านแน่