ถาม:  เคยฝันว่ามีพระองค์หนึ่งมาขอสร้อยที่ขาดแล้ว ก็ไม่ให้ ท่านก็มองตาจะเอาตัวไป สักพักหนึ่งก็ว่าจะเอาแม่ไป จึงเอาแม่มานั่งตักไว้ อย่างนี้ท่านมาทดสองเกี่ยวกับอะไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าในขณะที่ฝันมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น เราสามารถนึกถึงความดีได้ ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่า สมควรที่จะภูมิใจ
      ถาม :  การให้ที่ถือว่าเป็นอุเบกขาในอุเบกขานี่ ถ้าเกิดตัวเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แสดงว่าเราต้องหยุดการกระทำของเราที่จะช่วยเหลือเขาใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเขาดีขึ้นแล้วต้องปล่อยให้เขาเดินด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่ไปช่วยอยู่ตลอด
      ถาม :  ไม่เห็นดีขึ้น ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ดีขึ้นก็เป็นหน้าที่ของเรา ว่ายังทนช่วยเขาได้อีกนานเท่าไร ?
      ถาม :  เป็นวิบากกรรมที่คนจะไปนิพพานต้องผ่านทุกคนเลยใช่ไหมคะ ? หรือเป็นกรรมเก่าที่ยังใช้หนี้ไม่หมดเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จะว่าไปแล้วต้องดูว่าใครเคยทำมาก่อน ถ้าเคยทำมาถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป
      ถาม :  การใช้หนี้...ถ้าไม่ใช้เลยหรือใช้ไม่หมด ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไปได้จ้ะ ที่ไปอยู่พระนิพพาน ไม่มีองค์ไหนใช้หมดหรอกจ้ะ
      ถาม :  อารมณ์ปฏิฆะ ต้องดูอารมณ์ที่มากระทบ คือทั้งดีและไม่ดีใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ใช่...รับรู้แล้วปล่อยวาง
      ถาม :  ทั้งคู่เลย ?
      ตอบ :  ใช่ ....ที่เมื่อครู่บอกให้หยุดคิดนั่นแหละ ถ้าเราหยุดได้ทัน กิเลสก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้าเราหยุดไม่ทัน กิเลสก็เล่นเราเมื่อนั้น
      ถาม :  ถ้าเจออยู่ข้างหน้า ถ้าเราไม่คิดคือไม่รู้สึก ตัวทุกข์มาตั้งกองอยู่ข้างหน้าเราก็ไม่สนใจ ?
      ตอบ :  นั่นคือรับรู้แล้วปล่อยวาง
      ถาม :  การที่พระอริยเจ้าระดับสูง ๆ ท่านมีหน้าที่ มีครอบครัวอยู่ ท่านต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เลี้ยงดูลูก การที่ท่านสะสมเงินเพื่อเก็บไว้ให้คนเหล่านี้ จัดเป็นกิเลสหรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง ถ้าเป็นกิเลส นางวิสาขาอย่างนี้ อนาถปิณฑิกเศรษฐีอย่างนี้ เงินท่านไม่รู้กี่เล่มเกวียน
      ถาม :  ภาวนาอยู่กับลมหายใจ แล้วเวลาทำงานท่านทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ถ้าทำได้จะรู้อัตโนมัติ เคยไหมที่บางช่วงที่เราไม่ต้องคิดถึง แล้วภาวนาเอง ?
      ถาม :  เคยค่ะ
      ตอบ :  รักษาอารมณ์อย่างนั้นให้อยู่ แล้วเคยสังเกตไหมว่าหลุดไปตอนไหน ?
      ถาม :  เคยค่ะ เริ่มเจอแล้วค่ะ เพิ่งเริ่มเจอเร็ว ๆ นี้เอง แต่ไม่ได้เจอทุกครั้งนะคะ
      ตอบ :  พยายามไว้บ่อย ๆ หน่อย พอเคยแล้วก็ไม่ยาก
      ถาม :  ถ้าหลุดจากอารมณ์ภาวนาไปนิวรณ์จะเข้า พอนิวรณ์เข้าแล้วจะกลับมาภาวนาอีก ?
      ตอบ :  ยากแล้วจ้ะ กิเลสฟัดกระจาย จะกลับมาสงบเป็นเรื่องยากแล้ว
      ถาม :  ยากแล้ว อึดอัดมากเลย ควรจะทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  อย่าให้หลุดสิจ๊ะ
      ถาม :  หลุดไปแล้วค่ะ ?
      ตอบ :  หลุดไปแล้ว คราวนี้ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อเอาคืนให้ได้ ถ้าไม่พยายามทำจะยิ่งหลุดไปไกล
      ถาม :  เมื่อก่อนเวลาโกรธแล้วจะนานพอสมควร แต่เดี๋ยวนี้ลองปรับใหม่ ไม่ทราบว่าถูกหรือเปล่า อยากโกรธใช่ไหม ? ได้เลย...ฉันจะนั่งดู ดูสิว่าเธอจะหยุดเมื่อไร ก็หยุดนะคะ ไม่โกรธให้เห็น ?
      ตอบ :  พวกนี้ขี้อาย เราตั้งใจดูจริง ๆ ไม่ได้เห็นหรอก เพราะสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน แต่ยังโกรธของอยู่นะ ไม่ใช่ไม่โกรธ
      ถาม :  ใช่ค่ะ
      ตอบ :  คราวนี้กลายเป็นโกรธตัวเอง โกรธตัวเองว่าทำไม่ได้ดีสักที แต่ยังเป็นความโกรธอยู่ ทำอย่างไรที่จะทำให้เราให้อภัยตัวเองและคนรอบข้างได้ เรื่องของเมตตาพรหมวิหาร ถ้าไม่เริ่มจากตัวเองแล้วจะเอาอะไรไปเมตตาคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น...ถ้าเรารักตัวของเรา ไม่อยากให้ตัวของเราลงนรก ไม่อยากให้ตัวของเราเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราต้องรักษาความดีให้ได้ เมื่อเรารักษาความดีนั้นได้แล้ว เราจะส่งความดีนั้นให้กับคนอื่นเมื่อไรก็ส่งไปได้ง่าย เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่เริ่มจากตัวเราเองจะไม่มีความดีเผื่อคนอื่นเขา แล้วตอนนี้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งโกรธตัวเอง มีอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น
      ถาม :  ทำอย่างไรคะ ตรงนี้คิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนค่ะ ?
      ตอบ :  พยายามอย่าโกรธ สัตว์ทั้งหลายล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทังหมดทั้งสิ้น
      ถาม :  พูดง่าย เข้าใจ แต่พอเวลาไปทำจริง ๆ ?
      ตอบ :  ตอนนี้เข้าใจ แต่ตอนเจอเข้าจิรง ๆ มักจะตั้งหลักไม่ทัน พอตั้งหลักไม่ทันก็โดนเขาสอยร่วงไปก่อน
      ถาม :  หลายรอบแล้ว ขอชนะให้เห็นจัง ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง
      ตอบ :  อ๋อ...ยากจ้ะ เพราะถ้าเราชนะก็จบ
      ถาม :  ชนะแล้วจบ ?
      ตอบ :  ต่อไปอารมณ์แค่นั้นทำอันตรายเราไม่ได้อีก ต้องหาที่ละเอียดกว่านั้นเพื่อมาก่อกวนเราให้ได้ เราต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  กราบพระนี่ห้ามย้ายที่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ห้ามหรอกจ้ะ กราบตรงไหนก็ได้ อย่าย้ายใจก็พอ
      ถาม :  เคยเจอว่า...โชคของท่านเปรียบดังสะพานใหญ่...อย่างนี้ ?
      ตอบ :  แปลว่าอีกนานจ้ะ...แต่ถ้าทำสำเร็จแล้วจะใช้งานได้ตลอดไป
      ถาม :  เมื่อไรจะรู้ว่าตัวเองศีลบริสุทธิ์ครับ ?
      ตอบ :  เมื่อเรามั่นใจ
      ถาม :  มั่นใจโดยการตรวจสอบได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ตัวเราทำเราก็รู้เอง ไปถามคนอื่นจะรู้ได้อย่างไรเล่า ?
      ถาม :  บาลีสำคัญไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าตั้งใจปฏิบัติบาลีก็สำคัญน้อย ถ้าตั้งใจจะเอาปริยัติบาลีก็สำคัญมาก
      ถาม :  ไม่ต้องไปปกครองใครเขาครับ ?
      ตอบ :  เอาไว้สักวันหนึ่งความซวยมาเยือนแล้วจะรู้ อยู่ ๆ เขาจับยัดให้อย่างผมยังดี...เขามาเกลี้ยกล่อมให้เป็นโน่นเป็นนี่ แล้วผมไม่ยอมรับสักที ถ้าท่านจับยัดให้เฉย ๆ ไม่มาเกลี้ยกล่อม ผมเสร็จไปนานแล้ว แหม...มานั่งกล่อมให้ผมเป็นเจ้าคณะอำเภออยู่ค่อนวัน ไม่สำเร็จ...บอกให้รู้ตัวแล้ว ยังโง่ไปรับก็ช่วยไม่ได้
              สมัยก่อนมีภาษิตว่า “ยศช้าง ขุนนางพระ” อย่างช้างเขาตั้งเป็นคุณพระ ตั้งให้เป็นพระยา ช้างรู้เรื่องเมื่อไร ก็กินหญ้ากินอ้อยเหมือนเดิม คราวนี้เรื่องขุนนางพระเหมือนกัน พระเจ้าอยู่หัวท่านเห็นความดีของพระ ท่านก็ตั้งยศตั้งตำแหน่งให้ แต่โดยหน้าที่ของพระจริง ๆ คือละโลกธรรม เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ระยะหลังนี่พระที่ท่านละโลกธรรมมีน้อย มีแต่โดดใส่เยอะกว่า เอาเถอะ....เราพยายามละไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน ถ้าคนอื่นมีขนาดผมนี่ป่านนนี้โดนไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ? ของผมนี่ยัดเยียดให้ยังไม่เอา คนอื่นแค่ตำแหน่งเจ้าอาวาสยังแย่งกันเลย แย่งกันเพื่อเอาอาวุโส ถึงเวลาใครเป็นก่อนจะได้ขอตำแหน่งได้ก่อน เสร็จแล้วแย่งกันเป็นพระครู เพื่อที่ว่าใครอาวุโสกว่าถึงเวลาจะได้เลื่อนก่อน แย่งกันเป็นเจ้าคณะตำบล แย่งกันเป็นเจ้าคณะอำเภอ เพื่อที่จะได้ขอชั้นยศสูง ๆ นี่ถ้าเขารู้ว่าหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านไปนอนกลิ้งที่กุฏิ ตื้อให้ผมเป็นเจ้าคณะอำเภอมาเป็นวัน ๆ คงจะช็อกตายกันไปครึ่งอำเภอ...!
      ถาม :  ได้รับตำแหน่งอะไรกันไปบ้างหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ของผมไม่หรอก รู้สึกว่าตำแหน่งเจ้าคณะตำบลของท่านอาจารย์เปี๊ยกนี่ ท่านอาจารย์ตุ๋ยรับไปแทน แต่พรรคพวกกันมีท่านอาจารย์ชาลี วัดลำทหาร ขึ้นเป็นพระครูวิริยกาญจนาภรณ์ หลวงพี่สมคิดเป็นพระครูบวรกาญจนธรรมไปสองปีก่อนโน้น ปีหน้า ไม่ท่านอาจารย์เปี๊ยกก็ท่านอาจารย์โนรี เขาไปกันตามคิว ของผมเป็นอาจารย์เขา แทนที่จะได้ก่อนเพื่อน เปล่าหรอก...จะรอทีหลังสุด
      ถาม :  หนูฝันถึงท่านว่าท่านนั่งเฉย ๆ หมายความว่าอะไรคะ ?
      ตอบ :  หมายความว่าไม่อยากจะคุยด้วย
      ถาม :  พรุ่งนี้ปล่อยควายได้ตัวหนึ่ง ตัวละหมื่นสามแล้ว ?
      ตอบ :  ทำบุญปล่อยควาย อุทิศส่วนกุศลให้ในหลวงด้วยนะ เมื่อคืนไปกราบหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ แล้วทำวัตรอยู่กับท่าน พอทำวัตรเสร็จแล้วท่านบอกพระเณรทั้งหมด ให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้กับในหลวง
      ถาม :  งานนี้ไม่รู้บอกบุญอะไรไว้ ไม่แน่ใจ เขาบอกปล่อยวัวปล่อยควาย แต่ต้องดูว่าเหลือตัวไหน ครูแดงเขาโดนวัวสะบัดหางแล้วเยี่ยวใส่ เขาถามว่าวัวมีอารมณ์ความรู้สึกด้วยหรือ ?
      ตอบ :  ตอนแรกผมคิดว่าสัตว์ไม่มีความคิด แต่ปรากฏว่าเมื่อสักสองอาทิตย์ทีผ่านมา ผมไปยกพระประธานแล้วซี่โครงยอก ซี่โครงเคยไปกระแทกต้นไม้ตอนที่ตกเขาช่วงธุดงค์ ยอกขึ้นมา โอ้โฮ...เจ็บขาดใจเลย เจ็บเหมือนกับมีมีดแทงทะลุจากข้างหลังมาข้างหน้า แทงทะลุหัวใจพอดี ผมก็คิดว่า “อาการอย่างนี้ กูทำเขาไว้แหง ๆ เลย” ก็รอวันหาย ถ้าวันใกล้ ๆ จะตายเมื่อไรนี่จะมีนิมิตบอกเหตุให้ทราบ
              ปรากฏว่าชาตินั้นผมเกิดเป็นหมูป่าครับ เป็นจ่าฝูงมีบริวารเป็นร้อย ๆ เลย เสร็จแล้วมีไอ้เสือตัวหนึ่ง สุดยอดของความเจ้าเล่ห์ จะย่องมาลากเอาหมูตัวท้าย ๆ ฝูงไปกินเป็นประจำ สามสี่วันเอาไปตัวหนึ่ง สามสี่วันเอาไปตัวหนึ่ง ปรากฏว่าผมเป็นหมูแต่โกรธเป็นว่ะ แค้นมากด้วย จ้องจะเอาคืนให้ได้ ไอ้เสือก็ฉลาด ไม่เคยปะทะซึ่งหน้าสักทีหนึ่ง ได้แต่หลบไปหลบมา เผลอเมื่อไรก็เอาตัวเล็ก ๆ ที่รั้งท้ายไปกินอยู่เรื่อย คราวนี้ไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาตัน มีทางเข้าทางเดียว รอบข้างเป็นหน้าผาชัน ก็พาลูกน้องเข้าไปซุ่มอยู่ข้างในนั้น ไปหลบอยู่ในนั้นแหละ ห้าวัน หกวัน เจ็ดวัน แปดวันก็อยู่ในนั้นแหละ กินบ้างอดบ้างก็เอา อย่างไรก็ต้องล้างแค้นให้ได้ ไอ้เสือเคยได้กินง่าย ๆ พอหิวหนัก ๆ เข้า ก็ต้องย่องตามเข้าไป เลยเจอนักเลงตีปิดซอยรุมอัด...(หัวเราะ) ...หมูทั้งฝูงปิดทางเข้า เสร็จแล้วผมก็ยำเสือจนเละเลย ภาพสุดท้ายคือไอ้เสือสู้ไม่ได้ เพราะชาตินั้นผมหนังเหนียว กัดเท่าไรก็กัดไม่เข้า ผมเองขวิดเสือจนเละเทะไปทั้งตัว จังหวะสุดท้ายเสือกระโจนเข้ามา ผมขวิดสวนเข้าซี่โครงตรงหัวใจพอดี ตอนขวิดนี่ผมได้ยินเสียงกระดูกหักชัด ๆ เลย ซี่โครงหักกระจายคาเขี้ยว
              เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องพูดถึงว่าหัวใจเสือจะเป็นอะไรหรือเปล่า ประเภทขวิดทิ้งเลย มั่นใจมากมึงอยู่แน่ เดินจากไปเลย ปล่อยให้ลูกน้องช่วยกันยำต่อ ผมก็มาคิดว่า โอ้โฮ...เราล่อเขาถึงตายเลยนะนี่ เสร็จแล้วความรู้สึกของผมคือ เจ็บทะลุจากข้างหลังถึงข้างหน้า เจ็บเหมือนกับมีอะไรเสียบคาอยู่ อ๋อ...เอาคืนขนาดนี้เลย ตอนแรกผมคิดว่าสัตว์คิดไม่เป็น ไม่นึกเลยว่าจะคิดเป็น วางแผนเป็นด้วย ถึงขนาด แหม...ตัวเองยอมอดนะ จะเอาเขาให้ได้ เข้าไปในหุบเขาไม่มีอะไรกิน ลูกเล็กเด็กแดงอย่างไรก็ต้องอดตามกันหมด จนกว่าจะเอาคืนได้
      ถาม :  วางแผนเป็นคนเลย ?
      ตอบ :  วางแผนเหมือนกับคนเลยจริง ๆ คิดเป็นหมดทุกอย่างเลย เสร็จแล้วพอหมูล้อมทางออกอยู่นี่ รู้ ๆ เลยว่าความกลัวของเสือเป็นอย่างไร เขากลัวมากเลย แต่พยายามคำรามขู่ นี่ถ้าเป็นคนผมว่าหูแตกแน่ ผมยืนประจันหน้าอยู่ใกล้ที่สุด อื้อฮือ...ถ้าไม่ใช่ความแค้นล่ะก็ คงจะกลัวอยู่เหมือนกัน ต้องเรียกว่าความแค้นเป็นพลัง อย่างไรกูต้องฟัดมึงให้ได้ แต่ว่าเสือก็เร็วจริง ๆ เร็วจนดูไม่ทันเลย ตอนกระโจนเข้ามานี่ผมเห็นแค่แวบเดียว ก็มาถึงตัวแล้ว ยังดีว่าหนังเหนียว เสือกัดไม่เข้า
      ถาม :  ที่ว่าเหนียวเป็นเพราะอะไรครับ ?
      ตอบ :  มีเขี้ยวกายสิทธิ์เป็นของคู่ตัว เขี้ยวตันพาให้หนังเหนียว ถึงขย้ำไม่เข้า แต่โฮ้โฮ...เจ็บอย่าบอกใครเลย
      ถาม :  พวกคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ?
      ตอบ :  เสียงงับกร๊วบเลย โฮ้โฮ...ถ้าไม่ใช่เหนียวขนาดนั้นนี่ ตายไปแล้ว
      ถาม :  พวกสัตว์ที่มีของกายสิทธิ์คู่ตัวนี่ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพระโพธิสัตว์ พวกของแบบนี้โบราณเรียกว่า “ทนสิทธิ์” คือของที่อยู่ยงคงกระพันโดยธรรมชาติ อย่างพวกเขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เพชรตาแมว อะไรพวกนี้
      ถาม :  แบบเป็นลีลาพระโพธิสัตว์ ?
      ตอบ :  ใช่ ...บริวารเป็นร้อย ๆ เลย ตอนแรกผมนึกว่าสัตว์คิดไม่เป็น แต่ผมกลัวอยู่อย่าง ไอห่...กูเป็นสัตว์อีกแล้ว...(หัวเราะ) ...คราวก่อนเป็นนางสิงโตใช่ไหม ? ที่ไปล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร เสร็จแล้วก็ป่วยเสียจนขนาดฉี่เป็นเลือด มาตอนนี้เป็นสัตว์อีกแล้ว จะหาไอ้ที่ดีกว่าสัตว์นี่ไม่มีเลยหรืออย่างไรวะ ?
      ถาม :  แสดงว่าทำเอาไว้ตอนนั้นก็นานแล้ว ?
      ตอบ :  ทำเอาไว้นานเต็มทีแล้วเพิ่งตามมา
      ถาม :  มาเล่นงานตอนไม่มีตัวเจ้ากรรมนายเวร เป็นกฎของกรรม ?
      ตอบ :  เป็นกฎของกรรมจริง ๆ ครับ แหม...ตามมาเอาจนได้ ผมก็ไม่นึกว่าพระจะขนาดนั้น ๑๒ คนยกไม่กระดิกเลย พระหน้าตักสี่ศอก พระโลหะหล่อปกติ แหม ๗-๘ คนก็ไปลิบแล้ว คราวนี้หลวงตาอาบท่านคงได้วัสดุมาเยอะ มีเท่าไรก็ใส่ลงไปหมด รถยกของช่างยศแทบจะเอาไม่ขึ้นเลย พอผมยกตอนแรกซี่โครงลั่นกึก ก็คิดว่า “ฉิบหายแล้วกู” จริง ๆ ด้วย แต่ ๔-๕ วันให้หลังถึงจะอักเสบนะ ตอนอักเสบผมเกือบลืมไปแล้วว่าเป็นเพราะอะไร นึกอยู่ตั้งนานว่า “กูไปโดนอะไรมาถึงได้เจ็บขนาดนี้ ?” พลิกตัวก็พลิกไม่ได้ ขยับก็ขยับไม่ได้ เหมือนกับมีดเสียบคาอยู่เลย
      ถาม :  กรรมในขณะที่ทำเราเป็นสัตว์ ที่ว่าไม่มีกรรม ?
      ตอบ :  มี...แต่ไม่หนักเหมือนคน อย่างการทำอนันตริยกรรม สัตว์ฆ่าพ่อฆ่าแม่นี่จะไม่เป็อนันตริยกรรม ไม่ลงอเวจีนรก แต่ก็ลงขุมอื่นนะ
      ถาม :  สัตว์ฆ่ากันเองก็เพื่อเป็นอาหาร ?
      ตอบ :  ก็เป็นโทษ แต่ไม่หนักอย่างคนเท่านั้นเอง เพราะสัตว์อยู่ในภูมิที่ต่ำกว่า ความมืดบอดของจิตมีมากกว่า โทษเลยเบากว่าคน
      ถาม :  แต่นี่คิดได้อย่างคนเลย ?
      ตอบ :  คิดอย่างคนจริง ๆ เลย
      ถาม :  แต่นี่ฆ่าเพราะแค้นนี่ ไม่ใช่ฆ่าเพราะอาหาร ?
      ตอบ :  เต็ม ๆ เลย ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวคือ ถ้าผมฆ่ามันไม่ได้นี่ ไม่ใช่แต่บริวารจะเดือดร้อน สัตว์อื่น ๆ ก็เดือดร้อนอีกเยอะ เพราะถ้าเราระมัดระวังตัว เขาทำอะไรบริวารของผมไม่ได้ ก็ต้องไปกินสัตว์อื่นอีก อย่างไรต้องเอาให้ได้ ตอนนั้นคิดอย่างนั้น ผมมั่นใจว่าสมาธิดีมากเลย ประเภทหมูกล้าเดินเข้าใส่เสือชนิดที่ไม่สะทกสะท้านเลยนี่ จิตต้องนิ่งมากจริง ๆ
      ถาม :  จะต้องตัวใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกันไหม ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก อาตมาใหญ่กว่าเยอะเลย
      ถาม :  ตัวใหญ่กว่าเสือหรือคะ ?
      ตอบ :  โอ้โฮ...ตัวอย่างกับวัว ...(หัวเราะ)...
      ถาม :  ปกติหรือใหญ่กว่าชาวบ้านคะ ?
      ตอบ :  ปกติของจ่าฝูง ไม่ใช่ปกติของลูกฝูง
      ถาม :  ใหญ่มากเลยนะคะ ?
      ตอบ :  ใหญ่ฉิบหาย...(หัวเราะ) ...ตอนไปเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ เจอหมูป่าวิ่งตัดหน้า อาตมาดูอยู่ตั้งนาน ตัวอะไรวะ ? คือเขาไปคลุกขี้โคลนมา จนดูไม่รู้เรื่อง
      ถาม :  ตัวเป็นควายเลย ?
      ตอบ :  หนักเป็นร้อยกิโลกรัมเลย ตัวนั้นวิ่งตึก ๆ ๆ ผ่านถนนไปหน้าตาเฉย