ถาม:  จุดประสงค์ของการลงปาฏิโมกข์คืออะไรครับ ?
      ตอบ :  อันดับแรกแสดงออกซึ่งความสามัคคี เพราะว่าพระท่านจะมาโดยพร้อมเพรียงกัน อันดับที่สองเพื่อทบทวนศีลทุก ๆ ครึ่งเดือน พระที่ท่านหลงลืมว่าศีลสองร้อยกว่าข้อมีอะไรบ้างจะได้จดจำได้ อันไหนผิดพลาดจะได้แสดงอาบัติคืนได้ อันดับที่สาม ถ้ามีอธิกรณ์หรืออะไรเกิดขึ้น จะได้เคลียร์กันตอนนั้น เพราะอยู่กันครบถ้วน แล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก
              พระมหากปินะ ท่านเป็นพระอรหันต์เดินจงกรมอยู่ในป่า แหงนขึ้นมองฟ้า อ้าว...พระจันทร์เต็มดวง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ขึ้นพระอาทิตย์ยังไม่ตกนะ เคยสังเกตหรือเปล่า พระจันขึ้นมาแล้วแต่ยังไม่สว่างมาก มองเห็นได้สบาย พอท่านแหงนมองฟ้า อ้าว...พระจันทร์เต็มดวง วันนี้เป็นวันปาฏิโมกข์ ท่านก็เออ...เรากำลังเดินจงกรมภาวนาปฏิบัติธรรมอยู่ แล้วอีกอย่าง เราได้รับพยากรณ์ว่าเป็นพระอรหันต์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องไปฟังปาฏิโมกข์ก็ได้เท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหารเปล่งฉัพพรรณรังสีปรากฎเฉพาะหน้าเหมือนพระองค์เสด็จไปเอง ตรัสว่า “ดูก่อนมหากปินะ ถ้าภิกษุทั้งหลายคิดแบบเธอทั้งหมด และศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ?” นั่นขนาดเป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้ายังไม่ยอมให้เลย แล้วปุถุชนนี่ แหม...๔๐๐ มาร้อยหนึ่ง ก็ยังดีได้หนึ่งในสี่ละวะ...!
      ถาม :  หลวงพ่อสมเด็จไม่เคยขาด ท่านมาทุกครั้งปลงอาบัติด้วย ?
      ตอบ :  ครูบาอาจารย์ระดับนั้นท่านอยู่ ตัวอย่างดี ๆ มีไม่ทำ เอาแต่ตัวอย่างที่ไม่ดี
      ถาม :  ต้นไม้ประกอบไปด้วยเปลือกกระพี้คือเนื้อใน และแก่นคือแกนกลางที่แข็งที่สุดของมัน สาว ๆ เคยใช้เขียงไหม ตรงกลางเขียงมีรอยดำ ๆ อยู่ ตรงนั้นคือจุดที่แข็งที่สุดของมันเรียกว่าแก่น แต่ว่ามีไม้จำพวกหนึ่งเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่แต่ไม่มีแก่นเหมือนกัน อย่างเช่น ต้นจามจุรี ต้นนุ่นพวกนี้ ถ้าต้นไม้ที่ไม่มีแกนจะมีรุกขเทวดาอยู่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่อยู่จ้ะ ต้นไม้ที่ไม่มีแกน ธรรมชาติคือกิ่งเปราะมาก หักง่ายเดี๋ยวบ้านพัง ใครเป็นต้นไม้มีแก่นสูงตั้งแต่ ๑ คืบขึ้นไป ท่านสามารถที่จะเอาวิมานแปะอยู่ได้
      ถาม :  ถ้าต้นไม้มีก่อนแล้วตัดทิ้ง วิมานท่านก็พังหมด ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะจริง ๆ แล้วท่านสามารถที่จะย่อได้ขยายได้เหมือนอย่างกับเครื่อง Xerox ดี ๆ สมัยนี้ ท่านเปรียบเอาไว้ว่า “หนึ่งปลายเข็มหมุด เทวดาสามารถอาศัยอยู่ได้ตั้ง ๘ องค์” แต่ถ้ามีให้เลือกดี ๆ ก็แบ่งกันคนละต้นไปเลยก็ได้ หรือถ้าไม่มีจริง ๆ คุณมาอาศัยผม ๒ ต้นคนหนึ่ง ๓ ต้น ๔ ต้น ๕ ต้น อะไรก็ได้
      ถาม :  ถ้าต้นไม้ใหญ่ ๆ แล้วเราไปริดใบไปตัดกิ่ง ?
      ตอบ :  อาจไปทำลายวิมานเขาโดยไม่รู้ อาตมาเพิ่งฟาดไปหลายคันรถเลยก่อนจะมานี่ เพราะจะซ่อมอาคารศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนเป็นกุฏิแม่ชี คราวนี้มีต้นมะขามส้ม มะขามเปรี้ยว ขึ้นคลุมไปครี่งหนึ่ง เราต้องไปเลื่อยออกครึ่งหนึ่ง ตอนเลื่อยก็ง่ายหรอก แต่ตอนขนนี่ โอ้โฮ...ลากกว่าจะถึงแทบตาย ไกลมากเลย
      ถาม :  ธัมมวิโมกข์แปลว่าอะไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ธรรมะที่เป็นเครื่องหลุดพ้น บางครั้งเขาเรียกโพธิปักขิยธรรม มีทั้งหมด ๓๗ อย่าง คือ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้ว ๓๗ หัวข้อด้วยกัน
      ถาม :  สมมุติว่าเราป่วย เรามีสัญญาจำได้ว่าเราป่วย แล้วเราก็ลืมสัญญาว่าเราป่วยไป แล้วสัญญาใหม่เมื่อเราไม่ป่วยคืออะไร ?
      ตอบ :  สัญญา คือความรู้ได้หมายจำ แต่เปลี่ยนไปเฉพาะสภาพด้านหน้านั้น ตอนที่ร่างกายป่วยอยู่สัญญาก็จำว่าป่วย น่าเบื่อน่าหน่ายน่าเข็ดน่าหลาบเหลือเกิน ป่วยอยู่นั่นแหละ แต่พอหายป่วย พวกรักโลภโกรธงหลงก็มา เฮ้ย...! แข็งแรงดีแล้วโว้ย ไปซ่าต่อได้
              คราวนี้ตัวสัญญาจำได้ แต่ว่าจำเป็นช่วง ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นปัญญานี่นี่จำแล้วรู้แจ้งเห็นจริงแทงตลอด รู้ว่าที่เอ็งกระโดดโลดเต้นอยู่นี่จริง ๆ พร้อมที่จะป่วยอยู่ตลอดเวลา จริง ๆ แล้วพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลา คนละอย่างกัน แล้วปัญญาจะรู้แจ้งเห็นจริง เปรียบเหมือนกับแสงสว่าง ถ้ามาเมื่อไรความมืดจะถอดถอยไป แต่ส่วนใหญ่แล้วของเราเหลือแต่สัญญาที่จำเป็นช่วง ๆ อย่างที่ว่า ตอนนี้รับอะไรอยู่ก็เอาแค่นั้น
      ถาม :  กระบวนธรรมจะค่อย ๆ สะสมทีละนิดใช่หรือเปล่าคะ อย่างเราเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ?
      ตอบ :  ถ้าทำถูกจะได้เลย แล้วกำลังก็แค่นั้นแหละ สำคัญที่เรามีความคล่องตัวที่จะใช้แค่ไหนต่างหาก
      ถาม :  แค่ฌาน ๑ ใช่หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  สมาบัติ ๘ กำลังก็แค่ฌาน ๔ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีใช้วิธีคิดหน่อยเดียว เพราะฉะนั้น...มีฌาน ๔ ฌาน ๔.๑ ฌาน ๔.๒ ฌาน ๔.๓ ฌาน ๔.๔ แล้วทั้งหมดตั้งแต่ ฌาน ๔ ขึ้นไปอธิษฐานใช้ผลได้ง่าย ถ้า ๑,๒,๓ ใช้ผลยาก เหตุที่ใช้ผลยากเพราะถ้ายังขาดความคล่องตัวอยู่ พอเริ่มเป็นฌานเมื่อไรจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน พอริ่มแยกจากกันจะบังคับร่างกายได้ยากหรือบังคับไม่ได้ไปเลย
      ถาม :  พอเริ่มที่จะทำเดี๋ยวคันโน่นเดี๋ยวคันนี่ แรก ๆ ก็ช่างมันได้ พอหลัง ๆ ลืมไปได้ชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งเริ่มรู้สึกหนัก ๆ เข้าก็ลืมไปแล้ว ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีอะไร ก็รู้หนอ รู้หนอ ดูให้เห็นว่าอาการที่เป็นที่เหน็บที่ชาเป็นที่ตัวหรือเป็นที่ใจ
      ถาม :  เอาใจไปเกาะมัน ?
      ตอบ :  ก็เจ๊ง เขาให้กำหนดรู้ ไม่ใช่เกาะมัน กำหนดรู้แล้วแยกแยะให้ออก เป็นที่ตัวหรือเป็นที่ใจ ถ้าสามารถแยกอออกได้เมื่อไร ก็สบายเมื่อนั้น ถ้ายังแยกไม่ออก ถึงเวลาก็ไปนั่งคร่ำครวญกับมัน โอ๊ยเจ็บเหลือเกินปวดเหลือเกิน
      ถาม :  แต่อยากหายไปเลย ?
      ตอบ :  แค่เรากองไว้ตรงนั้น ไม่ต้องสนใจ แค่นั้นเองทำไม่ได้หรือ
      ถาม :  เท่าที่ผ่านมายังแก้ไม่ได้ค่ะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาเรียกว่าเวทนา เป็นทุกขเวทนา ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา เขามีไว้กำหนดรู้ รู้แล้วก็วางเสีย ยึดไม่ได้ทั้งคู่
      ถาม :  นอกจากเวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านจากสัญญาที่เราจำได้ต่าง ๆ นานา ก็ช่างมันเหมือนกันหรือคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเรากำหนดรู้แล้วปล่อย ก็ไม่ฟุ้ง ที่ฟุ้งเพราะเราไปแบกเอาไว้ นี่ก็ตัวกู นี่ก็ของกู เจ็บจังเลยอะไรอย่างนั้น ถ้าสักแต่ว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ใจไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติมกับมัน ก็ไม่สามารถจะทำอันตรายเราได้
      ถาม :  ฟุ้งซ่านเรื่องการงาน ?
      ตอบ :  ถ้าเรื่องอื่นคุณปล่อยกองหมด เรื่องการงานก็ไม่ฟุ้งซ่านหรอก
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  วัตถุอนามาส คือสิ่งที่พระไม่ควรจับ ประกอบไปด้วยผู้หญิง ของที่เนื่องด้วยกายหญิง รูปที่ทำเหมือนางหญิงหรือว่าสัตว์ตัวเมีย เลี้ยงได้แต่หมายความว่าถ้าไม่จำเป็นสุดขีดจริ งๆ ชนิดที่ว่าอยู่ข้างนอกจะหนาวตาย ให้อยู่ข้างนอกไปเถอะ เลี้ยงไว้ในกุฏิเดียวกันโดนอาบัติอยู่แล้ว ต่อไปก็อาวุธทุกชนิด เครื่องประโคมคือดนตรีทุกชนิด เงินทอง แก้วมณีหรือของที่ใช้แทนเงินทองทั้งหมด ผลไม้และข้าวเปลือกที่เกลื่อนอยู่กับที่ เป็นของที่พระท่านใช้คำว่า อนามาส คือไม่ควรจับ โดยเฉพาะข้อแรกคือผู้หญิง เป็นวัตถุแห่งอาบัติ...!
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  สังฆาทิเสสเป็นอาบัติหนัก เขาเรียก ครุกาบัติ คือเป็นอาบัติที่ใครโดนเข้าจะขาดความเป็นพระไปเลย จนกว่าจะได้รับการลงโทษ ต้องให้สงฆ์ ๒๐ รูป สวดคือนความเป็นพระให้ ถึงจะคืนความเป็นพระได้ใหม่
              เพราะฉะนั้น...สัตว์ตัวเมียถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าเลี้ยงไว้ในกุฏิ เพราะว่าจับต้องสัตว์ตัวเมียก็โดนอาบัติอยู่แล้ว ของพวกเราที่เห็นเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว จับต้องมันปกติทั้ง ๆ ที่เป็นตัวเมีย เพราะสำคัญตรงที่ท่านบอกว่า จับต้องมันด้วยจิตกำหนด คราวนี้ถ้าจิตไม่มีกำหนัดก็แล้วไป แต่บางคนไม่แน่หรอก ไฟแรง เจออะไรหน้ามืดไปหมดอย่างนี้ จะเป็นเหตุให้โดนอาบัติ คือศีลขาดได้ ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าไม่มีจิตกำหนัด อย่างเช่นว่าผู้หญิงตกน้ำเราไม่ช่วยเขาตายแน่ ๆ อย่างนี้ อุ้มขึ้นมาได้ ดึงขึ้นมาได้ไม่เป็นไร เขาบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถที่จะเดินทางได้ แบกไปเลยก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าจิตเราไม่มีกำหนัดจริง ๆ
              นิทานเซนที่พระญี่ปุ่น ๒ รูปเดินทางไปจะข้ามสะพาน เจอสาวญี่ปุ่นนุ่งกิโมโนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ เพราะมีแอ่งน้ำก่อนจะขึ้นสะพาน เธอไม่อยากลุยน้ำเพราะกลัวกิโมโนจะเปื้อน พระองค์ที่เดินหน้าก็อุ้มช้อนขึ้นไปเลย แล้วปล่อยตรงหัวสะพานโน่น แล้วเดินต่อหน้าตาเฉย องค์หลังก็เดินไปเรื่อย ๆ ไปถึงวัดแล้วปากคันอดรนทนไม่ได้ ถามว่า “นี่ท่านทำไมถึงไปอุ้มผู้หญิงล่ะ ?” พระองค์ที่อุ้มผู้หญิงหันมา “อ้าว..ผมวางเขาไว้ที่หัวสะพานแล้วนี่คุณยังอุ้มมาถึงวัดอีกเหรอ ?” คือท่านทำสักแต่ว่าทำ คือไม่ได้มีจิตกำหนัด เห็นผู้หญิงเขาลำบากจริง ๆ ก็อุ้มได้ อุ้มแล้วเอาวางไว้ฝั่งโน้น แล้วแกก็กลับ แต่รายโน้นยังแบกใส่หัวกลับมาถึงวัด อ้าว...! ท่าน ผมวางเขาไว้ที่หัวสะพาน แล้วท่านยังแบกมาถึงวัดอีกหรือ
              เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นโลกวัชชะ คือโลกติเตียน ถ้าคนที่ไม่เข้าใจศีลพระจะตำหนิเอาได้ แล้วเสี่ยงกับการโดนอาบัติหนัก คือถ้าเผลอมีจิตกำหนัดจะโดนอาบัติสังฆาทิเสส ขาดความเป็นพระไปเลย กว่าจะแก้ไขอะไรได้ก็ลำบากเต็มที เพราะฉะนั้น...อย่าไปจับซะเลยดีกว่า ส่วนอาบัติข้ออื่นที่จับเขาปรับอาบัติทุกกฎ คือปรับเท่าจับสตางค์ ถ้าจับต้องกายผู้หญิงไม่มีจิตกำหนัดเขาปรับเท่ากับจับสตางค์
      ถาม :  จรณะ ๑๕ ของพระ ?
      ตอบ :  เหมือนกับของฆราวาส
      ถาม :  มีศีล ๕
      ตอบ :  ไม่ใช่ จรณะ ๐๕ มีอินทรีย์สังวร สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่เสมอ โภชเนมัตตัญญุตา รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่มากไปไม่น้อยไป ให้เหมาะสมกับธาตุขันธ์ ชาคริยานุโยค ปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่ คือมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไล่ไปเรื่อย ๆ พหูสูตฟังมาก จนกระทั่งไล่ไปถึง ๔ ข้อสุดท้าย ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ นั่นแหละ จรณะ ๑๕ แบบอย่างที่พึงประพฤติ ๑๕ อย่าง ๓ อย่างแรกก็อ้วกแล้วจ้ะ อินทรีย์สังวร สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ตาเห็นอดไม่ได้แล้วมันก็จะคิด
              สมมติว่าผู้ชายเห็นผู้หญิงปุ๊บ ใจคิดแล้วว่าสวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ ชอบไม่ชอบ เจ๊งทั้งคู่เลย เพราะชอบเป็นราคะ ไม่ชอบเป็นโทสะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถึงได้ว่าต้องสำรวม คือระวังให้ทัน เห็นสักแต่ว่า อย่าไปไปคิดปรุงแต่งต่อเป็นอันขาดเชียว
      ถาม :  คิดว่าเป็นของพระ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ นักปฏิบัติทุกคนควรทำ
      ถาม :  เราจำเป็นต้องรู้อะไรพวกปัจจยตา พวกอะไรยาก ๆ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ เลือกกรรมฐานหมวดใดหมวดหนึ่ง หัวข้อใดหัวข้อหนึ่งที่เราชอบ แล้วปฏิบัติไปเป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น ในกรรมฐาน ๔๐ และมหาสติปัฏฐานอีก ๑ มหาสติปัฏฐานตั้งหลายต่อหลายบรรพนั่น คือหลายต่อหลายตอน ตอนใดตอนหนึ่งก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น เลือกเอาตอนที่เราชอบ หรือเลือกเอาหัวข้อที่เราชอบ เราจะเอากสิณ ๑๐ หัวข้อ หรือจะเอาอนุสติ ๑๐ หัวข้อ หรือจะเอาอสุภกรรมฐาน ๑๐ หัวข้อ หรือว่าจะเอาพรหมวิหาร ๔ หัวข้อ อรูปฌาน ๔ หัวข้อ หรืออาเรปฏิกูลสัญญา ๑ หัวข้อ หรือจตุธาตุววัตถาน ธาตุ ๔ คือพิจารณาธาตุ ๔ หนึ่งหัวข้อ
      ถาม :  ฟังเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วยาก พอเอาหัวข้อนี้ท่าทางจะง่ายไปทำก็ยาก พรหมวิหารสี่ก็ยากอีก ?
      ตอบ :  เอาที่เราชอบที่สุด ถ้าเราชอบจะมีแก่ใจทำ
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  คนพิการสามารถเข้าถึงมรรคผลได้แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้บวช เพราะเข้าไปแล้วเป็นภาระกับคนอื่นเขา ไม่อย่างนั้น ท่านสังกิจจะสามเณร ก็หมดสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ เพราะท่านตาบอดข้างหนึ่ง ตาบอดเพราะโดนหลาว
      ถาม :  ตาบอดก่อนบวชหรือหลังบวชครับ ?
      ตอบ :  ก่อนเกิด
      ถาม :  ก่อนเกิดก็อยู่ในท้อง ?
      ตอบ :  อยู่ในท้อง แม่ตายทั้งกลม แล้วเขาจะเอาศพไปเผา เขาเห็นท้องโต ๆ เลยเอาหลาวไม้ไผ่แทงท้องเพื่อให้พวกน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลจะได้เผาง่าย ๆ ทิ่มโดนตาเข้าร้องจ๊ากขึ้นมา นั่นแหละเรื่องของบุญรักษา ปกติแม่ตายร่างกายขาดออกซิเจนลูกรอดไม่ได้ใช่ไหม แต่อันนี้ท่านรอดได้ พอออกมาได้บวชเป็นสามเณร บรรลุอรหันตผลตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เสียตาไปข้างหนึ่ง
      ถาม :  พระอรหันต์ที่อายุน้อยที่สุด ?
      ตอบ :  ๗ ขวบมีเป็นร้อย ๆ จ้ะ ไม่ใช่พระราหุลองค์เดียว อย่างพระเรวัตตะก็ได้ ๗ ขวล สังกิจจสามเณรก็ได้ ๗ ขวบ เหตุที่ว่าต้อง ๗ ขวบขึ้นไป เพราะว่าสติปัญญาจะได้แก่กล้าพอที่จะรู้คิดรู้ตรองแล้วตัดสินใจได้ อายุน้อยกว่านั้นการตัดสินใจไม่พอ กลายเป็นว่าน้อยที่สุดที่จะเป็นพระอรหันต์ก็ ๗ ขวบ ถ้าต่อไปข้างหน้าอีกสักพันปี ๗ ขวบนี่จะแก่แดดเป็นผู้ใหญ่อายุประมาณห้าสิบหกสิบสมัยนี้เลย
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  พระอนาคามีจำเป็นต้องได้ฌาน ๔ แต่ไม่จำเป็นต้องได้อรูปฌาน พระอนาคามีที่จำเป็นต้องได้ฌาน ๔ เพราะอนาคามีท่านสามารถที่จะตัดรักตัดโกรธได้แน่นอน ถ้าไม่ใช่กำลังของฌาน ๔ ทรงตัวมั่นคงแล้ว ไม่เพียงพอที่จะตัดรักตัดโกรธได้ แต่ไม่จำเป็นต้องได้อรูปฌาน ยกเว้นว่าจะเป็นอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าอย่างนั้นต้องมีอรูปฌานหรือได้อรูปฌานก่อน
      ถาม :  เขาบอกว่า “หลวงพ่อที่โคราชให้เอาเกล็ดชะมด ?”
      ตอบ :  ชาตินี้จะไปหาที่ไหนล่ะ ชะมดไม่มีเกล็ด ยังสงสัยอยู่จะเอาเกล็ดตัวชะมด ชะมดมีแต่ขน ชะมดเป็นสัตว์ตระกูลอีเห็น ประเภทแมว เป็นสัตว์กินเนื้อ แต่ว่าไอ้ตัวกินมดนี่ต้องเรียกว่าสัตว์โบราณ เพราะจริง ๆ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่กลับมีเกล็ด แต่จริง ๆ มันมีขนนะ ขนมันอยู่ใต้เกล็ด เกล็ดอันหนึ่งจะมีขนอยู่ ๒-๓ เส้น แล้วเขาพยายามหาตัวที่มีเกล็ดปิดก้น เกล็ดปิดก้นมีบางตัวเท่านั้นที่มี ตัวไหนที่มีเขาถือว่าเป็นมหาอุด ยิงมันไม่ออกหรอก เขาหากันอย่างนั้น เอาเกล็ดมาเข้าพิธี เคยเจอตัวใหญ่เป้ง ๆ เลยนะ พยายามจะแกะดู แต่ตัวพวกนี้เวลามันขดแล้วง้างไม่ออก มันขดเป็นก้อนเลย ตอนแรกมีอยู่ตัวหนึ่งที่เจอนั่นใหญ่ ๆ จริง ๆ ใหญ่เกือบ ๆ ถัง ตอนนั้นกำลังเดินทางจากเกาะพระฤๅษีไปบรรยายให้พวกชาวบ้านที่ทุ่งเรือโกลนที่ไทรโยคฟัง ออกแต่เช้าประมาณตีห้ากว่า มันเดินข้ามถนนไปหากินกำลังจะกลับเราก็เอ๊ะ...หมาตัวนี้ทำไมมันอ้วน ๆ เตี้ย ๆ วะ พอวิ่งเข้าไปใกล้ ๆ อ้าว...นี่ตัวกินมด กลัวมันจะโดนรถชนก็ลงไปไล่มันจะให้มันข้ามถนน ปรากฏว่าแทนที่มันจะข้ามถนน อารามตกใจมันวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ กว่าจะต้อนมันข้ามถนนได้แทบแย่ คราวนี้ถ้ามันขดตัวแล้วง้างมันออกยาก กล้ามเนื้อมันแข็งแรงมาก
      ถาม :  เขาให้เอาเกล็ดมาบด ๆ แฟนเขาเป็นโรคไตจะได้ไม่ต้องไปหาหมอ หมอพระบอก ?
      ตอบ :  จะไปหาที่ไหนล่ะจ๊ะ นอกจากร้านอาหารป่า ถามร้านอาหารป่าว่าถ้าได้ตัวมันเมื่อไรให้เก็บเกล็ดเอาไว้ให้ด้วย
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  รายการส่องโลกของคุณโจ๋ยบางจาก เขาเคยตามไปดูคณะอาจารย์ตัดเหล็กไหล ๕ ครั้งด้วยกัน ถ่ายตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีการตัดต่อตลอดทั้ง ๕ ครั้งแบบไม่ต้องเสียดายฟิล์ม แล้วเอามาเพื่อที่จะตรวจสอบว่ามีการเล่นกลกันที่จุดไหนบ้าง ก็จับผิดเขาไม่ได้ เสร็จแล้วเขาถามว่า “ถ้าจะสร้างด้วย Computer graphic ได้ไหม ?” เขาบอก “สร้างได้” แต่ช่วงที่เขาถ่ายมาตั้งแต่ต้นนั่นน่ะ ตั้งแต่เหล็กไหลไหลออกมาจากการทำพิธีจนกระทั่งตัดเสร็จเรียบร้อยกินเวลาหลายนาที แต่ว่าค่า computer graphic แต่ละภาพนี่ราคาแพง ถ้าจะทำตั้งแต่ต้นจนจบตามระยะเวลาอย่างนั้นจริง ๆ ต้องลงทุนเป็นพันล้าน แล้วจะลงทุนขนาดนั้นไปแหกตาชาวบ้านเขาทำไม คือเหล็กไหลมีธรรมชาติว่ามันชอบน้ำผึ้ง ถ้าเอาน้ำผึ้งไปล่อมัน มันจะออกมากินน้ำผึ้ง อีกอย่างคือมันมีคุณสมบัติว่าโดนความร้อนมันจะยืด จะเสียรูปทรงเก่าของมัน จะยืดตัวลงมายาวมาเรื่อย ๆ แต่ไม่ขาด ยกเว้นได้รับการตัดที่ถูกต้อง คราวนี้ลักษณะที่ไม่ยอมขาด เขาว่าถึงมาขนาดเส้นผมก็ไม่ขาด แล้วถ้ามันลัดคืนเมื่อไรก็มีสิทธิ์อย่างตามที่เขาเล่ากันเราก็เกิดไม่ทัน
              ที่ภูเขาควายทางฝั่งลาว มีคนตาย เพราะไปเอาเหล็กไหลก้อนนั้นบ่อย เขาบอกว่า “ครั้งสุดท้ายที่ไปน่ะเป็นพระจากฝั่งไทยไปกัน ๕-๖ องค์” คงมีวิชาอาคมจะไปตัดเหล็กไหลได้ก็ข้ามไปเอากัน แล้วใช้วิธีไฟลนเอามาอย่างที่ว่านี่แหละ แล้วดึงยืดออกมายืดออกมาถึงหน้าถ้ำ ก็เอาไปพันต้นไม้ไว้ ต้นไม้ใหญ่เป็นโอบเลยนะ คือกะว่าถึงเวลาจะใช้มีดใช้ขวานจามกันให้ขาด แต่ปรากฏว่าพอไปกระเทือนมันเข้าก็จะดึงตัวกลับไปหดในรูปเดิมของมัน คราวนี้เขาดึงเอามาบางเป็นเส้นใยเลยแล้วเอาไปพันรอบต้นไม้ไว้ ตอนหดตัวกลับต้นไม้โตเป็นโอบมันตัดขาดไปเลย แล้วไม่ได้ตัดขาดเฉย ๆ มันรัดเอาพระ ๔-๕ องค์นั้นขาดท่อนไปด้วย กลายเป็นตายสยองไป ตามประวัติเขาบอกว่าหลวงปู่มั่นทนไม่ได้ เพราะว่าคนตายเยอะโดยเฉพาะนักบวชที่โลภ ไม่ได้คิดถึงตัวเองนุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ ท่านก็ไป ไม่ทราบว่าไปเจรจาอย่างไรกับเทวดาที่เขารักษาเหล็กไหล ตั้งแต่นั้นมาเหล็กไหลก้อนนั้นไม่อยู่ตรงนั้นอีก
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  เหล็กไหลว่าไปแล้วเป็นสิ่งธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือสมมุติว่าไฮโดรเจน ๒ อะตอมมาชนกับออกซิเจน ๑ อะตอมจะเกิดน้ำขึ้นมา พวกเหล็กไหลก็เกิดจากธาตุต่าง ๆ นี่แหละ การหมุนเวียนของจักรวาลก็ดี การเปลี่ยนแปลงความกดดันของพื้นโลกก็ตาม ถึงวาระถึงเวลาที่ธาตุพวกนี้มาลงตัวกันพอดีก็จะเกิดเป็นธาตุขึ้นมาคือเหล็กไหล คราวนี้เหล็กไหลคงจะมีสภาพเหมือนอย่างกับพวกพืชกินสัตว์ คือมีวิญญาณคือประสาทที่รับความรู้สึกได้ กินอาหารคือน้ำผึ้งได้ หลบหนีได้ถ้ามันไม่ต้องการอยู่กับเรา แต่คราวนี้มันไม่ใช่จิต ไม่ใช่จิตคือมันขาดธาตุรู้ ในเมื่อขาดธาตุรู้คือมันไม่ใช่จิต มันก็ยังมีอานุภาพขนาดนั้นแล้ว
              คราวนี้ธรรมชาติของเหล็กไหลถ้าอยู่ที่ไหนก็ตาม อันดับแรกคือเขามีกระแสเย็นของเขาอยู่ บริเวณที่เขาจะมีความชุ่มชื้นสูงมาก เขาให้สังเกตว่าถ้าเราต้องการหาเหล็กไหล หน้าแล้งประมาณเดือน ๔ เดือน ๕ ประเภทมองหาภูเขาได้เลย ยิ่งเมืองกาญจน์ยิ่งถนัดใหญ่ เพราะเมืองกาญจน์จะเป็นเมืองที่มีต้นไผ่เยอะมาก หน้าแล้งจะทิ้งใบร่วงกลายเป็นสีเหลืองฟางไปหมด ถ้าหากว่าเขาลูกไหนเขียวผิดปกติละก็ใช่เลย เพราะความชื้นจะต้องสูงมากต้นไม้ถึงได้เขียวอยู่อย่างนั้น เขาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าภูเขาลูกนั้นมีเหล็กไหล อันดับต่อไปคือให้หาถ้ำที่อยู่ภูเขาลูกนั้น เหล็กไหลแปลกอยู่อย่างเหมือนกับมันจะมีบ้านของมัน จะมีทางเข้าทางออกของมันอยู่ คราวนี้ถ้าเราหาถ้ำเจอแล้วให้ตั้งข้อสังเกตว่าถ้ำนั้นต้องสะอาด มีอากาศระบายได้ดี และที่สำคัญคือมีความชื้นสูง ถ้าถ้ำสกปรกเหล็กไหลไม่อยู่ เขามีธรรมชาติในการรักษาความสะอาด
              คราวนี้ความชื้นสูงบางถ้ำน้ำจะหยดแปะ ๆ ๆ เลย ถ้าไปเจอลักษณะอย่างนั้นเตรียมได้เลยหาร่องหารูหาอะไรเข้าไว้ หรือไม่พวกที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพจักขุญาน เขาจะใช้กระแสจิตสัมผัส หรือใช้ทิพจักขุญานดู เขาจะรู้ว่ามันจะอยู่ร่องไหนรูไหน เขาจะใช้วิธีคือใช้น้ำผึ้งชโลมรอบล่อให้มันออกมา ล่อให้ออกมากินน้ำผึ้งแล้วก็จะตัด วิธีตัดเท่าที่ทราบมามี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเขาตัดด้วยคาถา อีกอย่างเขาตัดด้วยวัตถุอาถรรพ์ วัตถุอาถรรพ์นี่ตำราไม่เหมือนกัน เคยได้ยินมาตำรหนึ่งว่าให้ใช้น้ำตาเทียน เทียนพรรษานี่แหละ น้ำตาเทียนพรรษาที่เขาจุดบูชาพระในโบสถ์ที่พระสวดมนต์ทำวัตรอยู่ตลอดพรรษานี่ เอาน้ำตาเทียนมาปั้นเป็นขวาน คือขวานขี้ผึ้งใช้ตัดก็ตัดได้ อีกตำราหนึ่งเขาบอกว่าให้ใช้ผมของหญิงพรหมจารีที่ไม่ได้โกนผมไฟ สมัยนี้เยอะ สมัยก่อนนี้คนส่วนใหญ่จะโกนผมไฟกันหมด ที่ไม่โกนผมนั้นน้อยมาก ใช้เส้นผมมาถักเป็นบ่วง ถึงเวลาที่เหล็กไหลยื่นออกมาก็เอาบ่วงคล้องแล้วกระตุกเอาจะตัดขาดได้