ถาม:  มีคนไปถามคุณสมัครเกี่ยวกับเรื่องการทำโรงเรียนในกทม.ให้เป็นโรงเรียนสาธิต เขาบอกว่า “โรงเรียนสาธิตเป็นโรงเรียนทำความเลว หลานของเขาก็เรียนสาธิตกัน เขาได้รับการให้สอนให้มีความกล้าแสดงออกและแสดงความคิดเห็น และหลานได้กล่าวว่าจานของใคร ใครกินก็ล้างเอง เขาบอกว่าอย่างนี้เป็นการอหังการอวดศักดา อย่างนี้ต้องสั่งสอนกัน ผมยอมไม่ได้ต้องสั่งสอนกันเลย” เรื่องนี้ได้เคยถามแล้วครั้งหนึ่งเกี่ยวกับการล้างจาน ผมสงสัยว่าคุณสมัครก็อายุมากเหมือนกัน แต่กลับมาพูดเรื่องเดียวกับผม ผมก็คงจะแก่แล้ว สิ่งที่สำคัญคือความรู้ในปัจจุบันจะช่วยคนให้เป็นคนดีได้หรือไม่ ? และความรู้แบบใดจึงจะเป็นที่ถูกต้องในการศึกษาของคน ?
      ตอบ :  ความรู้ในปัจจุบันจะช่วยให้เป็คนดีได้แน่นอน ช่วยได้ ๑๐๐% แต่คนจะยอมเอาความรู้นั้นไปใช้ให้ถูกต้องหรือเปล่าเท่านั้น อย่าลืมว่าโรงเรียนสาธิตเขาก็สอนถูก สอนให้ทุกคนทำอะไรด้วยตัวเองจานใครกินก็ล้าง แต่คราวนี้เด็กตรงเป็นไม้บรรทัดเกินไป กลับบ้านกูกินของกู แต่ของพ่อกูไม่ล้างให้อย่างนี้ ก็เอาความรู้ไปใช้ผิดเท่านั้นเอง แต่ขณะเดียวกันเรื่องผิดเรื่องถูกก็ขึ้นอยู่กับระดับจิตใจของคน เราทำตอนนี้เราก็ว่าถูกในระดับจิตใจของเรา แล้วก็เห็นว่าคนระดับจิตใจต่ำกว่าเราเขาทำผิด แต่คนระดับจิใจต่ำกว่าเขาก็บอกว่าของเขาถูก ปล้นเขากินก็ดีก็ถูก ง่ายดี คว้าปืนคว้ามีดออกไปก็ได้แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยด้วย ถูกของมันไหมล่ะ แต่ไม่ถูกของเรา
              แต่ขณะเดียวกันของเราแค่นี้ ก็มีที่ดีกว่านี้ ถูกกว่านี้อยู่ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า “อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร จะเป็นทิฎฐุปาทาน คือการยึดความเห็นของตนเป็นใหญ่ แล้วจะไปตัดสินว่าธรรมของพระพุทธเจ้าคือแค่ที่เราทำได้” อันนั้นเจ๊งนะ เรามันหิ่งห้อย พระพุทธเจ้านั่นดวงตะวันยามเที่ยง จะไปบอวก่าหิ่งห้อยสว่างเท่าดวงตะวันไม่ได้หรอก ของเราสว่างเพราะกะลาครอบอยู่ พอหลุดจากกะลาออกมาก็อ๋อ...ดวงอาทิตย์สว่างแค่นี้ไม่ใช่อีก กะลาใบใหญ่กว่านั้นยังครอบอยู่อีกชั้น ฉะนั้น...ดีแค่นี้ถูกแค่นี้ก็พยายามหาที่ดีกว่า ถูกกว่าขึ้นไปอีก
      ถาม :  ความรู้แบบใดที่จะเป็นที่ถูกต้องในการศึกษาของคน ?
      ตอบ :  อ๋อ...ก็ต้องศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เพียงแต่ว่าอันนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นความรู้ทางธรรมที่สำหรับฆราวาสทั่ว ๆ ไป แล้วถ้าไม่ได้ตั้งใจจะเอาดีในการปฏิบัติจริง ๆ สูงเกินไป แต่มีความรู้ในคิหิปฏิบัติ คือฆราวาสทำอย่างไรแล้วจะอยู่อย่างมีความสุข
              อย่างเช่นว่า การครองเรือนก็ต้องมีสังคหวัตถุสี่ มีธรรมะของฆราวาสสี่ สังคหวัตถุ คือทานแบ่งปันต่อกัน ปิยวาจา พูดดีต่อกัน อถัตจริยา บำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน สมานัตตตาเป็นคนทำดีเสมอต้นเสมอปลาย ฆราวาสสี่ก็มีสัจจะ จริงใจต่อกัน ทมะ รู้จักอดกลั้น ขันติ รู้จักอดทน จาคะ รู้จักเสียสละ ท่านสอนเอาไว้หมด เพียงแต่ว่าเลือกหยิบไปใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
      ถาม :  การหลงในทางธรรม ?
      ตอบ :  หลงในทางธรรมอย่างพระเทวทัตอย่างนี้ พระเทวทัตหลงว่าตัวเองได้อภิญญาสมาบัติ ถือว่าเป็นผู้เลิศแล้ว แล้วก็เป็นพระญาติพระวงศ์พระพุทธเจ้าด้วย เป็นเจ้าชายของโกลิยวงศ์ ถ้าไม่บวชก็ได้สืบราชสมบัติด้วย แหม...กับแค่ปกครองสงฆ์อย่างพระพุทธเจ้าข้าก็ทำได้ ก็ไปขอพระพุทธเจ้าว่าขอเป็นผ็ปกครองสงฆ์แทน ส่วนใหญ่เกิดจากการดลใจของมารทั้งนั้น การหลง การหลงในทางธรรมนี่มารช่วยเยอะเลย
      ถาม :  พี่ที่ออฟฟิซเขาบอกว่า “เขาไปดูหมอดูมา หมอดูคนนั้นใช้พลังจิตในการดู แช้วเขาก็ทักพี่คนนี้ว่าที่ออฟฟิซที่ทำงานอยู่มีเงาดำ เขาแนะนำให้พี่คนนี้ไหว้กลางแจ้ง จุดธูปสีดำวันพุธ ๑๒ ดอก” คราวนี้หนูรับปากจะไปไหว้เป็นเพื่อนเขา หนูถามว่า “พี่เกิดวันอะไร ?” เขาบอกว่า “เขาเกิดวันเสาร์” ก็จุดธูป ๑๒ ดอก แล้วหนูเกิดวันพุธตอนกลางคืนต้องจุดธูปกี่ดอกคะ ?
      ตอบ :  ก็ ๑๒ จ้ะ ที่เขาว่าหมายถึงราหู ราหูนี่กำลังของท่าน ๑๒ ไปวันพุธกลางคืน เราตั้งใจเลยว่า ถ้าหากว่าช่วงนี้พระราหูเสวยอายุของเรา เราก็ตั้งใจบูชาท่านด้วยเครื่องบูชาอันนี้
      ถาม :  (เรื่องผีพนัน)
      ตอบ :  เจ้ามือเขาเลี้ยงไว้เอง มีทั้งที่นาบ่อนเขาเลี้ยงเอาไว้ ของเจ้ามือนี่ของใครของมัน อันนี้ต้องถามตาแสง เขาไปทำงานที่ซาอุมา ๕-๖ ปี พวกซาอุเงินเยอะ ไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลทรายกับอูฐ เงินเหลือเลยประเภทคนที่ไม่ค่อยมีความคิดก็เล่นการพนัน ตาแสงวันนั้นแกว่าง ๆ แกก็ไปหยอดสักหน่อยหนึ่ง แกก็ได้มา แกแปลกใจว่าทำไมอยากเล่นต่อ แต่ว่าตานี่ก่อนไปแกเป็นนักภาวนาขนาดหนักมาก่อน ก่อนนอนเขาต้องภาวนา พอภาวนา ๆ ไป ทิพจักขุญาณเกิดขึ้น เห็นมือเอื้อมมาจากฝาผนัง จะมาฉุดแกให้ไปเล่นให้ได้ คราวนี้ที่แกภาวนากำลังสูงกว่าเลยลากมันออกมาแทน ถามมันว่า “เป็นใคร ?” มันบอกว่า “มันเป็นผีโลงที่เจ้ามือเขาเลี้ยงเอาไว้ ให้ดึงคนเข้าไปเล่นการพนัน” อันนี้อันหนึ่ง
              ส่วนอีกอันหนึ่งพวกบ่อนการพนัน อันนั้นทางมาเก๊าทางฮ่องกง คนที่ไปเล่นเสียแล้วหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ฆ่าตัวตายก็มี ไปกระโดดตึกตาย ไปกระโดดให้รถชนตายก็มี ทางบ่อนนี่ทันทีที่รู้ข่าวเขาจะไปถึงเลย มอบเงินทำขวัญให้กับทางญาติจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าพอใจทีเดียวแหละ แล้วขอจัดงานศพแทน จะเอากงเต๊กกี่วันก็พร้อมจะทำให้ แต่เขาจะใช้หมอผีผูกจิตของผีตัวนั้นเอาไปใช้ในบ่อน ในลักษณะดึงคนให้เข้าบ่อนเยอะ ๆ อีก เพราะฉะนั้น...พวกนี้แหละที่เขาเรียกว่าผีพนัน มีจริง ๆ ยืนยันว่ามีแน่นอน
      ถาม :  แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะแก้ได้ ?
      ตอบ :  อย่าไปแตะมัน พูดง่าย ๆ คือเห็นสิ่งไหนที่เป็นการพนันออกห่าง ๆ ได้แหละดี ไม่อย่างนั้นถ้าช่วงดวงตกคืออกุศลกรรมเกิดขึ้นพอดี กุศลกรรมถอยลง โดนครอบงำได้ง่าย ๆ ระวังเอาไว้มีจริง ๆ
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  ตอนช่วงไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ปีแรก แถวนั้นจะเป็นที่โรงเรียนใกล้คึยงจะพานักเรียนมาหัดลูกเสือกันตลอด เพราะว่าสถานที่เมหาะสม บรรดาครูบาอาจารย์ก็อยากสนทนาธรรม แต่ประเภทกินเหล้าไปด้วยคุยไปด้วย ยังดีนะที่ไม่ได้เข้ามาในวัด อย่างนั้นจะเตะมัน เราเป๋ไปข้างนอกพอดีเขาก็ชวนคุย คุยไปกินเหล้าไปเราก็คุยไปด้วยเหมือนกัน อยากคุยก็คุย ข้าก็คุยด้วยละวะ ว่าไป ๆ สักครึ่งชั่วโมง มันทนไม่ได้เอง ถามว่า “อาจารย์ครับ ใจคอจะไม่ห้ามผมจริง ๆ หรือครับ ?” จะให้เราห้ามมัน บอกว่า “เงินก็เงินมึง ตัวก็ตัวมึง กินไปมึงก็เสียเงิน สุขภาพมึงก็เสียเอง กูไม่ได้เสียอะไร จะไปห้ามมึงทำไม” มันก็งง ๆ อยู่พักหนึ่ง มันบอกว่า “พระทุกองค์ที่เจอจะต้องห้ามไม่ให้กินเหล้า เพิ่งมีแต่เรานี่แหละที่ไม่ห้าม” บอกว่า “อาตมามีประสบการณ์เรื่องนี้มามากพอ คนที่ติดเหล้าอย่างหนึ่ง ติดการพนันอย่างหนึ่ง ถ้ามันคิดเองไม่ได้ เลิกเองไม่ได้นี่ ไม่ต้องไปแนะนำให้เปลืองน้ำลายหรอก มันไม่ฟังจริง ๆ”
      ถาม :  หลังจากที่ตั้งใจมีศีล ภาวนา และบริจาคทานอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้เรื่องภาวนาจะยังไม่ถึง ๑๐๐% ก็ตาม มีความรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบและสังคมรอบข้างนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คนที่ไม่เคยดีด้วยก็ดีกับเขา คนที่เคยปกติดีด้วยดูเหมือนจะมีความรักความชื่นชอบมากขึ้น สภาพที่เขาว่านั้นเป็นเพราะพลังในการปฏิบัติที่ทำให้คนรอบข้างสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนหรือว่าเป็นเพราะการมองที่เปลี่ยนไปของบุคคลคนนั้นครับ ?
      ตอบ :  เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่มุมมองที่เปลี่ยนไปมีส่วนน้อยกว่า จริง ๆ เวลาเราทำความดีหรือความชั่วก็ตาม จะรวมกันเป็นพลังงาน พลังงานส่วนนี้ไม่ได้หายไปไหนหรอก มีแต่จะมากขึ้น ๆ แล้วจะดึงดูดพวกเดียวกัน ดึงดูดพวกเดียวกันคือ ถ้าเป็นคนดีจะโดนกระแสความดีดึงเข้ามา ถ้าเป็นคนชั่วก็จะไปดึงพวกชั่ว ๆ ด้วยกันมา จะเห็นว่ามันชั่วที่ไหนก็จะเห็นสุมหัวรวมกันที่นั่น อันนี้เกิดจากกำลังความดีที่เขาสร้างสมมา พอกำลังสูงพอก็จะดึงดูดคนรอบข้างให้เห็นด้วย พลอยมาแสดงความยินดีด้วย
              แล้วอีกอย่างหนึ่ง มุมมองที่เปลี่ยนไปมีส่วนช่วยด้วยเยอะขึ้น สมัยก่อนวัยรุ่นใช่ไหม มองหน้ากันหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ไล่ตีกันแทบตาย แปลกใจอยู่อย่างเดียว ถ้ามันไม่มองหน้าเขาจะเห็นได้อย่างไรว่าเขามองหน้ามัน นั่นมุมมองของวัยรุ่น แต่พอโตขึ้นมาลูกตีกัน มันก็ห้ามแล้วห้ามอีก คือมุมมองเปลี่ยนไปจริง ๆ แต่ถ้าเหตุที่ว่ามานี่ คือกำลังวของความดี มีส่วนมากกว่า มุมมองส่วนน้อยเท่านั้นเอง
      ถาม :  สภาพของอาการภาวนาไม่เบื่อ และมีอาการคล้ายกับหิวข้าวอย่างนั้น เป็นอาการของอุปจารฌาน หรืออัปปนาฌานรูปแบบใด ?
      ตอบ :  เริ่มตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป จะภาวนาทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่เบื่อไม่หน่าย อยากจะทำอยู่ตลอด แต่ต้องระวังเอาไว้ ถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไรต้องกำหนดเวลาพักให้เป็นของตัวเอง ถ้าไม่กำหนดเวลาพักจะไปเรื่อย ๆ ภาษาพระเป็นอุปกิเลสข้อหนึ่ง อุปกิเลสคือส่วนที่ใกล้กิเลส ถ้าเราไปยึดติดเมื่อไรจะเป็นกิเลสทันที อุปกิเลสข้อนี้เรียกว่า ปัคคาหะ มีความเพียรกล้า คือตั้งหน้าตั้งตาทำไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักหน่าย ไม่รู้จักท้อ ไม่รู้จักถอย บางครั้งไม่กินไม่นอนทีละหลาย ๆ วัน ต้องระวังให้ดี ถึงเวลานั้นให้ตั้งเวลาไว้ว่าจะเอาสักครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงก็พอ ที่เหลือให้พักผ่อนบ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าประสาทร่างกายรับไม่ไหว จะเกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก จะครึ่งดีครี่งบ้า
      ถาม :  ในตำราท่านกล่าวว่า “การสวดมนต์จัดเป็นอุปจารสมาธิ แล้วถ้าคนสวดมนต์ทั้งวันจัดเป็นอะไร ?”
      ตอบ :  นั่นตำราว่า เราสามารถทรงฌานสี่สวดมนต์ได้สบาย ๆ เลย ทรงเยอะกว่านั้นก็ยังไหว อยู่ที่ว่าทำได้แค่ไหน ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไป ถ้าสวดมนต์ได้ไม่ผิดพลาดอะไร จะว่าอยู่ในช่วงอุปจารสมาธิก็ใช่ ส่วนถ้าคนสวดมนต์ทั้งวัน ประเภทฉันทะขนาดนั้น น่าจะทรงฌานขั้นใดขั้นหนึ่งไปแล้ว สวดมนต์ทั้งวันคนที่ไม่ทรงฌานจริง ๆ อยู่ไม่ไหวหรอก อย่าคิดว่าฌานสี่เป็นตอไม้ ไม่ใช่ นั่นเด็กหัดใหม่ ถ้าทำคล่อง ๆ แล้วจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ทรงอยู่ได้
      ถาม :  เรื่องผู้ใหญ่ตัดผมทรงนักเรียน หรือทรงผมหัวเกรียน การที่ได้รับเส้นผมให้เกิดความงดงามน้อยลง จะมีผลในการปฏิบัติหรือไม่ และรูปแบบการปฏิบัติของเสื้อผ้าและทรงผมจะช่วยให้การปฏิบัติดีขึ้นหรือไม่ ?
      ตอบ :  มีส่วนน้อยมาก ผมสั้น ๆ ดีอยู่อย่าง คือไม่ต้องกังวลกับมันมาก คนที่ไม่กังวลมากจิตใจในส่วนของราคะจริตน้อยลงเหมือนกัน ในเมื่อเปลือกนอกละไปได้ส่วนหนึ่งช่วยภายในได้ แต่จริง ๆ แล้วอยู่ที่สภาพจิตใจ เคยเจอ พูดไปแล้วอย่าตกใจนะ อาตมาเองไม่กล้าพยากรณ์มรรคผล เพราะไม่ใช่หน้าที่ การพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
              ผู้หญิงสาวคนหนี่งอายุ ๒๐ เศษ ๆ แต่งตัวพอกหน้าหนาเป็นศอก แต่ว่าสุภาพสตรีท่านนั้น ท่านมีจริยาเหมือนพระอนาคามี คนแต่งตัวขนาดนั้นนะ เป็นไปได้อย่างไร อาจจะเป็นไปได้ว่าท่านเอาเปลือกนอกมาบังตัวเองไว้ ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าท่านเป็นอะไร เลยโปะมาซะฉูดฉาดบาดตาเต็มที่เลย หรือไม่ก็เป็นความเคยชินก่อนที่จะเป็น ท่านชอบแต่งลักษณะอย่างนั้น ถึงเป็นท่านก็แต่งไปเรื่อย เป็นส่วนน้อยเรื่องของการแต่งตัว แบบเดียวกับพระนี่ พระคือใคร ก็ลูกชาวบ้านนั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแบบ เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตเข้าไป แต่จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระอยู่ที่ว่าสามารถปฏิบัติในทานศีลภาวนาเพื่อลดละเลิกกิเลสได้เท่าไหร่ ไม่ได้เป็นตรงเครื่องแต่งตัว นั่นเป็นส่วนน้อย
              เครื่องแต่งตัวถ้าคนมีสติ คนตั้งใจทำดี พอเห็นปุ๊บก็เราเป็นพระแล้วนี่ เราต้องรักษากายวาจาใจของเราใด้ อย่างนี้ช่วยเตือนสติได้ แต่ว่าหลักใหญ่จริง ๆ คืออยู่ที่ใจ อยู่ข้างใน ถ้าเป็นอย่างท่านที่ว่ามา ท่านนั้นนี่ ถ้าพวกคุณเห็นหน้ารับรองได้เลย ดีไม่ดีก็ถอยห่างไปเลย เพราะท่านแต่งหน้าจัดจริง ๆ แต่งตัวจัดจริง ๆ ประเภทเปรี้ยวเข็ดฟันมาเลย แต่ที่ไหนได้ข้างในทองทั้งแท่ง
      ถาม :  ในครั้งก่อนกระผมได้กล่าวถึงหนุ่มมาดเซอร์ที่ย่อมาจากคำว่า Surrealistic ที่แปลว่าเหนือจริง และอารมณ์ใจของหนุ่มมาดเซอร์ที่มีอารมณ์เหนือความจริง และหนุ่มคนนั้นเป็นคนที่มีลัทธิ Romanticism อีกด้วย ซึ่งหมายถึงแนวคิดแบบอุดมคติ และเพ้อฝันเข้าไปรวมด้วยกัน เขามีอารมณ์ดังนี้
              ๑. ยามใดที่เขามีความรัก เขาจะสรรหาเพลงที่มีเนื้อหาหรือคำที่เหมาะสมกับใจในขณะนั้น
              ๒. เมื่อได้ฟังเพลงที่ต้องการแล้วจะเริ่มท่องเนื้อหาในเพลง พร้อมกับนึกถึงคนรักแล้วเสมือนภาพของคนรักปรากฎอยู่ตรงหน้า
              ๓. เมื่อจำเนื้อหาของเพลงได้ทั้งหมดแล้ว ก็จะจำเพลงนั้น และสามารถนึกถึงเพลงใดเพลงหนึ่งได้ตลอดเวลา
              ๔. บางครั้งไม่ว่าจะดีหรือเสียใจหรือมีอารมณ์ทรงในเพลง ก็จะมีอารมณ์รักเข้ามาประกอบด้วย
              ๕. ยามใดที่เกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นฝนตกก็จะนำเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับฝนมานึกถึง และปรากฏหน้าของคนรักพร้อมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ยามใดที่รู้สึกเสียใจทุกข์ใจหรืออกหัก ก็จะเลือกเพลงที่เหมาะสมขึ้นมาในใจโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อเพลงหนึ่งจบก็ต่อด้วยอีกเพลงหนึ่ง และเหตุการณ์เดิมหรือเหตุการณ์ใหม่ ๆ มีปรากฏอยู่ตรงหน้าเปรียบเสมือนเครื่องฉายหนัง
              ๖. บางครั้งไม่มีเพลงแต่อารมณ์นั้นปรากฏอยู่ตลอดเวลาเสมือนเครื่องฉายภาพทำงาน ๒๔ ชั่วโมง ปรากฏเป็นอาการออกทางกายเช่น การร้องไห้อาการคลุ้มคลั่งต่าง ๆ
              ๗. เมื่ออาการข้อที่ ๖ สิ้นสุดแล้วก็จะเริ่มขั้นตอนในขั้นตอนที่ ๑-๖ ใหม่วนซ้ำอีก
              คำถามคือ การรักษาระวังใจของเราจะมีประโยชน์หรือไม่อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อันนี้มีแน่ ๆ แต่ขอฟันธงตรงนี้เลยว่า ไอ้หนุ่มมาดเซอร์คนนี้แกได้สมาธิสูงมาก เป็นสมาธิผสมผสานกันอยู่ระหว่างกสิณ ทิพจักขุญาณ และก็ฌานสมาบัติ แต่น่าเสียดายว่าเป็นมิจฉาสมาธิ บุคคลประเภทนี้ถ้าเกาะความดีได้จะไปเป็นมหิทธิกาเปรต นี่สถานเบาที่สุดนะ แต่ถ้าจิตใจเศร้าหมองเนื่องจากดิ้นรนกระวนกระวายกับสิ่งที่ไม่สมปรารถนาของตัวเองก็ไปยาวเลย ลงนรกไปก่อน พ้นจากนรกขึ้นมาแล้วค่อยมาเป็นมหิทธิกาเปรต น่าเสียดายนะ นี่พลิกมุมนิดเดียวเอง จะได้นักปฏิบัติทรงฌานขึ้นมาคนหนึ่งเลยทีเดียว
              ส่วนการระวังรักษาใจของเรานี่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าบอกแล้ว มโน ปุพพังคมาธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา สูงสุดก็อยู่ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้น....ต้องระวัง ท่านถึงได้บอกว่าให้ สะจิตตะ ปะริโยทะปะนัง คือสร้างจิตใจของเรา สร้างกำลังใจของเราให้ผ่องใสอยู่เสมอ ใจที่ผ่องใสถึงเวลาตายก็นำไปสู่สุคติ ถ้าใจเศร้าหมองตายเมื่อไรก็ไปทุคติ การสำรวมระวังในจิตใจของเรา ถ้าเศร้าหมองพยายามขับไล่ออกไป แล้วสร้างความผ่องใสให้เกิดขึ้น ถ้าผ่องใสอยู่แล้วก็ทำให้ผ่องใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันนี้มีแต่ประโยชน์โดยส่วนเดียว มีประโยชน์แน่ ๆ
      ถาม :  พยายามขับไล่ความไม่ผ่องใสออกไป ?
      ตอบ :  ดูสิว่าตอนนั้นจิตใจเราประกอบไปด้วยอะไร ถ้าตอนนั้นประกอบไปด้วยราคะ คู่ศึกของมันคืออสุภกรรมฐาน กายคตานุสติกรรมฐาน ถ้าประกอบไปด้วยโทสะ คู่ศึกของมันคือพรหมวิหารสี่ กสิณสีสี่อย่าง ถ้าประกอบไปด้วยโมหะ ก็เอาอานาปานสติเข้ามาช่วย พวกกองกรรมฐานเหล่านี้เป็นข้าศึกต่อกัน คราวนี้ถ้าเราเอาฝ่ายดีเข้ามา ฝ่ายชั่วก็ต้องถอยไป
      ถาม :  คำว่า อุปสรรค ถ้ากระผมจำไม่ผิด แปลว่าเครื่องกั้น และมีคำกล่าวที่ว่า “งานใดไม่มีอุปสรรค สิ่งนั้นไม่ใช่งาน” และได้ฟังคำของหลวงพ่อที่ว่า “สิ่งที่ทำไม่ได้นั้นไม่มี” และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่กำลังใจของคนเราไม่สามารถเทียบเท่าท่านได้ แต่คำของหลวงพ่อนั้นเราจะใช้เป็นหลักในการทำกิจการงานต่าง ๆ ของเราได้หรือไม่ ? และเมื่อเราได้พบอุปสรรคต่าง ๆ เราจะใช้หลักในการแก้ไขอย่างไรจึงจะถูกทางได้ดีที่สุดครับ ?
      ตอบ :  ทำอย่างไรจะผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำจากเบาให้เป็นหายได้ นั่นดีที่สุด กำลังใจของหลวงพ่อถ้าเอามาใช้ในกิจการงานต่าง ๆ คำว่าไม่สำเร็จไม่มี เพราะท่านบอกอยู่เสมอ คนอื่นสิบนิ้วเราก็สิบนิ้ว ในเมื่อสิบนิ้วเท่ากัน ถ้าเขาทำได้เราก็ต้องทำได้ กำลังใจแบบนี้เกินร้อยนะ ท่านบอกว่า “มันบวม” ท่านใช้คำว่า มันบวม มันไม่ใช่บ้าตุ่ย ๆ อยู่หน่อย คนที่กำลังใจเข้มแข็งขนาดนั้นต้องสร้างสมบารมีมานาน ในเมื่อสร้างสมบารมีมานาน เรื่องงานต่าง ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคไม่มี คำว่า อุปสรรค นี่ผมแยกศัพท์นะ พวกคุณอย่าจำไปใช้นะ อุปะ แปลว่า ใกล้ สรรคะ แปลว่าสวรรค์ ใกล้สวรรค์ หมายความว่าถ้าคุณก้าวผ่านพ้นอุปสรรคนั้นเมื่อไร คุณก็จะประสบกับสิ่งที่คุณปรารถนาคือความสำเร็จ เพราะฉะนั้น...ถ้ามีอะไรขวางอยู่ ให้คิดอยู่เสมอว่าเราอยู่ใกล้สวรรค์ จะทำให้นักเรียนบาลีเพี้ยนซะแล้ว
      ถาม :  ถ้าคนไม่เจออุปสรรค หมายความว่าไม่ได้ใกล้สวรรค์ ?
      ตอบ :  คือไม่ได้ใกล้ความดี ปราชญ์โบราณว่าอุปสรรคเป็นเครื่องสร้างความสำเร็จ
      ถาม :  เรื่องของหมาตัวหนึ่ง มีคนเอาเชือกผูกคอเอาไว้ตั้งแต่เล็ก แต่หมาโตขึ้นเชือกไม่ได้โตตามตัว จึงเกิดเป็นรอยแผลเหวอะหวะน่ากลัว ต่อมา คนมาเห็นเกิดความสงสารจึงช่วยกันจับเพื่อช่วยเหลือ ปรากฏว่าหมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไม่ยอมให้จับ เรื่องความเมตตานี้จิตเราปรารถนาดีมาก แต่ผู้รับไม่ปรารถนา ถึงแม้ว่าผู้รับต้องทนทุกขเวทนาด้วยความรู้ก็ดีไม่รู้ก็ดี ถึงการรับความเมตตาจากบุคคลอื่น เรื่องนี้เราจะตั้งใจอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ให้เห็นไว้เลยว่ากรรมเป็นของที่น่ากลัวเหลือเกิน แม้จะเล็กน้อยเท่าไรก็ตาม ถึงวาระให้ผลแน่นอน ไม่ว่ากรรมจะดีหรือชั่วก็ตาม มีโอกาสเมื่อไรให้ผลทันที หมาตัวนั้นน่าสงสารมาก เคยทำเขาเอาไว้ก่อนแล้ววาระกรรมของมันยังไม่หมดลง ต่อให้คนจะช่วยมันยังหนีเลย น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้น...อย่าประมาทว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วก็ทำ แล้วอย่าคิดว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ วาระยังไม่หมดขนาดไปช่วย มันยังวิ่งหนี
      ถาม :  เรื่องเตะตูดมันไปเลย นักวิชาการให้ความหมายของคำว่า ตูดและก้น คือก้นเขามีไว้นั่ง ตูดเขามีไว้สำหรับขับถ่าย ตูดเป็นกล้ามเนื้อส่วนล่างสุดของลำไส้อใหญ่ ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อคนละส่วนกับก้น ฉะนั้นตูดและก้นจึงเป็นสิ่งสองสิ่งที่อยู่ติดกัน และถ้าจะบอกว่าเตะตูดมันไปเลย ผู้เตะจำเป็นต้องสวมรองเท้าเหล็กมีปลายแหลมและเตะเข้าไประหว่างก้นจึงจะเรียกว่าเตะตูดได้เต็มที่ เรื่องของร่างกายคนที่เรามองว่าเป็นเรื่องไม่งาม ใบหน้าที่เราเห็นว่าสวยนั้นสวยจริงหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ไม่มีอะไรสวยจริงหรอก แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราไปมองแค่ผิวลืมถลกหนังออกมาว่าใต้ผิวหนังมีอะไรบ้าง พอเห็นข้างในเป็นเลือด เป็นไขมัน เป็นเอ็น เป็นกระดูกลงไป พวกนี้ถ้าแยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีใครอยากได้ แต่พอรวมกันไว้แล้วมีผิวห่อหุ้มอยู่ ก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากอวิชชา คือความไม่รู้ปิดบังเอาไว้
              พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้ว่า “ร่างกายของคนเหมือนกับถุงที่ห่ออุจจาระปัสสาวะเอาไว้” ถ้าคนไหนสวย ๆ ก็เป็นถุงผ้าแพรถุงผ้าไหม ถ้าคนไหนไม่สวยก็เป็นถุงผ้าดิบถุงผ้าหยาบหรือถุงผ้าขี้ริ้ว ประกอบไปด้วยช่องเปิดอยู่เก้าแห่ง ถึงวาระถึงเวลาสิ่งโสโครกทั้งหลายก็ไหลออกมา ต้องคอยทำความสะอาดอบรมขัดสีอยู่ตลอดเวลา ท่านเปรียบเอาไว้ชัดอย่างนี้
              เพราะฉะนั้น...ที่เห็นว่าสวย ๆ น่ะ สวยแค่ว่าไปติดอยู่แค่ผิวเท่านั้นเอง เลยผิวเข้าไปก็เจ๊งแล้ว สะกิดผิวขาดออกมาก็เบือนหน้าหนีแล้ว บางคนถึงกับเป็นลมไปเลย ตูดกับก้นที่เขายกขึ้นมาเมื่อครู่ เพื่อประกอบให้เห็นว่าของบางอย่างจริง ๆ ถ้าดูลึก ๆ ก็ไม่ได้น่าเกลียด แต่ถ้าพูดผ่าน ๆ บางครั้งรู้สึกน่าเกลียดเหมือนกันไปแยกแค่ตูดกับก้นแค่นั้นเอง อันนี้ราชบัณฑิตยังเจ๊งมาแล้ว เขาให้คำจำกัดความของตูดกับก้นไม่ได้
      ถาม :  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้แนวคิดที่น่าสนใจในการตักเตือนสอนคนความว่า “เธอก็ผิด ฉันก็ผิด (ฟังไม่ชัด) ฉันไม่ผิด คุณนั่นแหละผิด เราไม่เคยทำผิดอะไรเลยและยังประเสริฐกว่าคุณอีกด้วย แนวทางการตักเตือนสั่งสอนคนต่าง ๆ ด้วยความเมตตา เราจะนอบน้อมนำเอาแนวคิดของพระองค์ท่านมาใช้ได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ได้ แล้วก็ควรจะคิดอย่างนั้นจริง ๆ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “อัตตานา โจทยัตตานัง” จงกล่าวโทษโจทย์ตัวเองเอาไว้เสมอ ๆ หลวงพ่อท่านก็บอวก่า “ให้เราดูความผิดของตัวเอง อย่าไปสนใจจริยาของคนอื่นเขา” แต่คนส่วนใหญ่อดไม่ได้ เพราะตัวสักกายทิฏฐิ คือเห็นตัวกูเป็นของกูยังสูงอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะยึดมั่นถือมั่นในตัวกู กลายเป็นทิฏฐิมานะ อย่างไร ๆ กูต้องถูกคนอื่นต้องผิด
              อย่างวันก่อนที่เขาเถียงกันนั่นแหละ กูต้องถูกไว้ก่อน เอาข้างเข้าถูจนสีข้างแหว่งก็ยังยืนยันว่าถูกอันนั้นอันตรายมาก อาตมาเองเคยทบทวนตัวเองอยู่ในบางเรื่อง พยายามหาความผิดว่าผิดเพราะอะไร หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไม่ได้ทำเอง ไม่ได้ทำจริง ๆ จะไปหาที่ไหนหว่า หลวงพ่อก็บอกว่า “หาให้เจอว่าตัวเองทำผิด” ในที่สุดหาไปหามาก็เจอ เจอตรงที่ว่า “มึงผิดตั้งแต่เสือกเกิดมาแล้ว ถ้าไม่เกิดมา ก็ไม่เจอเรื่องอย่างนี้หรอก” เป็นอันว่าหาที่ลงได้ เพราะฉะนั้น...ใช้หลักอัตตนา โจทยัตตานัง พระพุทธเจ้าท่านบอกให้กล่าวโทษโจทย์ตัวเองเอาไว้เสมอ ๆ เพราะฉะนั้น...ที่ท่านพูดมาใช้ได้ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเอาไปใช้