ถาม:  ของที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้วจะมีวันเสื่อมอานุภาพไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นพุทธานุภาพไม่เสื่อม ยกเว้นว่าเราเจตนาจะให้เสื่อม อย่างเช่นตั้งใจไปลอดราวผ้า ตั้งใจไปลอดใต้ถุนเพี่อให้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นของเสื่อม แต่ตัวเราเองจะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัยลงอวเจีแน่ ๆ แต่ถ้าทั่ว ๆ แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ลอดไปเถอะ คือย่างเช่นเราอยู่อย่างนี้ต้องไปลอดสะพานลอดอะไรก็ลอดไปเถอะ เราไม่มีเจตนาจะให้เสื่อม ของติดตัวอยู่ สภาพสังคมปัจจุบันการก่อสร้างมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับมัน ต้องถามหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์นี่รุ่นเดียวกับหลวงปู่ปาน
              สมัยก่อนถ้าใครเป่ายันต์เกราะเพชรไปแล้วไปให้หลวงปู่เดิมท่านสักยันต์มหากาฬให้ ท่านบอกไม่ต้องสักของดีพอแล้ว พวกสักยันต์มหากาฬไปจะขอเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปานก็บอกไม่รู้จะมาให้เสียเวลาทำไม คือพระท่านรู้กันถึงขนาดนั้น
              คราวนี้หลวงพ่อเดิมนี่ลูกศิษย์ไปถามว่า “หลวงพ่อครับ พระของหลวงพ่อถ้าผมติดตัวอยู่เดินลอดร่องเยี่ยวนี่เสื่อมไหมครับ ?” “รอดราวผ้านี่เสื่อมไหมครับ ?” คือสมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง เสร็จแล้วยังเป็นป่าเป็นดงอยู่สัตว์ร้ายมากกลางค่ำกลางคืน เขาไม่ค่อยลงกัน จะมีกระดานแผ่นหนึ่งที่เจาะช่องน่ะเรียกว่าช่องแมวลอดอะไรจริง ๆ คือเอาไว้อึไว้ฉี่ลงตรงนั้น ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็เลยเรียกว่าร่องเยี่ยว เพราะฉี่ลงร่องตรงนั้น คราวนี้หลวงปู่ท่านบอก “เอาอย่างนี้นะ ถ้ามีงูเห่าอยู่ตัวหนึ่ง เลื้อยลอดราวผ้า เลื้อยลอดร่องเยี่ยวขึ้นไปกัดเอ็งเอ็งตายไหมวะ ?” ลูกศิษย์ก็บอกว่า “ตายสิครับ” “เออ...พระข้าก็เหมือนกับงูเห่าตัวนั้นแหละ อย่างไรก็ไม่เสื่อมหรอก” แสดงว่าของท่านเป็นพุทธานุภาพ ถ้าเป็นพวกไสยศาสตร์จะมีข้อห้าม ถ้าฝืนข้อห้ามเขาเมื่อไรก็เสื่อม อย่างเช่นบางรายห้ามกินเหล้าก้นแก้วคนอื่น บางรายห้ามด่าแม่เขา บางรายห้ามลอดผ้าถุงอะไรอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นจะเสื่อม ถ้าพวกไสยศาสตร์นี่เราละเมิดข้อห้ามเมื่อไรนี่จะเสื่อมไปเลย ของพุทธศาสตร์นี่ยกเว้น ตั้งใจจะลอดให้เสื่อมถึงจะเป็น แต่เรามีโทษปรามาสพระรัตนตรัย
      ถาม :  อย่างนี้สมัยที่หลวงพ่อยังพุทธาภิเษกพระคำข้าวพระหางหมาก ลูกศิษย์ที่ไปก็ขออาราธนาพระท่าน ?
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านสอนอยู่ประจำแล้วนี่ ท่านบอกว่า “เวลาพุทธาภิเษกให้อธิษฐานว่า อานุภาพของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ พรหมเทวดาที่สงเคราะห์ลงมาจะพึงมีแก่วัตถุมงคลเท่าใด ขอให้เลือดเนื้อร่างกายทุกส่วนของเราโดยเฉพาะกระดูกมีอานุภาพเท่ากับวัตถุมงคลนั้นด้วย” ไปไหนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งพก
      ถาม :  ถ้าผมไม่ทันสมัยนั้นละครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ มันต้องอยู่ในพิธี
      ถาม :  ถ้าการอาราธนาพระ สมมติพอเราจะสวมสร้อยอาราธนาพระติดตัว ถ้ามีทิพจักขุญาณนี้เราจะเห็น ?
      ตอบ :  เห็น วัตถุมงคลทุกชิ้นมีรัศมีของเขาอยู่ ส่วนใหญ่เท่าที่มีประสบการณ์ผ่านมาคือว่า ถ้าพวกรัศมีสีเขียวสีแดงจะเป็นพวกมหาอุตม์อยู่ยงคงกระพัน ถ้าเป็นรัศมีสีเหลืองจะออกไปทางเมตตา ถ้าเป็นสีขาวหรือสีม่วงอ่อนส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคนปฏิบัติธรรมจะช่วยเสริมให้เข้าถึงธรรมได้ง่ายด้วย เพียงแต่ว่าเราจะเห็นไหม
      ถาม :  บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรมาค่ะ ถ้าเราไม่ได้อาราธนา ?
      ตอบ :  มีบ้างจ้ะ แต่ถ้าเราอาราธนานี่ท่านช่วยเต็มที่ เหมือนอย่างกับเรียกให้ช่วย กับไม่เรียกน่ะ
      ถาม :  อาราธนาอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  คำอาราธนาถ้าว่าตามแบบของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะใช้คำว่า อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด โดยเฉพาะยันต์เกราะเพชรคืออานุภาพของพระพุทธเจ้า ท่านให้สวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโนทุกวัน แต่ถ้าเวลากระชั้นเร่งรัดจริง ๆ ให้ภาวนาแค่พุทโธ ภาวนาพุทโธ พุทโธ ในใจแล้วกลืนน้ำลายขอบารมีพระท่านคุ้มครองจะคุ้มได้ทั้งวัน อาตมาเองเคยโดนผีนั่งทับอกบีบคอซะแทบตาย เราก็เอ๊ะ...ของหลวงพ่อพกอยู่เต็มกระเป๋ามันนั่งทับเลย ไปถามหลวงพ่อ “ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ?” ท่านถามว่า “เอ็งอาราธนาให้ช่วยหรือเปล่า ?” บอก “เปล่าครับ” บอก “เออ...สมน้ำหน้ามัน” ถามว่า “ทำไมล่ะครับ ?” ท่านบอกว่า “เรื่องของพระเรื่องของเทวดาท่านปล่อยวางยอมรับกฎของกรรมมากว่าเราเยอะ เราไม่เรียกให้ช่วย มันอยากเก่งนักก็ปล่อยมันจัดการเอง...!”
      ถาม :  ของหลวงพ่อทุกชิ้นต้องมีเทวดารักษา ?
      ตอบ :  เพราะการพุทธาภิเษกนี่พอถึงเวลาถ้าเราอัญเชิญถูกต้อง เครื่องบวงสรวงถูกต้อง พระคือพระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จ แต่ถ้าท่านไม่เสด็จก็จะให้พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาแทน และเมื่อท่านมาแล้วท้าวสหัมบดีพรหมกับพระอินทร์ที่เป็นของพรหม แล้วก็เทวดาทั้งหมดจะต้องมา ท้าวสหัมบดีพรหมกับพระอินทร์นี่แหละที่จะเป็นผู้แบ่งหน้าที่ให้กับพรหมเทวดาว่าใครจะเป็นผู้รักษาวัตถุมงคลชิ้นไหน ต่ำสุดต้องได้ขนาดไหน ถ้าไม่เกินวิสัยเขาขอการสงเคราะห์เรื่องอะไรต้องได้ด้วย คราวนี้ว่าเรื่องของพรหมเรื่องเทวดาท่านมีจำนวนที่เราจะนับเป็นตัวเลขยากเต็มที วัตถุมงคลต่อให้คุณทำเป็นล้านเรื่องเล็กสำหรับท่าน เฝ้ากันองค์ละชิ้นนี่ยังเหลือแล้วเหลืออีก
      ถาม :  ถ้าการใช้คาถาอาคมของหลวงปู่มหาอำพัน หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า คาถาไล่งูเอาไปลองใช้แล้วรู้สึกว่างูยังไม่ค่อยกลัวเท่าไร ใช้อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...ถ้าเพราะคุณยังกลัวงูอยู่ สรุปแล้วจบ คาถาเป็นบาทของอภิญญา คนที่ใช้ต้องมีความมั่นใจสูงมาก โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ เพราะคาถาบางบทเป็นคำพูดตลก ๆ บางบทก็ด่าหยาบคายซะไม่มี เป็นการทดสอบว่าเรามีวิจิกิจฉาในครูบาอาจารย์แค่ไหน ตัววิจิกิจฉาคือลังเลสงสัยขาดความเชื่อมั่น ขาดเมื่อไรผลจะไม่มี ต้องมั่นใจครูบาอาจารย์ว่ามาอย่างไรก็อย่างนั้น
              อย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง “อิติปิโสภควือ” ยังเสกก้อนหินกินได้เลย คราวนี้คุณมหาไปธุดงค์ด้วยดันรู้มาก บอก “ไม่ใช่ครั้ง ผมเรียนมาต้องภควา” เลยอดทั้งคู่ หลวงตาท่านหมดความมั่นใจแล้ว เสกเมื่อไรก็ยังเป็นหินเหมือนเดิม กินไม่ได้เลย อยู่ที่ความมั่นใจ นะโมพุทธาแยะก็เหมือนกันถ้าไม่มีอาจารย์เก่งนี่เจ๊งเลย เพราะท่านก็หมดความมั่นใจเหมือนกันแล้วก็ทำไม่ได้ พอหมดความมั่นใจเสกก้อนหินเป็นวุ้นกินไม่ได้ กลับมารายงานครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ “อ๋อ...ที่เขาพูดก็ถูก นะโมพุทธายะมันตัวผู้ นะโมพุทธาแยะมันตัวเมีย ใช้ได้ทั้งคู่แหละคุณ” อาจารย์เขาแก้ถูกลูกศิษย์มั่นใจก็เสกต่อได้ อิติปิโสภควือเสกหินเป็นมันเอามาเผากิน
      ถาม :  การที่เราสวดมนต์อ้อนวอนถวายอย่างหลวงปู่โลกอุดร เราสวดแล้วเราระลึกถึง บอกว่าถ้าได้ยินหรือได้สัมผัสขอให้มารับ จะสัมผัสได้ไหม ?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้แค่เราคิดอยู่มุมไหนของโลก มุมไหนของจักวาลท่านรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพระอย่างหลวงปู่โลกอุดร เป็นพระที่จบกิจแล้ว อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ท่านไม่ยุ่งแล้ว อาตมาเคยตามติด ๆ กันท่านอยู่หลายยก ถึงเวลาท่านทิ้งหายจ้อยไปเลยทุกที
      ถาม :  ท่านยังอยู่ไหมคะ ?
      ตอบ :  อยู่จ้ะอยู่ เราถามท่านว่า “เพราะอะไรตามไปจนติด ๆ ขนาดนั้นแล้วไม่ยอมให้พบ ?” ท่านบอกว่า “ไม่เคยสร้างบุญสร้างกรรมเนื่องกันมา ไม่จำเป็นจะต้องไปกวนท่านหรอก” ขอเราเองสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกับหลวงพ่อไว้มาก ก็กวนหลวงพ่อต่อไปเถอะ อะไรที่ไม่ใช่งานของท่านท่านไม่ยุ่งแล้วพระระดับนั้น แต่ถ้าท่านรู้ว่าเราทำดีท่านก็โมทนาด้วย
      ถาม :  ยุคนี้สมัยนี้ยังมีพระที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ กองอย่างหลวงพ่ออีกไหม ?
      ตอบ :  ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ยิน ส่วนใหญ่ถนัดอย่างเดียว ถนัดอย่างเดียวนี่มีปัญหา อาจารย์ไม่มีปัญหาหรอก มีปัญหาในหมู่ลูกศิษย์ไปทะเลาะกัน อาจารย์มึงสอนอย่างนั้นถูกอาจารย์กูสอนอย่างนี้ผิดอะไรอย่างนั้น แล้วก็มีปัญหากันไปเรื่อย ๆ กลายเป็นเอากิเลสไปชนกัน แทนที่ต่างคนต่างสร้างความดีก็เลยกลายเป็นทะเลาะกัน
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  ที่ราชบุรีมีไข่งูจงอางเป็นแก้ว ประกาศขายเจ็ดล้านบาท สอบถามประวัติอยากเหยียบคอต่อคนประกาศขาย สวยจริง ๆ นะเป็นสีเขียวใส ๆ ส่องดูข้างในเห็นตัวงูเล็ก ๆ ด้วย ประเภทที่เห็นรู้เลยว่าใช่ของแท้แน่นอน ปรากฏว่าคนที่ประกาศขายนี่ได้มาจากพวกหาของป่า พวกหาของป่านี่จะเอามาส่งที่บ้านนี้ประจำ คราวนี้พอวางกระสอบก้มลงไข่งูร่วงปั้กจากกระเป๋าลงมา เขาหยิบขึ้นมาดู พอเห็นปั๊บก็รู้ว่าของดี ถามว่า “ได้มาจากไหน ?” บอกว่า “วันนี้ไปหาของป่าเจองูจงอางใหญ่ตัวหนึ่ง ตายเน่าจนโทรมแล้ว เห็นอะไรที่แว๊บ ๆ อยู่แถวหัวงูก็ดู ปรากฏว่า มันอมอยู่ในปากก็เลยเอามา” ถามว่า “จะขายไหม ?” บอกว่า “ถ้าจะเอาคิดห้ารอ้ย” แล้วมันต่อสามร้อยบาท ต่อสามร้อยบาท เขาก็ให้แล้วมันมาประกาศขายเจ็ดล้าน น่าฆ่าไหม บอกขอห้าร้อยเป็นเรารู้ดีขนาดนั้น เราก็ให้เป็นพันไปหมดเรื่อง นี่ยังอุตส่าห์ไปต่อเหลือสามร้อย น่าเตะมากเลย
              พวกไข่ลูกยอดของงูจงอางจริง ๆ มีอานุภาพอยู่แล้วตอนนี้เป็นแก้วเลยนะ เรื่องพลังงานธรรมชาติที่ลงจับวัตถุบางอย่างพอจับเข้าไปแล้วเปลี่ยนสภาพของมัน จากที่เปื่อยสลายได้ง่ายกลายเป็นอยู่ยงคงทนขึ้นมา ลักษณะเป็นเหมือนกับหินบ้าง เหมือนแก้วบ้าง แต่โบราณเรียกเป็นแก้วทั้งหมด บางครั้งเรียกว่าคต มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ของมันอยู่ แต่จริง ๆ คือว่าถ้าดีจริงงูนั้นก็ไม่ตายหรอก แต่คราวนี้งูไม่ทราบเป็นอะไร มันตายเองถ้าหวังจะไปเอาจากรังของมันก็คงอาละวาดกันป่าแตกแน่เลย บังเอิญมันตายซะก่อน
              อาตมาเองเคยเจอสมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ฝนมามืดครึ้มไปหมด เมฆต่ำอย่างกับจะติดหัวเลย เราก็อะไรวะ จะตกก็ไม่ตกซักที ปรากฏว่าตอนกลางคืนจะไปดูข่าวที่สำนักงานของป่าไม้ ผู้ช่วยงู เขาชื่องูจริง ๆ ผู้ช่วยงูถามว่า “เอ๊ะ...หลวงพี่ครับ เสียงอะไรครับนั่นน่ะ ผมฟังมาหลายคืนแล้ว ?” เราก็ฟังดูแหมชัดเลย “เสียงจงอางฟักไข่”
      ถาม :  เสียงเป็นยังไงครับ ?
      ตอบ :  บอกไม่ถูกหรอก เหมือนอย่างกับแม่ไก่ครางกร๊อก ๆ แต่เสียงลากยาวแหลมมากเลย คนฟังเย็นน่ะ บางครั้งมันนึกสนุกขึ้นมา มันกระต๊ากเลียนเสียงไก่ได้ด้วย บอก “มิน่าล่ะ ฝนทำไมถึงไม่ตก มันฟักไข่อยู่เดี๋ยวรอหน่อย ถ้าไข่เป็นตัวเมื่อไรฝนก็ตกเอง” คือพวกนี้มีฤทธิ์อย่างหนึ่ง เรียกว่าฤทธิ์โดยวิบากรรม ภาษาบาลีเรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ ถ้าไม่มีฤทธิ์ตัวนี้ ไม่สามารถที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ เพราะเกิดฝนตกลงมาไข่ที่ฟักอยู่เน่าตายหมดอย่างนี้ พอเจอไปไม่กี่คอกก็สูญพันธุ์แล้ว เลยจำเป็นต้องมี ถึงเวลาถ้าฝนฟ้ามาก็คาบไข่ลูกยอดขึ้นมาแค่ชูขึ้นฟ้าเอง ฝนหลีกทางให้ ปีนั้นแล้งซะแทบตายกว่ามันจะไข่ แล้วมาตอนหลังโดนโยมทุบตายไปตั้งหลายตัว เป็นลูก ๆ นะ ตัวละประมาณ ๒ นิ้วมือยาวเมตรครึ่งสองเมตรอย่างนี้ คือตัวขนาดนี้ยังลูก ๆ เลย แถวนั้นอย่างแม่ ๆ ประเภทหัวเลื้อยพ้นถนนแล้วหางยังไม่ขึ้นมาเลย
              ตอนอยู่ที่เกาะมีอยู่ตัวหนึ่งจะมาอาบน้ำประจำหลังห้องส้วม เพราะช่วงนั้นน้ำจะตื้นแล้วพื้นจะเป็นกรวด ๆ น้ำใส ลงมาตัวดำปี๋เลย โตซะขนาดขวดเบียร์เขื่อง ๆ หน่อย คราวนี้เราดูไกล ๆ จะรู้ว่าเป็นจงอางเพราะจงอางเกล็ดจะนูน ๆ อย่างเปลือกน้อยหน่า ลักษณะเกล็ดจงอางจะขนาดนั้น จะเห็นชัด ๆ เลยว่าเกล็ดนูน ๆ อาจจะเป็นเพราะโบราณบอกว่าพิษมันเยอะเลยร้อน ต้องลงไปแช่น้ำอยู่บ่อย ๆ มาระยะหลังหายไป พอไม่นานก็นั่นแหละได้ยินว่าไปฟักไข่อยู่ เลยจากจุดที่มันลงแช่น้ำไปประมาณสองร้อยเมตรแค่นั้นเอง ไปทำรังอยู่ใต้ต้นไผ่ ไปฟักไข่อยู่แถวนั้น พวกของคู่บุญของสัตว์มีแปลก ๆ บางอย่าง
              อย่างพวกเขาพญาเก้ง เขาพญากระจงอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีก็มี เพราะสัตว์จำพวกกวางตัวเมียไม่มีเขา มีกวางหลายประเภทที่เป็นของต่างประเทศตัวเมียมีเขา ไม่ใช่ของบ้านเรา แถวบ้านเราอย่างกระจงก็ไม่มีเขา แต่พญากระจงจะมีเขาเล็ก ๆ สีแดงเหมือนอย่างกับพริกแก่ ๆ พวกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ยงคงกระพันยิงไม่ออก หรือพวกหมูเขี้ยวตัน เสือเขี้ยวกลวง
              มีอยู่ตัวหนึ่งอยู่แถวแม่ฮ่องสอนเชียงใหม่ เขาว่าเป็นของย่าเฒ่า ย่าเฒ่านี่เป็นเจ้าแม่ในถิ่นนั้น เป็นหมูป่าใครยิงมันไม่ได้กินหรอก ตัวนี้เหนียวจริง ๆ มันลงมากินข้าวในนายิงมันตูมตกคันนาได้ คนยิงต้องวิ่งหนีเพราะว่ายิงมันตกคันนาไปมันลุกขึ้นมาได้มันก็ไล่ขวิดเอา จะเป็นอย่างนี้ประจำแหละ คนก็เจ็บบ้างวิ่งกันจนตับทรุดบ้าง ทั้งเกลียดทั้งกลัวมัน ทำอะไรไม่ถูก
              คราวนี้ก็ข่าวมาถึงทางกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ก็เอาไรเฟิลดี ๆ ไป โอ้ว...พวกบ้านนอกมีแต่ลูกซอง มีแต่ปืนแก๊ปก็ยิงไม่เข้าน่ะซี้ เขาว่าอย่างนั้น ตัวเองเล่นไรเฟิล ๓๗๕ ขนาดยิงช้างได้ ไปยิงตู้มเดียว ตีลังกาพลิกลงห้วยไปเลย วิ่งกรูกันเข้าไป คราวนี้ตาลีตาเหลือกกระจายไปคนละทางเพราะมันลุกขึ้นมาได้มันก็ไล่ขวิดเอา แต่แล้วมันอยู่ในลักษณะที่ตายนะ มันตายจนได้แหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่อีท่านไหน เขาบอกว่า “ทุกวันพระย่าเฒ่าต้องไปเฝ้าพระอินทร์” แสดงว่าย่าเฒ่าจะต้องเป็นเทวดานะ ถ้าทุกวันพระย่าเฒ่าต้องไปเฝ้าพระอินทร์ พวกอันนี้น่ะระยำมากเลย ไม่ถือเหมือนโบราณเขา พวกบ้านนอกนี่วันพระเขาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ล่าสัตว์กัน นี่แบกปืนลุยแล้วก็ไปเจอไอ้โทนตัวนี้เข้าพอดี กำลังวิ่งข้ามถนนอยู่ พวกขับอยู่บนรถจิ๊บเลยใช้ไรเฟิลยิง ดวงมันซวยจริง ๆ เลยย่าเฒ่าคงจะไม่คุ้ม ยิงตัวมันอาจจะไม่เข้า เข้ารูหูพอดีตาย ตกลงว่าไอ้โทนเก่งแค่ไหนมันก็ตาย ลักษณะนั้นน่ะ ถ้าถึงที่ตาย
      ถาม :  หลวงพ่ออุตตมะเป็นพระโพธิสัตว์ ?
      ตอบ :  เคยเป็น ง่ายไหม ใช้คำว่าเคยเป็น คือตามที่อาตมาดันรู้มา ตอนนี้ท่านเป็นพระที่ถึงที่สุดแล้ว ต้องใช้คำว่าเคยเป็น
      ถาม :  .................................
      ตอบสักกะเทวราช คือท่านปู่พระอินทร์ เราลูกหลานพระอินทร์ ในเมื่อท่านบอกว่า “เจ้าผู้เป็นเชื้อสายสักกะเทวราช เราจะสงเคราะห์เจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” พอเห็นท่านทรมานมาก ๆ ร่างกายไม่ไหว เพราะหลวงพ่ออุตตมะท่านหมดอายุแค่ ๙๐ ปีนี้ ๙๔ แล้วจ้ะ ก็จุดธูปบอกท่าน “หลวงปู่ครับ ผมไม่ถือว่าเป็นสัญญาผูกมัดหรอกครับ นิมนต์หลวงปู่ตามสบายเถอะ” ปรากฏว่าพระระดับท่านพูดอย่างไรคืออย่างนั้น ก็ยังลากสังขารมาจนทุกวันนี้ ยังเสียว ๆ อยู่ว่า งานนี้จะขอให้ท่านช่วยแล้ว แล้วท่านจะอยู่อีกกี่วัน วันเกิดของท่านเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้น่าจะมกราคมด้วยมั้ง เพราะว่ามีแปดสองหน แปดสองหนเดือนสี่จะอยู่ ๆ แถวมกราคม หลวงพ่ออุตตมะหกค่ำเดือนสาม น่าจะราว ๆ มกราคมด้วย จำไม่ค่อยได้ เพราะงานวันเกิดท่านถึงเวลาก็ไป ไม่ได้ดูวันขึ้นวันแรมอย่างไร เป็นอันว่าตัวท่านไม่มาท่านก็ต้องหาวิธีอื่นมา เพราะเราจะจัดอาสนะปูผ้าขาวรอไว้เลย จริง ๆ ไม่ว่าพระที่ไหนก็ตามท่านมีเลขา เลขาแสนรู้ รับงานที่ไหนเห็นว่ารายได้เยอะกว่าก็จะไปทางนั้น ของเรานิมนต์ก่อนนิมต์หลังเขาไม่สนใจหรอก คือถ้าบอกต้องบอกเราตอนนั้นเลย ไม่ใช่รอหลวงปู่รับปากเรียบร้อย รับใบฎีกานิมต์ไปเรียบร้อยแล้ว อีกสองสามวันค่อยบอก อยู่ในลักษณะที่ว่าถ้าไม่มีที่อี่นจริ งๆ อาจจะมางานเรา แล้วคราวนี้บังเอิญได้ที่อื่นก็โทรศัพท์มาบอกว่ามาไม่ได้เอากับมันสิ ต่อไปถ้าพวกคุณเป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จเป็นอะไรขึ้นไป อย่าให้มีเลขาระยำพันธุ์นี้ไว้นะ
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  น้ำมนต์วันงานนี่น่าสงสารมากเลย มอเตอร์ปั๊มน้ำมนต์จนกระทั่งไหม้ คนตักกันทั้งวันเลย เขาจะเอาน้ำมนต์ร้อยปีวัดบวรมา แล้วใช้มอเตร์ปั๊มขึ้นมาที่อ่าง แล้วเปิดเสียงสมเด็จพระสังฆราชสวดชินบัญชร แหม...คนอยากได้อยู่แล้วดันไปทำให้อยากยิ่งขึ้น ตักกันหัวไม่วางหางไม่เว้น ตักกันจนปั๊มไม่ไหวพังไปเลย
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เราต้องเห็นว่าเราทำไปแล้ว ถ้าไม่สามารถจะแก้ไขคืนดีได้ แล้วเรามัวไปกังวลอยู่โทษจะเกิดกับเรา อันนี้โทษเกิดกับเราถ้าใจเรากังวลอยู่ เศร้าหมองตายแล้วจะไปทุกคติ เพราะฉะนึ้น...เสียเวลากังวลอยู่กับมันทำไม สิ่งดี ๆ ที่ควรจะทำมีอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ นั่งจับภาพพระภาวนาไปก็ดีกว่า แทนที่จะไปนั่งคิดฟุ้งซ่าน สิ่งนั้นเราทำไปแล้ว ทำไม่ดีแล้ว พระท่านไม่ให้คิดถึงเรื่องเก่าที่ไม่ดี ถ้าเรื่องเก่าจะคิดให้คิดถึงบุญกุศลและความดีที่ทำมา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ในปัจจุบันนี้ให้ดีเข้าไว้ เดี๋ยวอนาคตดีเอง
      ถาม :  การที่เราจะพยายามเลี่ยง ๆ โดยลักษณะที่ว่าไม่เป็นการโกหกได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  การโกหกที่ผิดศีลจริง ๆ คือหลอกลวงผู้อื่นแล้วผลประโยชน์ของการหลอกลวงนั้นตกอยู่กับเรา แล้วที่เหลือนี่บางอย่างไม่ถือว่าเป็นการโกหก อย่างประเภทเขามายืมเงินอย่างนี้ บอกว่าไม่มี ไม่มีคือไม่มีให้เธอยืม ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้ อาจจะมีใช้อยู่แปดล้านสิบล้านนั่นก็เรื่องของเรา แต่ไม่มีให้เธอยืม เพราะเธอยืมทีไรไม่มีคืนซักที
      ถาม :  การที่เราซื้อพวกซีดีเถื่อน พวกเพลงอะไรอย่างนี้ จะถือเป็นการขโมยไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เขาน่าเป็นส่วนของขโมย แต่เรียกว่าขโมยก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้ไปหยิบฉวยของเขามา เป็นการก๊อปเขามา ลักษณะนั้นอาจจะเป็นการฉ้อโกงลักทรัพย์เสียมากกว่า ไม่ใช่ขโมยตรง ๆ แต่ถามว่า ผิดข้ออทินนาทานไหม ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตก็ผิด
      ถาม :  นั่งสมาธิจะรู้สึกแบบว่าอยากอยู่คนเดียว ?
      ตอบ :  ไม่ผิดจ้ะ เริ่มจะค่อย ๆ ปกติ คือพอเราปฏิบัติไปซักพักหนึ่ง จะรู้สึกว่าโลกนี้วุ่นวาย อยากจะอยู่คนเดียวเริ่มปกติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าถ้าต้องการเข้าสู่หนทางของความบริสุทธิ์ เป็นทางของคน ๆ เดียว หลายคนเมื่อไรมันยุ่ง
      ถาม :  พรหมเทวดามีขันธ์ห้าหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  มีขันธ์ห้าของพรหมของเทวดาเขาจัดเป็นขันธ์ห้า เพราะห้าคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพียงแต่ของเขาเป็นรูปที่เป็นทิพย์ เวทนาที่เป็นทิพย์ สัญญาที่เป็นทิพย์ สังขารที่เป็นทิพย์ วิญญาณที่เป็นทิพย์ ถ้าอย่างนั้นเรียกว่ามีขันธ์ห้า แต่เป็นขันธ์ทิพย์ การมีขันธ์หรือไม่มีขันธ์นี่ไม่มีปัญหา มีปัญหาตรงที่ไปยึดหรือเปล่า ถ้าไปยึดจะเป็นขันธ์ทิพย์หรือขันธ์หยาบเดี๋ยวของเราก็เจ๊งทั้งคู่
      ถาม :  การจุติล่ะครับ แล้วระยะเวลากำหนดอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับระยะบุญของตัวเอง การจุติของเทวดาประกอบไปด้วย อาหารขัย อาหารหมดลง โกรธาพลขัย เกิดจากความโกรธ ถ้าโกรธเมื่อไรไฟทิพย์จะเผาทำให้ขันธ์ทิพย์นั้นสลายตัว แล้วก็มีอายุขัย หมดอายุ อย่างเช่นมีอายุอยู่ข้างบนได้ ๒๐๐ ปีทิพย์ ถ้าครบ ๒๐๐ ปีทิพย์ก็เดี้ยงเลย อยู่ต่อไม่ได้แล้วถ้าไม่ได้ต่อบุญไว้
      ถาม :  พระโพธิสัตว์ต้องลงมาจุติ ถ้ายังไม่ถึงอายุสังขารลงมาได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ลงมาได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมีเทวดาผู้ใหญ่รับรองการลงมา เทวดาผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ที่ให้การรับรองก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ ลักษณะที่ว่าลงมาแล้วอย่างน้อยต้องทำความดีให้ได้ ดีกว่าเดิมไม่ได้อย่างน้อยต้องให้ดีเท่าเดิม แต่ถ้าดีกว่าเดิมได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เราเองต้องตั้งหน้าตั้งตาปล้ำไปเถอะ ถ้ามันไม่ได้เท่าเดิมเมื่อไรขึ้นไปก็โดนกระอักแน่
      ถาม :  จำเป็นต้องอยู่ชั้นดุสิตเหมือนพระโพธิสัตว์ ?
      ตอบ :  พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นจ้ะ ผู้ที่อยู่ชั้นดุสิตประกอบไปด้วย ๑. พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่เป็นอย่างน้อย ๒. ผู้ที่เป็นพุทธบิดา พุทธมารดา ๓. พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะอยู่ชั้นดุสิตเป็นปกติ แต่ขณะเดียวกันพระโพธิสัตว์ถ้าอยู่ชั้นดุสิตบางครั้งระยะเวลาจะช้าเกินไป ท่านก็เผ่นไปอยู่พรหม เพราะส่วนใหญ่กำลังของฌานช่วยอยู่ ไปอยู่พรหมแป๊บเดียวเวลาข้างล่างผ่านไปเยอะ เพราะช่วงความหยาบความละเอียดต่างกันมาก เลยกลายเป็นว่าเดี๋ยวเดียวก็ได้ลงไปเกิดใหม่ แต่ถ้าอยู่ชั้นดุสิตแล้วนาน
      ถาม :  ถ้าพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตแล้วลาพุทธภูมิ ?
      ตอบ :  ลาพุทธภูมิคราวนี้ก็ไปตามกำลังของตัวสิ
      ถาม :  เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ ลาพุทธภูมิแล้วส่วนใหญ่จะเข้าเป็นสาวก มีอยู่รายเดียวที่เห็นว่าลาแล้วเป็นอัครสาวก คือหลวงปู่ธรรมชัย