ถาม:  จริงหรือไม่ที่ทิดสึกใหม่ได้ไปบวชและปฏิบัติตามแนวหลวงปู่ชา เขากล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีความสุขจริงมีแต่ความทุกข์น้อย หรือความสบาย ?”
      ตอบ :  จริง ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่ละเอียดจริง ๆ จะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นความสุขเลย ที่ว่าสุขนั้น จริง ๆ แล้วคือทุกข์น้อยนั่นเอง พอทุกข์น้อยลงก็รู้สึก เออ...สบาย ก็ไปคิดว่าเป็นความสุข
      ถาม :  นักวิชาการเขากล่าวว่า “คำว่าราคาเท่าไร ?” มาจากคำว่า “ราคะ” ถ้าราคะมาก ราคาก็มาก อันนี้จริงหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...อันนี้ไม่จริงหรอก เล่นคำไปเท่านั้นเอง ถ้าคนเราอยากได้มาก แต่ของนั้นมีน้อย อุปสงค์อุปทาน Demand supply ของน้อยราคาแพงก็เรื่องปกติ อุปสงค์คือความต้องการ อุปทานคือาการที่จะสนองตอบ
      ถาม :  บางคนเขากล่าวว่า “ดีก็เป็นสิ่งสมมติ ชั่วก็เป็นสิ่งสมมติ ความตายก็สมมติ ฉะนั้น...เราจะทำความดีหรือทำชั่วก็เป็นสิ่งสมมติ” เมื่อทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติแล้ว เหตุใดต้องทำสมมติให้ดีด้วย ?
      ตอบ :  เหตุที่ต้องทำสมมติให้ดี เพราะเราต้องการวิมุตติ คือให้หลุดพ้นจากมันไป พูดง่าย ๆ คืออยู่ในสมมติทุกอย่าง ทุกอย่างกำหนดชื่อขึ้นมาเรียกเพื่อจะได้ไม่ยุ่งยาก จริง ๆ คือความเป็นธรรมดาของมันนั่นเอง ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น มีสภาพเป็นทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว บุคคลที่มีปัญญาต้องการพ้นทุกข์ ก็ต้องสร้างสมมติที่ดีขึ้น เพื่อจะได้มีต้นทุนที่จะหนีให้พ้นทุกข์ไปได้ การพ้นทุกข์คือวิมุตติ หลุดพ้นไปนั่นเอง
      ถาม :  ท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้น ท่านรู้ตัวเองได้อย่างไรว่าตัวท่านเองเป็นพระโพธิสัตว์ ?
      ตอบ :  แรก ๆ ยังไม่รู้ แต่พอทำไป ๆ นานเข้า ๆ จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ...นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการจะทำเอง แล้วได้ไปพบกับผู้รู้ที่ท่านศึกษาเกี่ยวกับกฎกติกาอย่างนั้นมา หรือว่าผู้ที่ท่านเป็นอยู่แล้ว รู้สภาพตัวเองแล้วบอกกล่าวเข้า ก็จะรู้ว่า อ๋อ...ที่แท้แล้วเราเป็นพระโพธิสัตว์นั่นเอง
      ถาม :  เรื่องของคนมองการไกลประการที่หนึ่ง ผู้ใหญ่บอกเด็ก ๆ ว่า “เธอจงฝึกหัดทำงานบ้านไว้ เมื่อเธอโตขึ้น เธอจะต้องมีสามี ถ้าทำไม่เป็นจะเกิดปัญหาครอบครัวในอนาคต” ประการที่สอง ผู้ใหญ่มองลูกหลานว่า “เธอจงมองสมบัติเป็นที่ตั้งในการมองหาคู่ครอง อันว่าความรักนั้นไม่มีจริง เป็นเพียงพวกอุดมการณ์ มีแต่เพียงการหลับนอนกันของสามีภรรยา แล้วก็ต้องแก่เหมือนที่เราเคยผ่านมา สรณะที่แท้จริงต่างหากที่จะยังให้เกิดความสบายในชีวิต” ข้อที่สาม ผู้ใหญ่มองลูกหลานว่า “เธอจงไปทำตามกำลังใจของเธอในการครองเรือน และเธอจงปฏิบัติให้อยู่ในทางอันประเสริฐ เพราะเป็นกฎของโลกในการครองเรือน” ข้อที่สี่ ผู้ใหญ่หาเหตุผลของการเครองเรือนไม่ได้ และชี้ให้ลูกหลานมองเห็นประโยชน์ของการครองเรือนไม่ได้ เพราะเราเองรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าที่เราแต่งงานกัน เราก็แก่แล้ว และเคยเป็นหนุ่มสาวเหมือนกับเขา เหตุผลในข้อใดบ้างที่น่าฟังครับ ?
      ตอบ :  น่าฟังที่สุด คือธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น ก็มีการครองเรือนเป็นปกติ ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีทีสุดแค่นี้ มองการไกลเห็นธรรมด้วย ขณะเดียวกันก็ทราบด้วยว่า ในเมื่อเราเป็นอะไร มีอะไ รได้อะไร เราก็ต้องเป็นอย่างนั้น มีอย่างนั้น ทำอย่างนั้นให้ดีที่สุด
      ถาม :  เดี๋ยวนี้แห้วกระป๋องเขาเปลี่ยนชื่อเป็นสมหวังกระป๋อง รวมความว่าทุกคนปรารถนาความสำเร็จและความสมหวัง นอกจากการบนเพื่อเร่งรัดความประสงค์ต่าง ๆ ตามความปรารถนาแล้ว ยังเหตุหรือวิธีใดที่จะทำให้คนได้รับความสมหวังปรารถนาได้เป็นกรณีพิเศษได้หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  กรณีพิเศษจริง ๆ ต้องสร้างครุกรรมฝ่ายกุศล ครุกรรมฝ่ายกุศลมี ๒ เหตุด้วยกัน อันนี้อยู่ในหมวดแรกของกรรมที่เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน เรียกว่า ครุกรรม คือกรรมอันหนักมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล ฝ่ายกุศลอย่างที่หนึ่งคือสร้างฌานสมาบัติหรืออภิญญานั่นแหละ ให้เกิดขึ้นกันตัวเองให้ได้
              คราวนี้ถ้าได้อภิญญาสมาบัติแล้ว สามารถใช้กำลังของอภิญญาสมาบัตินั้น ทำให้สำเร็จในสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเองต้องการได้ง่าย ประการที่สองคือหาโอกาสสร้างกุศลกับพระที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติให้ได้ ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ผลจะอำนวยให้ในชาติปัจจุบันเลย คือรวยแน่ ๆ รวยทันตา เคยอ่านข่าวหนังสือพิมพ์แม้วถูกหวยสามสิบล้าน อยู่บนเขาแท้ ๆ สงสัยมีโอกาสใส่บาตรพระองค์หนึ่งแหง ๆ เลย ถูกหวยสามสิบล้าน แสดงว่ามันซื้อชุดใหญ่ด้วย อย่างน้อย ๆ ก็สิบใบห้าคู่
      ถาม :  การแก้บนถ้าลืมแก้บนท่านใด ท่านได้กล่าววิธีแก้ในกรณีที่จำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยแล้วจำไม่ได้ ไม่ได้ไปขอขมา จะมีวิธีใดเป็นกรณีพิเศษครับ ?
      ตอบ :  เขาให้ขมาต่อหน้าหิ้งพระ หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ตั้งใจว่า “กรรมอันใดที่เราเคยล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกายวาจาหรือใจก็ดี ในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี เจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ดี ลูกขอกราบขอขมากรรมนั้นต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเมตตาอดโทษ ให้แก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ”
      ถาม :  อย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นการปรามาส ?
      ตอบ :  การล่วงเกินจะเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม ด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ ตัวอย่างชัดที่สุดคือ พระอินทร์บอกกับสุปปพุทธกุฏฐิ ว่าขอให้พูดแค่ว่าพระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์แค่นี้ แล้วเราจะบันดาลให้หายจากโรคเรื้อน และให้เป็นมหาเศรษฐีด้วยสุปปพุทธด่าเช็ดเลย (หัวเราะ) นึ่นแหละ พูดแค่นี้ถ้าในความรู้สึกของคนที่มีจิตใจหยาบ ก็ธรรมดาจะตายไปทำไมจะพูดไม่ได้ แต่พระโสดาบันท่านละเอียดกว่ากี่เท่าล่ะ เห็นชัด ๆ เลยว่านั่นคือการปรามาสพระรัตนตรัย ถึงได้บอกพระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ขึ้นชื่อด้วยการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ สำหรับเราตั้งแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว นั่นน่ะพระอินทร์ถึงได้มั่นใจว่าท่านเป็นพระโสดาบันแน่ ๆ แล้ว
      ถาม :  กฎของความไม่แน่นอน ชีวิตที่ดำเนินไปตามปกติทุกวันนี้ จะรวมอยู่ในกฎข้อนี้หรือไม่ ?
      ตอบ :  แน่นอนอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอนิจจังไม่เที่ยง กฎของความไม่แน่นอนพูดง่าย ๆ คือว่าเศษธรรมในกระโถนข้างธรรมาสน์ของพระพุทธเจ้ามา แหม...อุตส่าห์ตั้งเป็นกฎขึ้นมา
      ถาม :  ในพิธีเททองหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม ได้เกิดฝนโปรยปราย โฆษกเขาได้กล่าวว่าเป็นน้ำพระพุทธมนต์ที่ท่านเทวดาได้แสดงความยินดี อันนี้เท็จจริงประการใด ?
      ตอบ :  ถ้าเทวดาแสดงความยินดีก็ต้องเป็นเทวดามนต์ (หัวเราะ) คือหลายต่อหลายสิ่ง สิ่งลี้ลับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จะแสดงออกเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีทิพจักขุญาณ ได้มีส่วนสัมผัสได้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ร่วมยินดีร่วมโมทนาด้วย ถ้าช่างสังเกตบางอย่างก็เป็นฝน แต่ว่าฝนพวกนี้หลวงพ่อท่ทานเคยใช้คำว่า ฝนโบกขรพรรษ คือตกใส่ตัวก็จริง รู้สึกว่ากระทบฝนนะ แต่ไม่เปียกจริ งๆ หรอก เหมือนอย่างกับว่ากระทบตัวแล้วก็แห้งเลย เป็นละออง ๆ เหมือนกับทางเหนือเขาเรียกว่าเหมย คือหมอกที่เม็ดใหญ่หน่อยอย่างนั้น แต่จะตกเป็นละออง ๆ บาง ๆ เท่านั้น
              อีกอย่างที่เห็นชัดคือพระอาทิตย์ทรงกลด แต่พระอาทิตย์ทรงกลดหลวงพ่อบอกว่าเกิน ๙๐% เกิดจากบารมีในหลวง จะสังเกตว่าถ้างานไหนก็ตามเกี่ยวข้องกับชาติกับแผ่นดิน เกี่ยวข้องกับองค์ในหลวง ส่วนใหญ่แล้วถ้ามีการทำบวงสรวงทำพิธีอะไรขึ้นมานี่พระอาทิตย์จะทรงกลด เมื่องานฉลองกรุงสองร้อยปีพระอาทิตย์ทรงกลดสามชั้น ปรากฏว่างานนั้นหลวงวพ่อท่านบอกว่าสวรรค์ร้าง พรหมเทวดาไปเกลี้ยงเลย ผู้ที่ทำพิธีบวงสรวงนี่ต้องสุดยอดจริ งๆ ถ้าไม่รู้จักนี่เชิญไม่ได้ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าพระที่ร่วมทำพิธีตอนนั้นไม่ทราบว่าใครเป็นองค์ประธานเพราะว่าเขานิมนต์เยอะ เป็นการบวงสรวงที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงปี ๒๕๒๕
              อีกงานหนึ่งคืองาน ๖๐ พรรษาในหลวง ตอนนั้นจะมีการเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นน้ำสรงของในหลวง จะตักน้ำจากสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศ จังหวัดอุทัยธานีสถานที่สำคัญคือหน้าวัดท่าซุง เพราะว่าเป็นจุดที่สมเด็จพระปฐมบรมราชชนก คือพระบิดาของรัชกาลที่ ๑ ท่านเกิดที่นั่น เลยตั้งมณฑลพิธีแล้วตักน้ำกันกลางแม่น้ำสะแกกรัง แล้วทำพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถวัดท่าซุง ส่วนหนึ่งบรรจุใส่คนโทเงินคนโททองที่ทางสำนักพระราชวังเขาเชิญมาให้ ห่อผ้าขาวแล้วส่งเข้าวังไป อีกส่วหนึ่งหลวงพ่อท่านรดให้พวกเราพวกลูกศิษย์นี่ ใช้พวกกระบวยเงินกระบวยทองด้วย ท่านบอกว่า “พวกฟุบมันจะได้ฟูกันเร็ว ๆ “ ท่านบอกว่าระหว่างทีทำพิธีพุทธาภิเษกพระท่านมา หลวงพ่อท่านก็เลยถามพระท่านว่า “พิธีที่จะทำได้อย่างที่วัดท่าซุงทำนี่มีที่อื่นทำได้บ้างไหม ?” พระท่านบอกว่า “ถ้าทำได้ของขนาดที่วัดท่าซุงทำนี่ที่อื่นไม่มี” แต่ว่ามีอยู่แห่งหนึ่งใกล้เคียงวัดท่าซุง เป็นพระทางจันทบุรี หนุ่มกว่าอาจารย์สมชาย ไม่ใช่อาจารย์สมชายหรอก ท่านยืนยันอย่างนี้ คราวนี้เราไม่รู่เหมือนกันว่าทางจันทบุรีเขานิมนต์ใครบ้าง ไม่ได้ไปตามข่าว ดังนั้นเรื่องพวกนี้ลองไปสืบหากันเอาเอง ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นบุญ อย่างน้อย ๆ ได้ไปกราบไหว้ทำบุญกับท่าน ถ้าท่านล่วงลับไปแล้วก็ขอโมทนาบุญท่านตามไปเลย เป็นไปได้ว่าเรื่องของธรรมชาติก็แสดงออกได้เหมือนกันว่าสิ่งศักดิ์สทิธิ์ทั้งหลาย เขามีส่วนร่วมในการยินดีและโมทนาในบุญกุศลที่มนุษย์ได้ทำ โดยเฉพาะอย่างที่ว่างานสร้างสมเด็จองค์ปฐม งานอย่างนั้นนี่หลวงพ่อท่านบอกว่า “ขนาดพระพุทธเจ้าทุกองค์ยังโมทนาเลย” เพราะว่าสร้างผู้เป็นใหญ่สูงสุดเท่าที่จะพึงมี
      ถาม :  เวลาไปทำบุญหรือไปเททองหล่อพระ เขาตั้งจิตใจว่า “ขอให้พรหมและเทวดามีผลบุญเสมอกัน” และตามที่ท่านพระคุณเจ้าได้ชี้แจงว่า แค่เราคิดถึงเทวดานิดหนึ่ง ท่านรู้ได้ทันที และเมื่อคนนั้นตั้งใจแบบนั้น เทวดาหรือพรหมอีกท่านรู้สึกอย่างไรหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...ก็ยินดีทันที โมใทนาด้วย ไม่อนุญาตยังจะเอา อนุญาตแล้วไม่เอาหรือ
      ถาม :  เรื่องความกตัญญู ท่านได้กล่าวถึงการทดแทนพระคุณบิดามารดาที่ได้ผลที่สุด คือการให้ท่านได้เข้าถึงพระไตรสรณคม แต่เป็นธรรมดาของคนเราที่มีกำลังหรือสติปัญญาที่แตกต่างกันไป จะด้วยเหตุใดก็ตาม
              คราวนี้มีเหตุหนึ่ง อาจจะเป็นการแก้ตัวก็ได้ ที่ว่าการเลี้ยงดูบิดามารดาในเบื้องต้นนั้น เราไม่อาจหาวัตถุมาส่งเสริมร่างกายของท่านได้ โดยปัจจัยต่าง ๆ ผมเชื่อว่าบรรดาบุตรหลานทุกคนอยากแสดงความกตัญญู แต่ด้วยเหตุดังกล่าวที่คิดถึงวัตถุเป็นสำคัญ ทำให้ต้องหลบหนีต่อหน้าที่อันดีนี้ไป คำถามสามประการคือ ประการที่หนึ่ง ความกตัญญูเราตั้งใจอย่างไร ? ประการที่สอง ถ้าหากไม่มีทรัพย์สินเงินทอง เราจะใช้แรงกายในการปรนนิบัติบิดามารดาตามสมควรได้หรือไม่ ? ประการที่สาม การพาบิดามารดาไปสร้างกุศล ไปวัดหรืองานบุญต่าง ๆ จะถือเอาเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าถึงพระไตรสรณคมได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ตอบจากหลังมาหน้านะ การพาพ่อแม่ไปทำบุญทำกุศล เท่ากับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแนะนำให้ท่านเข้าถึงไตรสรณคม อันนี้ใช่เลย เพราะถ้าจิตของท่านยึดมั่น ท่านก็เข้าถึงเลย แต่ถึงไม่ยึดมั่นก็ยังได้ทำความดีอยู่ในพระศาสนา การทำความดีแม้ชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้นก็ตาม จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งผลต่อไปในชาติหน้าให้ท่านประสบพบในสิ่งที่ดีแน่นอน
              ส่วนข้อที่สอง บอกแล้วว่าตอบย้อนหลังนะ ข้อที่สองคือเรื่องของเงินทองไม่ใช่สิ่งจำเป็น การที่ครอบครัวของเราลำบากยากจนก็จริง แต่ถ้าลูก ๆ ว่านอนสอนง่าย เป็นคนขยันขันแข็งตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มสติเต็มกำลัง ปรนนิบัติรับใช้ท่านเต็มความสามารถ ก็ถือว่าเป็นการกตัญญูกตเวทีที่ดีที่สุดแล้ว ย้อนหลังมาถึงข้อหนึ่งคือเรื่องของปัจจัยเงินทองนั้น เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ถ้ามีก็ดี เป็นการซื้อความสะดวกสบายได้ง่าย แต่ถ้าไม่มี สารพัดวิธีที่เราจะทำได้
              อย่างสุวรรณสาม สุวรรณสามชาดก คือชาติที่พระพุทธเจ้าเกิดเป็นสุวรรณสาม เวลาที่พ่อแม่จะเข้าห้องน้ำ ก็ขึงเชือกให้ไปห้องน้ำห้องส้วม ถึงเวลาจะได้เกาะเชือกไป ไปตักน้ำใช้น้ำฉันให้กับพ่อแม่เตรียมไว้ทุกวัน เตรียมผลหมากรากไม้ไว้เป็นอาหารของพ่อแม่ทุกวันเลยนะ จะไปเอาสตางค์ที่ไหนอยู่กลางป่า เพราะฉะนั้น...เรื่องเงินเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ถ้าใครมาอ้างว่าไม่มีเงิน ไอ้นั่นถ้าไม่ใช่ห่วยแตก ก็น้อยด้อยปัญญาเต็มที สารพัดวิธีที่จะกตัญญูได้
      ถาม :  เรื่องของบุคคลที่ได้รับเงินถวายหกแสนบาทเป็นปัจจัยส่วนตัวระหว่างบวชเป็นพระในระยะสั้น ๆ แล้วนำเงินเหล่านั้นไปทำบุญหมดทุกสตางค์ ดูเหมือนว่าสภาพปกติของเขาจะไม่ใช่คนคร่ำเคร่งในศาสนามากนัก คำถามคือ สภาพความคุ้นเคยของแนวคิดและการปฏิบัติตนในปัจจุบัน เป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีตหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  อันนี้ใช่เลย อีกอย่างหนึ่งคือ ครูบาอาจารย์ที่อบรมเขาต้องมีความรู้จริง ๆ เพราะอย่างหลวงพ่อท่านก็อบรมอาตมาว่า แกจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่าแกมีเงินส่วนตัว ทุกอย่างที่ญาติโยมเขาถวายมาเนื่องจากแกบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยเขาถึงถวาย ถ้าไม่มีบารมีของพระพุทธเจ้าไม่มีใครเขาให้แกหรอก เพราะฉะนั้น...ท่านถึงได้เตือนว่าเงินส่วนตัวที่โยมถวาย ใช้ให้สมควรแก่สมณสารูป อย่างเช่นเป็นค่ารถ เป็นค่าอาหาร เป็นค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ได้ป่วย ใช้สงเคราะห์เพื่อนสหธรรมิกที่ลำบากไม่มีสตางค์ หรือสงเคราะห์ญาติโยมที่เขาลำบาก อย่างเช่นเขาไม่มีอาหารจะกินซื้ออาหารให้เขาได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น หลังจากนั้นแล้วท่านบอกว่า ให้รวมเข้ากองทุนการกุศลจะเป็นสังฆทาน วิหารทาน หรือธรรมทานก็ได้ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ที่ถวายมา
              อันนั้นนอกจากจะรับเงินส่วนตัวมาหกแสนบาทจริง ๆ ถ้าเป็นทั่ว ๆไปนี่ต่อให้เงินสงฆ์ก็ใช้กันเช็ดเลย เพราะไม่มีความรู้ใช่ไหม แต่อันนี้เขาเอาไปทำบุญหมด เกิดจากที่โยมบอกนั่นแหละเป็นความดีในอดีตที่เขาทำมาจนส่งผลให้เขารู้ผิดรู้ชอบทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งอาตมาเชื่อว่าครูบาอาจารย์ท่านมีความรู้อบรมมาดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์แหม...เงินหกแสนใครไม่อยากได้ ไม่ใช่น้อยนะ เพราะฉะนั้น...ที่โยมว่ามาก็ถูก แต่ว่าส่วนการอบรมของครูบาอาจารย์นี่ต้องมีส่วนมหาศาลเลย
      ถาม :  รัฐมนตรีคนหนึ่งบอกว่า “นักเรียนที่ตีกันเป็นพวกโง่กว่าควาย” แต่ครูผู้สอนเด็กเขาบอกว่า “ไอ้พวกที่ถูกด่าว่าโง่กว่าควายนี่แหละเ ป็นคนไปซื้อเทปทำให้พวกค่ายเพลงรวยขึ้นใหญ่โต” การถกเถียงของคนเรา เถียงกันแค่ไหนจึงจะพอดีครับ ?
      ตอบ :  ว่ากันโดยถูกต้องและเป็นธรรม ไม่ใช่ว่ากันโดยอารมณ์ ถ้าเถียงกันด้วยอารมณ์จะเอาชนะคะคานกันนั้น ไม่ใช่เรื่องของธรรมะแล้ว แต่ถ้าชี้แจงแสดงเหตุผลที่ถูกต้องขึ้นมา เพื่อที่จะหักล้างเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง อันนั้นเป็นการถกเถียงกันที่อยู่ในกรอบ อยู่ในสิ่งที่สมควรแล้ว ถ้าจะให้ดีคือหลังจากเถียงกันเสร็จแล้ว ให้รู้จักขอโทษขอโพยขอขมากันด้วย จะได้ไม่ติดค้างไว้ในใจ ไม่ติดค้างนี่ถึงคนอื่นติดค้างก็ช่างมันเถอะ อย่าให้ค้างในใจเราก็แล้วกัน อย่าลืมนะ การเถียงกันยิ่งต่อหน้าคนหมู่มาก เวลาขอขมาก็ให้ขอขมาต่อหน้าคนหมู่มากด้วย ไม่ใช่ไปอุ๊บอิ๊บขอขมากันอยู่ ๒ คน เราใส่เขาเอาไว้เยอะต่อหน้าคนหมู่มากถึงเวลาก็ต้องขอคืนท่ามกลางคนหมู่มาก คนอื่นเขาจะได้รู้กัน ส่วนเขาจะถือสาหาความต่อไปหรือไม่ ช่างหัวมัน เราถือว่าเราเลิกแล้ว
      ถาม :  เหตุของการพลัดหลงในศาสนาครับ ?
      ตอบ :  มีหลายอย่าง หลงเพราะไม่รู้หนึ่ง หลงเพราะโดนล่อลวงด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นการยั่วยวนใจหนึ่ง หลงเพราะไม่รู้นี่น่าสงสาร มันไม่รู้จักมันยังไป ข้อสุดท้ายเพราะสร้างกรรมนั้นมาในอดีต ในเมื่อเคยไปพรากเขาออกจากกัน ถึงเวลาเราเองก็โดนด้วย คราวนี้วิธีพรากของเขาอาจจะเป็นวิธีให้เราหลงไป และอันสุดท้ายน่าสงสารที่สุด หลงผิดในธรรม ถ้าอันนี้คือปัญญาไม่พอ โมหะยังมากอยู่ หลงข้อสุดท้ายนี่หลงน่ากลัว หลงผิดในธรรม โดยเฉพาะเห็นผิดเป็นชอบเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นกิเลสใหญ่ตัวหนึ่งเขาเรียกว่าโมหะ ความหลงผิด
      ถาม :  นักวิชาการได้กล่าวว่า “การที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งส.ส. ผู้คนกำลังหิวท้องไม่อิ่มพรรคไทยรักไทยเสนอสิ่งที่จับต้องได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์เสนอในสิ่งที่เป็นอุดมคติ เช่นการอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และสิ่งอื่น ๆ ที่จับต้องได้ยาก พรรคไทยรักไทยจึงได้รับคะแนนเสียงมาก” แต่เราคนธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าท้องจะหิวหรือจะอิ่ม การให้ความสำคัญหรือความสนใจในเรื่องพระพุทธศาสนา เราควรวางใจอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ควรมีใจประกอบไปด้วยอิทธิบาทที่อยากจะทำความดี โดยมีศีลเป็นเกราะแก้วกำบังตน ทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ถ้าไปติดในกรอบของศีลแล้วจะทำให้ศีลต้องล่วงไปก็ถอยกลับ อันนั้นจริง ๆ พรรคไทยรักไทยเขาไม่ได้วางยุทธศาสตร์ถูกอยู่ฝ่ายเดียวนะ ชาวบ้านต้องมีปัญญาพอด้วย มันเห็นนี่ว่ายุทธศาสตร์ที่ไทยรักไทยให้มาจับต้องได้ แต่ขณะอีกอันหนึ่งเลื่อนลอยเหลือเกินอย่างนี้ ต้องชมชาวบ้านว่ามีปัญญาด้วย
      ถาม :  บุคคล ๒ คนออกโทรทัศน์คนละช่องแต่พูดเรื่องเดียวกัน ได้ฟังคำกล่าวของท่านมโหสถความว่า “ดวงตาเป็นสื่อภาษาของใจ” อย่างนี้จะนำไปดูคนได้ทั้งหมดเลยหรือไม่ ?
      ตอบ :  เกือบทั้งหมด มีบางท่านประเภทนิ่ง แต่พวกที่นิ่งนี่ส่วนใหญ่จะจิตจะทรงเป็นฌานเป็นอย่างน้อย พวกนี้อ่านเขาไม่ออกหรอก รัก โลภ โกรธ หลงอะไรเกิดขึ้นมาเฉยหมด พวกคุณเคยเห็นดวงตาหลวงปู่บุดดาไหม ใสแจ๋วเป็นตาเด็กเลย ถ้าลักษณะนั้นนี่หมดกิเลส แต่อย่าถือเป็นข้ออ้างนะ เราพูดถึงว่าเรารู้อยู่แล้วหลวงปู่หมดกิเลส ไม่ใช่ว่าไปเจอคนอื่นลักษณะดวงตาอย่างนั้นไปเหมาเอาว่าเขาหมดกิเลส
              รุ่นหลัง ๆ นี่ได้เรียนพงศาวดารไคเพ็กไหม ในวิชาภาษาไทยจะมีพงศาวดารไคเพ็ก กล่าวถึงไส้ตุ่น ตอนหลังได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาบอกว่า “มีแก้วตาสองคู่” อาตมาเองก็แปลกใจ แก้วตาสองคู่ถ้าตาดำสองคู่นี่คนเห็นก็เผ่นแนบแล้ว ปรากฏว่าในชีวิตนี้เห็นแล้วก็เข้าใจว่าตัวเองน่าจะเดาถูก คำว่าแก้วตาสองคู่เป็นอย่างไร เห็นตาดำซ้อนกันอยู่สองชั้น แล้วแบ่งชัดเจนมากเลย แบ่งด้วยตาขาวชั้นหนึ่ง ไม่เหมือนของพวกเรา ของพวกเราซ้อนสีใกล้เคียงกันหมด แต่อันนั้นแบ่งด้วยตาขาวชั้นหนึ่งเลย เป็นวงดำแล้วมีขาวคั่นอยู่ แล้วก็เป็นดำข้างในอีก เห็นอยู่ ๓ คน ใช้คำว่าแต่ละคนไม่ได้ ๒ องค์เป็นพระอรหันต์ อีกท่านหนึ่งเป็นเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เป็นนายพลเรือโท แสดงว่าตำราจีนที่ว่าบุคคลที่มีแก้วตาสองคู่จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนี่ จริง ๆ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นใหญ่มากเท่าที่ต้องการ เพราะท่านเข้าวัดเข้าวาตลอดไม่ไปชิงดีชิงเด่นกับใคร เลยมียศแค่พลเรือโท เกษียณอายุไปหลายปีแล้ว คาดว่าคำว่าแก้วตาสองคู่นี่น่าจะเป็นอย่างที่อาตมาพบมา คงไม่ใช่ประเภทตาดำสองดวงอยู่ในลูกตาเดียวกันหรอก ถ้าอย่างนั้นเจอหน้าวิ่งหนีดีกว่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวก็จะต้องเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างแน่ ๆ เลย อาจจะเป็นไปได้นะรอดูก่อนแล้วกัน
              เพราะฉะนั้น...กรณีว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ ใช้ได้เกือบทั้งหมด แต่จะมีอยู่ประมาณ ๒๕% ที่นอกเหตุเหนือผล เนื่องจากว่าท่านได้รับการฝึกจิตมาดีมาก เพราะฉะนั้น...สภาพของท่านนั้นนิ่งเสียจนอ่านไม่ออก
      ถาม :  พระอรหันต์ท่านชื่ออะไรครับ ?
      ตอบ :  ไม่บอก เดี๋ยวไปกวนท่านตายเลย บอกได้ว่าท่านนายพลเรือโทคือพลเรือโท บรรยงค์ ถาวรามร ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ส่วนพระ ๒ องค์ไปหาเอาเอง กลัวกรรมสนอง
      ถาม :  เท่าที่ได้เห็นมา ตำราดูโหงวเฮ้งทำให้สามารถรู้อุปนิสัยคนได้บางส่วน แต่ที่เคยฟังมาว่า ท่านบัง ทองผู้มีหน้าตาไม่ดี แต่กลับมีสติปัญญาหลักแหลม ตำราดูโหงวเฮ้งจะมีข้อยกเว้นอย่างไรหรือไม่ ?
      ตอบ :  หน้าตาไม่ดีไม่ได้หมายความว่าโหงวเฮ้งไม่ดี หน้าตาไม่ดีนี่ส่วนประกอบเครื่องของใบหน้าไม่ได้สัดส่วน สังเกตไหมว่าคนขี้เหร่จริง ๆ คือจะมีเครื่องประกอบใบหน้าบางอย่างที่ผิดรูปผิดร่างไปเล็ก ๆ น้อย ๆ รวม ๆ กันแค่นั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกส่วนจะไม่ดีทั้งหมด ถ้าหน้าผากกว้างก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อให้ขี้เหร่ขนาดไหนถ้าหน้าผากกว้างนี่ทางชีวิตไปโล่งแน่นอน แล้วอย่าคิดว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เหลวไหลนะ ตำราโหงวเฮ้งมีในพระไตรปิฎกบอกไว้ชัดมากเลย ใครสังเกตหรือเปล่า มหาปุริสลักษณะ ๓๒ กับอนุพยัญชนะ ๘๐ โหงวเฮ้งชัด ๆ เลย นั่นแหละตำราโหงวเฮ้ง อยู่ในพระไตรปิฎก
      ถาม :  ลักษณะนั้นจะเจอในคนปกติ ?
      ตอบ :  น้อย ถ้าว่าตามที่ว่ามาก็มีพราหมณ์พาวรีมีมหาปุริสลักษณะ ๓ อย่าง พระมหากัสสปมี ๕ อย่าง ที่ใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด ก็พระมหากัจจายะ พระมหากัจจายนะอย่าลืมว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน และเป็นพระอรหันต์องค์ที่มีคำเทศน์เป็นสูตรอยู่ในพระไตรปิฎก อย่างภัตเทกรัตตสูตร
              ฉะนั้น...ท่านเองเมื่อปรารถนาพระโพธิญาณมา พอมาเจอพระพุทธเจ้าเข้าเกิดเลื่อมใสเลยตัดเป็นสาวกขึ้นมา คราวนี้สิ่งที่ท่านทำขึ้นมาเกือบจะพอแล้ว ท่านเสวยคล้ายพระพุทธเจ้าเลย พระนันทะพุทธอนุชา พระอานนท์พุทธอนุชาก็คล้ายคลึงพระพุทธเจ้า เพราะว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน แต่ว่าพระมหากัจจายนะนี่อยู่ปัจจันตชนบท ท่านอยู่กรุงอุชเชนี สุดขอบชมพูทวีปเลย แต่ที่ท่านเหมือนได้คล้ายได้เพราะท่านสร้างบารมีเก่ามาเยอะมาก พอถึงเวลาเกิดเดือดร้อนเพราะปากชาวบ้านขึ้นมา เพราะพระพุทธเจ้าไปหนึ่ง พระอานนท์ไปหนึ่ง พระนันทะพุทธอนุชาไปหนึ่ งพระมหากัจจายนะไปอีกหนึ่งบิณฑบาตสายเดียวกันเท่ากับวน ๔ รอบ ชาวบ้านก็นินทาว่าสมณะรูปนี้มักมากจริง มาแล้วมาอีก ชาวบ้านจะซวย พระมหากัจจายนะก็ตูซิ่งก่อนเถอะ อธิษฐานให้อ้วนไปเลยหมดเรื่อง ที่อธิษฐานให้อ้วนเลยนี่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีว่าโสเรยยะเศรษฐีเห็นพระมหากัจจายนะแล้วนึกว่าพระองค์นี้สวยเหลือเกิน ถ้าได้เป็นเมียเราก็ดี คิดแค่นั้นนะ กลายเป็นผู้หญิงไปเลย ท่านเห็นว่าขันธ่ ๕ ร่างกายของท่านเป็นอันตรายกับคนอื่น แล้วยังมีเรื่องเกี่ยวกับเขาจะกล่าวหาพระพุทธเจ้าด้วย ท่านเลยซิ่งไปก่อน ตูยอมอ้วนดีกว่า ว่าแล้วอธิษฐานเปลี่ยนร่างใหม่เลย
              เพราะฉะนั้น...ตำราโหงวเฮ้งมีอยู่นะ แต่คนที่แน่จริง ๆ นี่นะมาคันทิยะพราหมณ์ ไม่ใช่สิ มาคันทิยะพราหมณ์เมียเก่งกว่าผัว พวกนี้เขามีวิชาปาทะศาสตร์ดูรอยเท้า แหม...พราหมณ์สององค์นี่ลูกสาวสวย ในเมื่อลูกสาวสวยก็อยากหาเนื้อคู่ดี ๆ ให้ลูกสาว แต่หาไปเถอะ หาแล้วหาอีกนี่ก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เรื่อง พระพุทธเจ้าตอนเช้าวันนั้นตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก พราหมณ์สองผัวเมียนี้อยู่ในข่ายพระญาณจะต้องไปโปรดได้ แล้วท่านก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก็เสด็จไปในทางที่พราหมณ์จะผ่าน แล้วก็ประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้
              การประทับรอยพระพุทธบาทมี ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกคือต้องการจะสอน สาเหตุที่สองคือทิ้งไว้ให้บูชา ประทับรอยแล้วไม่ไปไกลหรอก ประทับรอยแล้วก็เดินไปใต้ต้นไม้รอ คราวนี่พราหมณ์สองผัวเมียก็เดินก็อก ๆ ไปทำธุระตามปกติ มาคันทิยะพราหมณ์เห็นรอยเท้าเข้าคว้าแขนเมีย แม่มึงลูกเราได้ผัวแน่แล้วคราวนี้ ถามว่า “ทำไม ?” “แหม..นี่รอยเท้ามีทั้งลายกงจักร มีทั้งลายมงคลตั้ง ๑๐๘ อย่าง บุรุษคนนี้ต้องเป็นมหาบุรุษแน่นอนเลย สมควรที่จะเป็นผัวลูกเรา” เมียก็ก้มพิจารณา พิจารณาเสร็จ “พ่อมึงเอ้ย ไม่ได้เรื่องซะแล้ว รอยเท้าลักษณะนี้เป็นรอยเท้าของคนออกจากกาม” ท่านบอกว่า “บุคคลที่ออกจากกามแล้วถึงมีรอยเท้าที่เรียบเสมอปานนี้ แล้วอธิบายว่ารอยเท้าของคนโทสจริตจะหนักส้น รอยเท้าของคนราคะจริตจะเว้ากลาง รอยเท้าของคนโมหะจริตจะกดปลาย แต่ถ้าเรียบสนิทชินดนี้ แกเอาลูกสาวกี่คนไปส่งให้เขาก็ไม่เอาหรอก แต่ว่าคนอย่างนี้น่าทำความรู้จักไว้ ไปหาตัวกันเถอะ” ก็ไปเจอพระพุทธเจ้านั่งอยู่ใกล้ ๆ ไปถึงก็ “สมณะ อินทรีย์ท่านผ่องใสเหลือเกิน ท่านถือศาสนาไหน ?” ท่านบอกว่า “ถือศาสนาพุทธ” ตาผัวยังไม่ทิ้งความพยายาม “ท่านรออยู่ที่นี่ เรามีลูกสาวอยู่ เดี๋ยวจะพาลูกสาวมาให้ ดูซิว่าจะเหมาะสมกับท่านไหม ?” ก็กลับบ้าน “อีหนูแต่งตัวเร็ว” ว่าซะเช้งวับเลย ไปถึงพระพุทธเจ้าต้องการจะสอนพราหมณ์สองผัวเมีย และรู้ด้วยว่าในอดีตมีกรรมบางส่วนที่จะทำให้นางมาคันทิยะมีอันที่จะต้องลงอเวจีมหานรก กรรมส่วนนี้ถึงท่านจะสอนพ่อสอนแม่เขาหรือไม่สอนก็ตาม ยายนี้ลงแน่ ๆ แต่ถ้าสอนได้กำไร พ่อแม่จะเป็นอริยเจ้าอยู่สององค์ ก็ใช้วาจาในลักษณะถ้าเป็นคนอื่นเขาเรียกว่าดูถูก บอกว่า “ในสายตาของพระองค์ท่านน่ะ ในร่างของลูกสาวเธอมีแต่มูตรและกรีส ก็ขี้เยี่ยวเท่านั้น แม้แต่มือยังไม่อยากจะแตะเลย มาส่งให้ทำไม ?” ผัวเมียก็โฮ้โฮเขาดีจริง ๆ เลย คนดีคิดอย่างหนึ่ง แต่ไอ้ลูกนี่ไม่ไหว ดูถูกกูขนาดนี้ได้อย่างไรวะ ? ตั้งใจผูกอาฆาตไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้ามีโอกาสเมื่อไร จะเล่นงานพระสมณะโคดมให้ได้ แต่ผัวเมียยิ่งเลื่อมใส เออ...ตำราถูก ก็ตั้งใจฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบันหมด ลูกสาวไม่ได้อะไรเลย ตอนหลังดิ้นรนเพื่อไปเป็นมเหสีพระเจ้าอุเทน เสร็จแล้วก็เล่นพระพุทธเจ้า เล่นงานพระพุทธเจ้าโดยตรงไมได้ ก็เล่นงานนางสามาวดีมเหสีอีกคนของพระเจ้าอุเทนที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เผาซะตายไป ๕๐๐ คน ๕๐๑ คนรวมนางสามาวดีด้วย อันนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่แล้ว เพราะมีกรรมเนื่องกันมา
              เพราะในอดีตชาติชาติหนึ่ง นางสามาวดีกับบริวารไปเล่นน้ำแล้วขึ้นมาก็หนาว ก็จุดไฟผิง ปรากฎลามเป็นไฟป่าไหมไปโดนพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิโรธสมาบัติอยู่ พอไฟดับตกใจเห็นโล่งไปหมด เห็นคนนั่งดำเป็นคอตะโกอยู่ก็คิดว่าตาย ความจริงไม่เป็นไรนะ ยังไม่ได้ออกนิโรธสมาบัติเลยด้วยซ้ำไป คิดว่าตายก็เลยหาฟืนมาสุม ๆ หนักเข้าไปอีก เผาซะเลย โทษอันนั้นแหละ พอมาชาตินี้ต้องโดนเขาเผาทั้งเป็นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ แต่ว่าช่วยมาคันทิยะพราหมณ์สองผัวเมียได้เป็นพระอริยเจ้าไป ช่วยนางสามาวดีและหญิงบริวารอีก ๕๐๐ คนเป็นพระอริยเจ้าได้ห้าร้อยกับสามคน แล้วนางมาคันทิยะนี่ลงอเวจีก็ลงไปเถอะ ก็ช่วยได้ตั้งห้าร้อยกว่านี่แลกกันแล้วคุ้ม