ถาม: ...........................
ตอบ : เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ กับองค์ที่ ๑๑ นี่ พระองค์ที่ ๑๐ ท่านมาก่อน คือตอนช่วงหนุ่ม ๆ หลวงพ่อท่านยังรับกิจนิมนต์เทศน์ทั่วราชอาณาจักรแบบนั้นน่ะ คราวนี้มีงานหนึ่งเจ้าภาพที่นับถือคุ้นเคยกันเขาจะทำบุญบ้าน บ้านเขาอยู่ราชบุรี ก็นิมนต์พระเก้าองค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีเป็นหัวแถว หลวงพ่อท่านก็นั่งท้ายสุด แต่พอไปถึงบ้านเจ้าภาพ ปรากฏว่ามีพระหนุ่ม ๆ องค์หนึ่งอายุประมาณสักสามสิบนั่งอยู่ก่อนแล้ว โดยปกติแล้วพระเขานับกันตามพรรษา ท่านเจ้าคณะจังหวัดอายุ ๗๐ กว่าแล้วอย่างขี้หมู ขี้หมาไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าสิบพรรษา แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดท่านเป็นพระดี ในเมื่อท่านเห็นพระหนุ่มท่านไม่ถอย ท่านก็นั่งต่อมา ท่านไม่ถือตัวนี่ เขาคิดว่าอาวุโสกว่าเรานั่งต่อมาก็ได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองใหญ่คับจังหวัด
พอถึงเวลาสวดมนต์เสร็จ โยมเขาถวายอาหาร ตอนนั่งฉันอาหารอยู่ ท่านสงสัยขึ้นมาก็ถามว่า คุณบวชนานหรือยังครับ ? พระองค์นั้นท่านยิ้ม ๆ ท่านล้วงใบสุทธิให้ดู ปรากฏว่าใบสุทธิน่ะบวกลบพรรษาพ.ศ.แล้วออกมา ๓๐๐ กว่าปี ใบสุทธิพระออกครั้งแรกปี ๒๔๘๐ แล้วจะเอาใบสุทธิที่ไหนมา ๓๐๐ กว่าปีที่แล้ว ท่านเจ้าคณะจังหวัดพอเห็นก็อึ้ง แต่ลักษณะที่ท่านจะมาหลอกเราท่านจะหลอกได้สนิทมากเลย คือเรานึกไม่ถึง
คราวนี้พอท่านเจตนาจะหลอกท่านเจ้าคณะจังหวัด แม้สงสัยแต่ท่านไม่พูด เมื่อไม่พูดตอนเลิกงานรับไทยธรรมเสร็จให้พรโยมเสร็จ ต่างคนต่างก็ลากลับ ท่านก็เดินลงบันไดไป หลวงพ่อสงสัยมาตั้งแต่ยกแรกแล้ว ท่านบอกพอได้ยินเสียงท่านตั้งนะโมให้ศีลอะไรนี่ เสียงเพราะเหลือเกิน ท่านบอกว่าลักษณะของเสียงเป็นลักษณะแบบที่บาลีบอก ท่านบอกว่าบาลีจะมีบอกว่าพระพุทธเจ้ามีสิ่งที่คนชอบใจทั่วไปสี่อย่างคือ รูปัปปมาณิกา คือมีรูปเป็นที่ชอบใจ ประกอบไปด้วยลักษณะเด่น ๆ ที่ดีที่สุดเท่าที่คนจะพึงมีได้ ๓๒ อย่าง แล้วยังมีลักษณะย่อยอีก ๘๐ อย่าง เรียกว่าเป็นผู้ชายที่งามสมบูรณ์ที่สุดจริง ๆ คนที่ชอบในรูปพอเห็นก็ชอบใจอีกยอ่าง ท่านมีฉัพพรรณรังสีด้วย ก็ชอบใจเป็นพิเศษ มีลูขัปปมาณิกา คือพวกชอบความเศร้าหมอง ลักษณะนักบวชเป็นผู้ละแล้วจะต้องเป็นผู้ที่ไม่แต่งตัวฉูดฉาดจัดจ้าน แต่งตัวลักษณะที่อะไรเกินไป ของท่านนุ่งห่มผ้าบังสุกุลมีความเศร้าหมองเป็นปกติอยู่แล้ว คนชอบตรงจุดนี้ก็จะชอบนะ โฆสัปปมาณิกา มีเสียงเป็นที่ชอบใจ ท่านบอกว่าเสียงจะแจ่มใสกลมกลืนเหมือนอย่างกับเสียงท้าวมหาพรหม แล้วจะมี ธัมมัปปมาณิกา มีธรรมเป็นที่ชอบใจ ท่านบอกพอได้ยินเสียงนึกถึงคำว่า โฆสัปปมาณิกา คือมีเสียงเป็นที่ชอบใจขึ้นมา เสียงท่านกังวานแจ่มใสไพเราะจริง ๆ บาลีอักขระทุกตัวชัดเปรี๊ยะเลย
หลวงพ่อท่านสงสัยอยู่แล้ว พอเดินลับไป ก็ถามโยมที่เป็นเจ้าของบ้านที่คุ้นเคยกัน โยมไปนิมนต์พระองค์นั้นมาจากไหน ? โยมแกก็อ้าปากหวอ อ้าว...! ผมนึกว่าท่านมหานิมนต์มาซะอีก คือต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งนิมนต์มาก็เลยไม่ได้สงสัย หลวงพ่อบอกเป็นเรื่องแล้ว โยมตามลงไปดูเร็ว ท่านเพิ่งจะเดินลับบันไดลงไป บ้านอยู่กลางทุ่งโล่ง ๆ วิ่งลงบันไดไปแค่นั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ไม่มีอะไรเลย หายไปเฉย ๆ แล้ว เนื่องจากว่านิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านเพิ่มมาอีกองค์หลวงพ่อเลยเรียกว่าพระองค์ที่ ๑๐
คราวนี้พอท่านเป็นพระองค์ที่ ๑๐ พวกเราฟังแล้วก็เออ...ลักษณะพระที่ไม่มีตัวไม่มีตน เวลามาสงเคราะห์ยังมาได้อย่างนี้ แต่คราวนี้พองานน่าจะเป็นช่วงก่อนงานประจำปี ๒๕๒๘ ต้องบอกว่างานเสาร์ห้าแต่ว่าหลวงพ่อไม่ได้ประกาศเป่ายันต์เกราะเพชรอย่างเป็นทางการ แต่ท่านทำพิธีพุทธาภิเษกแล้วก็มีการเป่ายันต์เกราะเพชรประเภทไม่เป็นทางการ คือใครไปก็บอกให้รู้ว่าทำให้นะ พระท่านสงเคราะห์
หลวงพ่อท่านบอกว่า ช่วงงานประจำปีนี่ พระองค์ที่ ๑๐ ท่านจะมาสงเคราะห์ พวกเราก็ดีใจกันใหญ่ หลวงพ่อท่านบอกให้ว่า ท่านจะมารูปร่างลักษณะอย่างไร มีตำหนิตรงไหน มีหลวงตาลามาลักษณะรูปร่างสูงใหญ่ผมขาวประปราย หลวงตาบุตรมารูปร่างผอมเกร็งผิวดำคล้ำ พวกเราก็จำลักษณะเอาไว้
คราวนี้พอมาถึงงานประจำปีเดือนมีนา หลวงพ่อท่านเพิ่งเริ่มประกาศงานประจำปีตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ เป็นปีแรก คือท่านตั้งใจจะทำบุญไปเรื่อย ในลักษณะที่ทำให้เป็นประจำทุกปีไป ปี ๒๕๒๗ หลวงพ่อท่านรับสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ ในเมื่อท่านตั้งใจว่าจะทำเป็นบุญประจำปี ก็ประกาศงานบุญประจำปีเดือนมีนาว่าเป็นงานฉลองตำแหน่งท่าน คือฉลองพัดยศ คนที่มาถ้าเป็นทางสายพระด้วยกันจะคิดว่าเออ....หลวงพ่อฉลองพัดยศ คือจริง ๆ หลวงพ่ออยากให้ลูก ๆ มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ประจำทุกปี คือท่านจะนิมนต์พระดี ๆ มาทีตั้งหลายต่อหลายองค์ด้วยกัน โดยเฉพาะพวกบรรดาสายปกครองนี่มากันทีห้าสิบหกสิบองค์ ท่านเลยประกาศว่าเดือนมีนาสัปดาห์ที่สาม เพราะส่วนใหญ่อาทิตย์แรกจะอยู่กรุงเทพฯ อาทิตย์ที่สองก็เตรียมงาน อาทิตย์ที่สามก็จัดงาน ท่านกะว่าอาทิตย์ที่สามเดือนมีนาทุกปีจะให้เป็นงานประจำปี
คราวนี้ท่านบอกว่างานนี้พระองค์ที่สิบจะมา โอ้โฮ...พวกเราตื่นเต้นกันนอนไม่หลับเลย อยากเจอคราวนี้ของอาตมาเองตามปกติคือถ้ามีงานหลวงพ่อนี่จะไปก่อนงาน ๒ วัน ไปช่วยจัดงานทำความสะอาดจัดสถานที่ เสร็จแล้วก็กลับหลังงานวันหนึ่ง คือเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยถึงได้กลับ คราวนี้ของเราไปก่อนล่วงหน้า ๒ วัน แต่ละวันก็ทำงานหัวทิ่มหัวตำ เสร็จแล้วตอนเย็น ๆ เลิกงานก็ไปเดินตระเวนหา เพราะช่วงก่อนงาน ๒ วันพระอาคันตุกะเริ่มมาแล้ว ตอนนั้นวัดเรายังมีมีตึกรับแขกกับตึกที่พักสงฆ์ ทางด้านฝั่งวัดเก่านี่จะมีแต่อาคารพัง ๆ อาคารเก่า ๆ พัง ๆ ที่เป็นรุ่นเก่าของวัดแท้ ๆ เลย ตั้งแต่แรกที่ยังไม่ได้ซ่อมยังไม่ได้อะไรมันก็โย้ไปเย้มา แล้วมีป่าช้าอยู่ พวกตึกรับแขกใหม่ พวกหอฉันพวกอะไรด้านนี้ยังไม่มีเลย ยังเป็นป่าไผ่อยู่ซะเยอะ พวกเราก็ไปเดินหาพระท่านจะปักกลดอยู่ในนั้น ก็ไปในลักษณะที่เลาะดูทีละคนว่ามีลักษณะอย่างที่หลวงพ่อท่านว่าไหม ถ้ามีเมื่อไรจะได้โดดคว้าไว้ก่อน
คราวนี้ตอนนั้นมีศาลาไม้สักอยู่หลังหนึ่งเก่า ๆ จะอยู่เยื้อง ๆ หน้าโบสถ์เก่าทางด้านหลังที่สอง ต้องใช้คำว่าหลังแรกเพราะว่าหมดสภาพแล้ว แล้วหลังที่สองนี่ทรุดโทรมหน่อยหนึ่ง คราวนี้มันเยื้อง ๆ อยู่ ถ้าหันหน้าลงหาแม่น้ำจะอยู่ซ้ายมือ หลังจากนั้นปีหนึ่งโนไฟไหม้ไป คราวนี้มีพระปักกลดอยู่บนศาลาเก่า ๆ หลังนั้นหลายองค์ ก็ขึ้นไปคุยกันหลายองค์ ชอบใจบางองค์เหมือนท่านคุยดี แต่พระที่เราต้องการหาไม่ใช่ลักษณะอย่างนี้ก็เดินลงมา ตอนที่เดินลงมานั่นแหละ พระองค์ที่สิบท่านนั่งอยู่ตรงหน้าโบสถ์เก่านั่นน่ะ นั่งตัวตรงลักษณะห้อยเท้าอย่างนี้ แล้วมีลูกศิษย์อยู่สามคน แปลกใจมากตรงที่เราเองไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วระยะนั่นจากศาลาลงไปตรงหน้าโบสถ์แค่สิบกว่าเมตรเท่านั้นเอง แต่ไม่เห็นท่านหรอก เดินเลยไป พอเดินเลยไปหน่อยเหมือนมีกำลังอะไรบางอย่างฉุดให้เท้าเลี้ยวกลับเอง พอเลี้ยวกลับมาก็เห็นท่านนั่งตัวตรง อ้าว...แล้วเมื่อครู่เราเดินผ่านไปได้อย่างไรไม่เห็นเลย เข้าไปถึง
คราวนี้ความคิดสมัยนั้นน่ะ ยังไม่ได้เจอดีมายังไม่รู้ ก็คิดว่าพระหนุ่ม ๆ คงไม่มีอะไรหรอก เข้าไปถึงก็กราบ ๆ อย่างเสียไม่ได้ ท่านว่า เธอมาจากไหนหรือ ? เชื่อไหมว่าพวกที่ไปด้วยเขาได้ยินประโยคนี้ก็สะดุ้งกันหมดแล้ว แต่เราเองไอ้ตอนนั้นประเภทคิดจะหาเรื่องอยู่แล้ว หลวงพี่จะเอาอย่างไรละครับ ถ้าจากบ้านก็มาจากพระโขนง ถ้าจากวัดผมาจากฝั่งตรงข้ามโน่น (หัวเราะ) ท่านบอกว่า เธอนี่รวนฉันก่อนนะ เอาเถอะไม่เป็นไรหรอก นี่ขอถามอีกที แล้วเธอจะไปไหน ? คราวนี้ข้างหลังเหงื่อแตกพลั่กเลย เธอมาจากไหน ? เธอจะไปไหน ? ถ้าใครอ่านธรรมบทนี่ชัด ๆ เลย เป็นที่พระพุทธเจ้าท่านถามเปสการีธิดา แต่ก็อย่างว่าถ้าท่านเจตนาจะหลอกเราจะบังมิดสนิทชนิดที่เรียกว่าเรานึกไม่ถึงเลย ก็บอกว่า ผมมาหาพระดีครับ แล้วท่านถามว่า แล้วเจอไหมล่ะ ? บอกไม่คิดว่าจะเจอหรอกครับ คือความคิดของเราคือว่าพอ ทันทีที่เรานั่งลงก็ใช้เจโตปริยญาณดูท่านแล้วมืดสนิทเลย มองอะไรไม่เห็นเลย ในเมื่อมองอะไรไม่เห็นเลยก็เหมาเอาว่าท่านไม่ใช่พระดี ตอนหลังหลวงพ่อท่านชมว่าโง่มาก ท่านบอกว่า เอ็งจำไว้เลย คนที่จะดูใจเขาได้ ดูได้แค่ระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น ถ้าคนที่เขาสูงกว่า ถ้าตั้งใจปิดไม่มีทางได้เห็นหรอก คราวนี้ท่านปิดซะสนิทเลย เราเลยไปรวนท่านบอวก่า ไม่คิดว่าจะเจอหรอกครับ คือใจดำปี๋ของท่านนี่ไม่ใช่พระดีแน่ ๆ ท่านก็ชวนคุยด้วย
คราวนี้ไปกันเรื่อยยิ่งไปยิ่งสะดุดใจ คราวนี้ไปสะดุดใจหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านพูดเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับคนทั่ว ๆ ไป คราวนี้ท่านพูดเป็นธรรมชาติมากจนกระทั่งเราเชื่อว่าเป็นไปได้จริง ๆ อย่างเช่น ฉันมาหาฤๅษีเขาประจำ แต่เธอไม่ได้เห็นหรอก ท่านว่าอย่างนี้ ท่านบอกว่า ฉันเป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์อยู่ พวกนี้ชวนให้ประเภทสงสัย
คราวนี้อันสุดท้ายพอคุยไปคุยมาเรื่องเกี่ยวกับธรรมะไปเรื่อย ๆ เราก็ย้ำถึงเรื่องที่ว่าถ้าพระปฏิบัติ ท่านถามว่า ทำไมไม่บวชล่ะ ? บอกกับท่านว่า ถ้าพระปฏิบัติไม่ดีโทษเยอะมาก อาจจะต้องลงนรก คราวนี้ท่านถามประโยคหนึ่งท่านบอกว่า เอาอย่างนี้นะ ถ้าอาตมาลงนรกนี่ ถ้าโยมช่วยได้โยมจะช่วยไหม ? บอกว่า ถ้าความสามารถของผมถึง ผมจะช่วยครับ แต่ถ้าผมลงนรกน่ะ แล้วหลวงพ่อจะช่วยผมไหม ? ของเรานี่แลกคนละหมัดอยู่ตลอดเวลา ข้างหลังมันมาก ท่านก็บอกว่า เอ๊ะ...โดยปกติทั่ว ๆ ไปอาตมามีหน้าที่แค่สอนเขาเท่านั้นไม่ได้มีหน้าที่ช่วยใครนะ ตรงนี้ฟังแล้วสะดุดหูชัดมากเลย บาลีว่า อักขากาโร ตถาคตา ตถาคตมีหน้าที่เป็นผู้บอกเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ไปเคี่ยวเข็ญให้ใครทำ ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยใคร
แต่คราวนี้ประเภทว่าไม่เชื่อ เป็นไปได้อย่างไรเห็น ๆ อย่างนี้ คุยกับท่านจนกระทั่งสองทุ่มกว่า ฝนเริ่มตกท่านก็บอกว่า เอาเถอะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ อย่าทำให้พระลำบากเลย ถ้าเราทำให้พระลำบาก ต่อไปเราต้องลำบากด้วยนะ เราบอกว่า แล้วหลวงพี่พักที่ไหนละครับ ? ท่านบอกว่า แถว ๆ นี้แหละ บอกว่า ที่ผมถามนี่ไม่ใช่ผมจะมากวนหรอก แต่ผมมีหน้าที่จัดหาอาหารถวายพระ ถ้าหลวงพี่พักอยู่แถว ๆ นี้ ผมจะได้เอาอาหารมาถวายด้วย ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมีคนมาเลี้ยงเองแหละ เราก็ลากลับ คราวนี้คนอื่นสงสัยกันทุกคน แต่มันไม่พูดเงียบกันหมด ปล่อยให้เราโง่อยู่คนเดียว
พอรุ่งเช้ามีหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอพระท่านเข้าสวนไผ่เราก็ประเคนเรียบร้อยหมดทุกองค์เสร็จประมาณ ๓๐ กว่าองค์นะ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศตอนนั้นเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ ลงไปนั่งฉันก๋วยเตี๋ยวกับพระด้วยกันนั่นแหละ พวกแม่ครัวเตรียมชุดเครื่องแก้วไปทั้งชุดจะไปถวายท่านหาไม่เจอหรอก มาเจออีกทีอยู่สวนไผ่ พระผู้ใหญ่ที่ไม่ถือตัวลงไปฟาดก๋วยเตี๋ยวกับพวกเราเฉยเลย
คราวนี้พอประเคนเสร็จเรียบร้อยนึกได้ก็บอกกับพี่ปทุมแม่ครัววัด ตอนหลังท่านเป็นมะเร็งตาย บอกว่า พี่ครับ มีพระองค์หนึ่งอยู่ตรงฝั่งโน้นอยู่กับลูกศิษย์ ไม่เห็นท่านมาฉัน อย่างไรขออาหารไปถวายท่านบ้างนะครับ ท่านบอกว่า เอาสิ ลูกศิษย์กี่คนล่ะ ? บอก เห็นลูกศิษย์นั่งอยู่ ๓ คนรวมท่านด้วย พี่ปทุมเลยจัดเป็นก๋วยเตี๋ยว ก็เป็นน้ำ ๔ แห้ง ๔ ใส่ถาดได้พอดี คราวนี้ใส่ถาดก็วางตะเกียบไว้บนปากชาม แล้ววางช้อนไปอีก ๔ แล้วยกไป เดินไปจนถึงศาลาเก่าก็ขึ้นไปบนศาลาหาจนกระทั่งทั่วไม่มีท่าน ไปอยู่ไหนวะ ? พอลงไปข้างล่างท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านที่เราเพิ่งเดินผ่านไปนั่นแหละ เดินอยู่ตรงนั้นน่ะจนกระทั่งเห็นรอยเท้าเดินเป็นร่องเลย ตอนเราเดินผ่านไม่เห็นท่านหรอก คือท่านทำให้เราสะดุดใจตั้งหลายต่อหลายครั้ง ตอนนั้นโง่จริง ๆ ไม่ได้นึกสงสัยเลย ในเมื่อเห็นเข้าก็ หลวงพี่ครับ ผมเอาอาหารมาแล้วนะครับ ผมวางไว้บนอาสน์สงฆ์นี่ ถ้าหลวงพี่จะฉันเมื่อไร หาคนมาประเคนเอานะครับ ท่านบอก ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวคนประเคนก็มา เราก็เอ้า..ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร เราก็วิ่งไปช่วยหลวงพ่อที่ศาลา ๒ ไร่ ช่วงนั้นพอดีพวกพลโทพิจิตร กุลละวนิชย์ พลโท เทียบ กรุมสุริยศักดิ์ ตอนนั้นท่านเป็นแม่ทัพภาคท่านก็มากัน เรามีหน้าที่แจกหนังสือฉลองสมณศักดิ์หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็แจกวัตถุมงคล แจกไปแจกมาได้สักพักใหญ่ ๆ มีเพื่อน ๒ คนนี่ลูกสาวเจ้าของบ้านนี่เจ้าติ๋ว แล้วอีกคนก็แมมมี เขาเป็นพยาบาลทหารอากาศทั้งคู่ เขามาถึงก็ประเภทอยู่ใกล้ ๆ เออ...ช่วยกัน เขาส่งมาเราก็รับต่อใช่ไหม คราวนี้พี่สุนันท์เป็นอาจารย์อยู่ มาถึงก็ เล็ก ๆ มีคนเจอพระองค์ที่ ๑๐ แล้วนะ เราก็ เจอที่ไหนละครับ ? ทางฝั่งวัดเก่าโน่นน่ะ บอกว่าลักษณะหน้าตาอย่างนี้ ๆ เราก็ เอ้ย...! องค์นี้ไม่ใช่ละมั้ง เมื่อคืนนี้ผมคุยด้วยมาเกือบทั้งคืนแล้ว ท่านบอกว่า ใช่ ยืนยันว่าใช่แน่ทุกคนที่ไปทดสอบนี่เจอดีหงายท้องลงไปตาม ๆ กันเลย โดยเฉพาะหลวงตาวัชรชัย หลวงตาวัชรชัยเห็นท่านเดินจงกรมเท้าท่านลอยพ้นพื้นมาเป็นศอก ในเมื่อทุกคนยืนยันอย่างนั้น เราก็หันมาชวนติ๋วกับแมมมีไปด้วยกัน คว้าแขนได้ก็วิ่งข้ามฝั่ง ลากเพื่อนมาทำงานแทนได้ก็เปิดแนบว่างั้นเถอะ
พอไปถึงปรากฏว่าท่านไปนั่งอยู่บนหอกลองเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหอฉันใหม่ หอกลองนี่มีพื้นที่ต่อกับศาลาเก่าที่ปัจจุบันเขาบูรณะเอามาไว้ใช้งาน คนเข้าแถวยาวเหยียดเลยเข้าไปทำบุญกับท่าน ท่านก็เอาถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่วางไว้ตรงหน้า คนก็เอาสตางค์ไปใส่ไปกราบไปไหว้ท่านกัน ท่านก็ให้พรอยู่เราก็โฮ้โฮ...แถวก็ยาวอยู่คนก็เยอะ ทางที่หอกลองมาต่อกับศาลาใหญ่ก็แคบ ๆ เข้าได้คนเดียวอย่างนี้ มองซ้ายมองขวาเห็นต้นมะม่วงพรึบเดียวขึ้นต้นมะม่วงหย่อนลงไปตรงหน้าท่านนั่นแหละ ท่านหันมาบอกว่า เป็นอย่างไร เพิ่งมาหรือ ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ เราก็ เอ๊ะ..นึกจะมาเล่นตัวอะไรตอนนี้ละหว่า กำหนดใจดูอีกครั้งหนึ่งคราวนี้แปลก เห็นแสงเหมือนยังกับกรวยพุ่งตรงมาที่ตัวท่าน เราก็เมื่อวานทำไมไม่มี แล้ววันนี้มีได้อย่างไรหว่า ? ท่านคุยกับญาติโยมไปบอกว่า โยมเอ้ย...จะทำบุญก็ทำนะ แต่พวกที่คิดว่า ตาดีอย่าไปดูเลย เมื่อคืนนี้แว่นแตกกันมาแล้วใช่ไหม ? เราก็ เอ๊ะ...! นี่ว่ากูนี่หว่า พอดีว่าท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์) ขึ้นไป ท่านเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ เรื่องของตำแหน่งไม่ได้ไปคิดหรอก ท่านเรียกท่านเจ้ากรม ๆ กันมานาน ขึ้นไปกับพี่ปี๊ด พี่ปี๊ดชื่อกัลยาณี พี่ปี๊ดถือกล้องไปด้วยเราก็คว้าหมับเลย ขอผมเดี๋ยวผมถ่ายรูปให้ พอท่านเจ้ากรมกับพี่ปี๊ดกราบไปเราก็ถ่ายรูป พอยกกล้องขึ้นเราก็อธิษฐานในใจ บอกว่า ขอนุญาตถ่ายรูปครับ ท่านหันกลับมาบอกว่า พูดดัง ๆ คนอื่นจะได้ยินบ้าง คิดในใจนะว่าขออนุญาตถ่ายรูปครับ ท่านหันมาบอกพูดดัง ๆ คนอื่นจะได้ยินบ้าง เราก็เลยต้องพูดดัง ๆ ว่า ขออนุญาตถ่ายรูปนะครับ เออ...ถ่ายไปเถอะ
พอถ่ายรูปเสร็จก็ถอยมานั่งมอง มองแล้วมองอีกเป็นไปได้อย่างไรวะ พระองค์ที่สิบหลวงพ่อท่านบอกว่า คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คนตายแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีมาเป็นเนื้อ ๆ อยู่ต่อหน้าต่อตาเรา แล้วมานั่งคุยกับเรานี่น่ะหรือ คิดอย่างนั้นในเมื่อคิดอย่างนั้นท่านก็หันมาบอกว่า ไม่แน่ใจก็จับดูสิ คือเราคิดอะไรไว้ในใจนี่ท่านพูดต่อได้หมด คราวนี้ท่านก็รับของท่านไปเรื่อย เงินก็เยอะขึ้น ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องทำบุญน่ะ ทำกันจนตายไปข้างหนึ่ง เรานึกในใจว่าปกติพระดีมาทำบุญกับหลวงพ่อ เห็นแต่รวบรวมเงินไปถวายหลวงพ่อหมด ไม่เห็นมีใครเก็บไว้เป็นของตัวเอง เราก็เดี๋ยวเถอะ รวบใส่ย่ามเมื่อไรน่ะอัดให้เข็ด นึกอยู่ในใจท่านบอก ไม่มีทางได้กินหรอก (หัวเราะ) คือเราคิดอะไรในใจนี่ท่านพูดได้หมด ก็นั่งมองไปเรื่อย จนกระทั่งเกือบสิบเอ็ดโมง ท่านบอกว่า เธอลงไปกั้นคนไว้หน่อยซิ บอกว่าเราจะพักไปฉันเพล คราวนี้เราต้องไปขอร้องญาติโยมทั้งหลายบอกว่า ท่านขออนุญาตหยุดพักเพื่อจะไปฉันเพลนะ ขอให้ทุกคนรอสักครู่หนึ่ง ฉันเพลแล้วค่อยมาทำบุญใหม่ ก็กั้นคนออกไป ท่านบอกว่า ไหนล่ะก๋วยเตี๋ยวของเธอ ?
ถาม : (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : คราวนี้พอท่านลุกไปฉันเพล ของเราท่านบอกว่าของตรงหน้าเอาไปแบ่ง ๆ กัน คือมีคนถายเป็นวัตถุมงคลหลวงพ่อบ้าง แต่ปัจจัยให้รวบรวมไปถวายหลวงพ่อซะ คราวนี้พวกวัตถุมงคลนี่คนโน้นหมุบคนนี้หมับก็หมด อาตมาหยิบได้แต่ผ้าขนหนูผืนเล็กยาวประมาณแค่นี้กว้างซักประมาณคืบกว่า ๆ ก็ใส่กระเป๋าไว้ พอท่านฉันเสร็จ ท่านลุกจากตรงนั้นเดินไปที่ตรงด้านศาลาจะไปนั่งตรงนั้น เพราะที่กว้างกว่ารับคนจำนวนมากได้ คนโน้นก็ปูผ้าเช็ดหน้าให้เหยียบ คนนี้ก็ปูผ้าให้เหยียบ บางคนไม่ทันก็ถอดเสื้อให้เหยียบ ในเมื่อเรามีผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งได้มาจากท่านอยู่ก็ปูให้ท่านเหยียบบ้าง คราวนี้ตอนปูลงเราก็กราบรอท่านเหยียบนั่นน่ะ ได้เห็นชัด ๆ ว่า ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ยาวประมาณนี่นะ แล้วกว้างซักฟุตได้ เท้าท่านเหยียบลงโตเต็มพอดี เป็นไปไม่ได้หรอกเท้าคนธรรมดาจะใหญ่ขนาดนั้น คือเราดูอย่างไรเท้าท่านก็ปกติ แต่ตอนเหยียบลงบนผืนผ้านี่โตเต็มผ้าพอดี แล้วผ้าผืนนั้นนี่หลังจากที่ได้มา ถ้าเอาบูชาไว้บนหิ้งก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ก็พับ ๆ อยู่ แต่ถ้าเราคลี่ออกมาวางไว้สักพัก รอยเท้าท่านจะปรากฏขึ้นมาเหมือนกับเหยียบไว้ใหม่ ๆ แต่เป็นลักษณะอย่างนั้น
คราวนี้ตอนน้องชายเขาทำงานที่ซาอุเขาขอไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่กับใคร ตอนนั้นไถสมบัติอาตมาไปหลายอย่าง ลูกประคำที่หลวงปู่ครูบาธรรมชัยถอดจากคอสวมหัวให้ยังเอาไปเลย อาตมาเหลือแต่ตัวล่ะงานนั้นน่ะ คราวนี้เราก็เอ๊ะ...! ชักแปลกมากขึ้นเว้ย แต่พอจัดที่นั่งมีอะไรให้ท่านเรียบร้อย พอปูอาสนะเสร็จเรียบร้อยก็ขอตัวเอาปัจจัยไปถวายหลวงพ่อ คราวนี้ตอนเอาปัจจัยไปถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อถามว่า เป็นอย่างไรใครให้เอามาหว่า ? บอก หลวงปู่องค์ที่อยู่ริมน้ำครับ หลวงพ่อถามว่า นั่งอยู่ตรงไหน ? ก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ เออ...! ถ้าองค์นั้นน่ะใช่ ข้ารับรอง แต่องค์อื่นไม่ใช่นะ คือมีคนไปเจอพระมีลักษณะแปลก ๆ หลายองค์ เสร็จแล้วก็ไปรุมทำบุญกับเขาด้วย แต่มีองค์จริงอยู่องค์เดียวคือองค์นั้น ที่เหลือนี่อมเงินได้ไปแนบเลย คือสังเกตได้เลยว่าพระดีถ้าไปวัดอื่น ถ้าไม่ใช่เงินที่เขาเจาะจงถวายจริง ๆ เป็นเงินทำบุญที่ชาวบ้านเขาทำทั่ว ๆ ไปได้จากวัดไหนจะให้ไว้ที่วัดนั้น นี่เป็นลักษณะที่จำเป็นตัวอย่างได้เลย ยกเว้นว่าเขาระบุจริง ๆ ว่าให้เป็นการส่วนตัวหรือว่าให้ทำงานที่โน่นทำบุญที่นี่ให้แยกออกมา เพราะเขาทำเฉพาะ แต่ประเภททำทั่ว ๆ อย่างประเภทอาตมานั่งอยู่แล้วโยมมาถวาย ๆ อย่างนี้ มีเท่าไรถ้าอยู่ตรงไหนก็ให้เขาไว้ตรงนั้น
คราวนี้ของเรากราบลาหลวงพ่อออกมา เลยเพลไปตั้งนานแล้วก็ชักหิว กินไปนั่งสงสัยไป เป็นไปได้อย่างไรวะ คนตายไปสองพันกว่าปีมานั่งคุยกับคนอย่างนี้ ก็คาใจอยู่ ย้อนกลับไปใหม่อีกย้อนกลับไปใหม่คราวนี้ท่านย้ายไปนั่งที่ต้นโพธิ์ริมน้ำ ที่ปัจจุบันที่หลวงพ่อท่านสร้างเป็นอาคารพระองค์ที่ ๑๐ ที่ ๑๑ ที่อยู่ติดริมน้ำเลย ที่หลวงน้าอมรท่านเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ บันไดลงท่าน้ำ ท่านย้ายไปนั่งอยู่ตรงนั้น คนก็ไปหากันเยอะมาก ท่านคุยธรรมะกับเขาไปเรื่อย ๆ ธรรมะที่ท่านคุยเป็นเรื่องสั้น ๆ แต่เป็นความสั้นที่กินใจความลึกมาก ชนิดที่เราคิดได้เป็นวัน ๆ อย่างเช่นมีคนถามว่า อยากจะไปนิพพานทำอย่างไรดีเจ้าคะ ? ท่านบอกว่า รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์ เวรกรรมเลยไปเคี้ยว ๓ ปีไม่หมดหรอกแค่นั้นน่ะ คือท่านจะเป็นพระที่พูดอะไรสั้นแต่กินความลึกจริง ๆ บางคนก็ขอบารมีหน่อยเถอะค่ะ ท่านบอก เรื่องของบารมีก็คือกำลังใจ ขอกันไม่ได้หรอก ต้องต่างคนต่างทำสร้างให้เกิดขึ้นมา ถ้าขอกันได้ฉันไม่เหลือบารมีหรอก ก็คงแค่บารจนเพราะพวกเธอขอหมดแล้ว ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย คนก็ยังคงทำบุญไปเรื่อย ๆ ตอนจะกลับนะสิ ประมาณสามโมงครึ่งสี่โมงแล้ว ท่านขออนุญาตกลับ คนยังประเภทปูผ้าให้ท่านเดิน ท่านบอก เดี๋ยว...ต้องไปไหว้พระก่อนนะ ท่านก็เดินข้ามถนนจากฝั่งวัดเก่าตรงไปหน้าโบสถ์วัดท่าซุง พอไปถึงหน้าโบสถ์แล้วก็ไหว้พระ คราวนี้ท่านไหว้พระท่านไหว้แปลก ๆ คือท่านไหว้ไปทางโบสถ์แล้วหันวนขวา ไหว้ทีละทิศก็ถาม หลวงปู่ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรครับ ขออนุญาตถามครับ ? ท่านบอก เดี๋ยวก่อน ขอถามคือทำไมถึงเรียกหลวงปู่ ? บอกว่า ถ้าเป็นจริงอย่างที่ผมว่าอายุก็มากพอที่จะเรียกหลวงปู่ได้แล้วนี่ครับ ท่านบอกว่า เออ...อย่างนั้นก็จริงเนอะ ท่านบอกว่า ที่ทำอย่างนี้ตั้งใจแผ่เมตตาหวังให้สรรพสัตว์มีความสุขเสมอหน้ากันในทิศทั้งสี่ พอดีว่าทิศสุดท้ายคือทิศเหนือ ท่านหันไปเหนือก็บอกว่า ทิศสุดท้ายนี่หมายถึงตัวหลวงปู่เองใช่ไหมครับ ? ท่านบอก ไม่ใช่หรอก เธอเข้าใจผิด คือทิศสุดท้ายทิศเหนือภาษาบาลีเขาว่าอุดร เรานึกว่าเป็นหลวงปู่โลกอุดร ท่านบอกว่า ไม่ใช่หรอก
คราวนี้ท่านก็ถามว่า ท่ารถอยู่ทางด้านไหน ? บอกว่า ถ้าในช่วงวันงานท่ารถจะอยู่ที่หน้าโรงเรียนครับ คือจะมาจอดที่หน้าโรงเรียนสุธรรมยานเถระเลยแหละ พวกรถเมล์รถตู้รถอะไรแห่มาอยู่กันตรงนั้นน่ะ คือไม่ต้องไปเข้าคิวให้เสียเวลาหรอก มาจอดปุ๊บก็เต็มปั๊บ บอกว่า อยู่ทางด้านนั้นแหละครับ ท่านบอก นำฉันไปหน่อย ฉันจะกลับ อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยมพรวดเข้ามาถึง หลวงปู่จะกลับไปรถผมครับ ผมไปส่ง ท่านถามว่า เธอแน่ใจหรือว่าจะไปส่งฉันได้ตลอด ? อาจารย์ประสเริฐบอกว่า ผมส่งยันนิพพานเลยครับ เออ...ดี ทำได้อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นเอารถมา อาจารย์ประเสริฐก็เอารถมา รถของอาจารย์ประเสริฐเป็น Toyota RT100 คันเล็ก ๆ รุ่นเก่า ๆ จะเป็นรุ่นก่อนที่จะเป็น Crown 1300 เล็กเปี๊ยกเดียวแหละ เบาะท้ายนั่ง ๒ คนก็แน่นแล้ว ลูกศิษย์ท่านนั่งไป ๓ คนแล้วยังมีหลวงพี่สมาน เขาเรียกว่าสมานใหญ่ สึกไปแล้ว มีสมานเล็ก หลังจากนั้นก็สึกไปอีก หลวงพี่สมานยังเดินถือเทปอัดเสียงท่านอยู่ก็นั่งเข้าไปด้วย ก็เท่ากับว่าเบาะหลังนั่ง ๔ คน พระองค์ที่ ๑๐ ท่านนั่งประตูหน้าร่วมกับอาจารย์ประเสริฐ คือคนละฝั่งพอดี ทางด้านหลังยัดเข้าไปอย่างไรสี่คน รถนั่งสองคนก็แน่นแล้ว แต่อาตมาเห็นแต่หลวงพี่สมานนั่งอยู่คนเดียว เลยถามโยมที่ยืนอยู่รอบ ๆ ว่า ลูกศิษย์ท่านไหนใครเห็นบ้าง ? ยายติ๋วที่เดินตามอยู่ตลอด นั่นไง...นั่งอยู่นั่นยังยิ้มให้ฉันเลย ตายห่าแล้วเราเห็นอยู่คนเดียวจริง ๆ นะ คราวนี้เขาก็ไปส่ง หายไปอาจารย์ประเสริฐกลับมาสี่ทุ่มกว่า คว้าแขนสัมภาษณ์ อาจารย์ไปถึงไหน ? บอก ผมก็ไม่รู้ว่าถึงไหน ท่านหายไปกลางทางจริง ๆ ถามว่า หายไปได้อย่างไร ? ท่านบอกว่า ให้ขับไปเรื่อย ตามที่ท่านบอก แล้วก็ไปตามท่าน คราวนี้ไปถึงที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นตึกแถวริมถนน แล้วมีถนนยาวเข้าไปข้างซอกตึกลักษณะเป็นตรอกเป็นซอยอย่างนั้น บอกว่า ถนนขนาบข้างไปแล้วก็มีบ้านคนเรียงมีรั้วไปตลอด ลักษณะรั้วยาวเกือบสองร้อยเมตรได้ ท่านบอกให้จอดตรงนั้นน่ะ ท่านจะลง คราวนี้พอจอดปุ๊บ แล้วท่านลงอาจารย์ประเสริฐก็เลื่อนรถให้เลยจากตรอกหน่อยเผื่อใครเข้าออก ก็เดินไปส่งว่าท่านไปไหน ? ท่านบอกว่า ตรอกยาวเกือบสองร้อยเมตร แค่เลื่อนรถแล้วหันกลับมาไม่ถึงนาทีหรอก ท่านบอกว่า ต่อให้นักวิ่งร้อยเมตรก็ไม่พ้นสายตาแน่เลย แต่ไม่รู้ว่าท่านหายไหน ? เหลือแต่ตรอกโล่ง ๆ อยู่ ตกลงอาจารย์ประเสริฐส่งไม่ถึงจริง ๆ เลยหันมาสัมภาษณ์หลวงพี่สมาน หลวงพี่สมานครับ ตอนที่นั่งไปนั่นน่ะ ลูกศิษย์ท่านสามคนนั่งไปด้วยหรือเปล่า ? หลวงพี่สมานบอกว่า นั่งไปด้วย บอก หลวงพี่คิดดูให้ดี ๆ นะ ลูกศิษย์ท่านแต่ละคนไม่ใช่เล็ก ๆ นะ อ้วน ๆ ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แล้วหลวงพี่เองก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแล้วรถของอาจารย์ประเสริฐนั่งได้กี่คน หลวงพี่ลองคิดดูสิ เขาก็ เออ...ว่ะ ข้าว่าสองคนก็เบียดกันแล้วล่ะ เออ...แล้วยัดเข้าไปอย่างไรกัน ๔ คน เออจริง...นั่งหลวม ๆ สบาย ๆ ด้วยนะ ไม่สบายได้อย่างไร นั่งอยู่คนเดีย แต่คนอื่นเห็นลูกศิษย์ท่านสามคนนั่งอยู่ด้วย ถามหลวงพ่อว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า เห็นเอ็งโง่มาตั้งครึ่งค่อนวัน ก่อนไปท่านเลยทำให้ฉลาดซักหน่อยก่อน เสือกโง่เหมือนเดิม คือก่อนไปท่านแกล้งเอา คราวนี้ก็มีแต่ยายติ๋ว ตอนนี้เป็นนาวาอากาศตรี เป็นพยาบาลทหารอากาศอยู่โรงพยาบาลภูมิพลฯ นายนี่คุยได้เต็มปากเต็มคำเลย ถามว่า หลวงพ่อครับสามองค์นั่นเป็นใครครับ ? ท่านบอกว่า เป็นเทวดาชั้นมหาอำมาตย์ มาเพื่อรักษาพระองค์ที่ ๑๐ ท่านโดยเฉพาะ นั่งคุยกันอยู่เป็นวัน ๆ เห็นเอ็งโง่มากนัก ก่อนไปเลยทิ้งท้ายไว้ให้ฉลาดขึ้นที่ไหนได้เสือกโง่เหมือนเดิม ยายติ๋วเลยคุยได้เต็มปากเต็มคำว่า โอ้...เทวดาหรือ ฉันนั่งคุยด้วยเนื้อ ๆ อย่างนี้เลยล่ะ เป็นวัน ๆ มันคุยกับลูกศิษย์ท่านเป็นวันจริง ๆ มีการขอที่อยู่อะไรไว้ให้ด้วยนะ เขาก็ให้เอาไว้ เสร็จแล้วติดต่อไม่มีหรอก ท่านให้มั่วไปเรื่อยเหมือนกัน
|