คราวนี้ช่วงของการเข้าพรรษา ก่อนจะมาก็อบรมพระ ช่วงของการเข้าพรรษาสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง จะเป็นช่วงที่ติวเข้มตัวเอง ๓ เดือน ความจริงมันน่าจะ ๙ เดือนนะ มันกลายเป็นว่าเราอาศัยว่าช่วงจังหวะดี เรียกง่าย ๆ ว่ามันต้องอาศัยฤกษ์ดี ครูดี คณะดี ใช่ไหม ? เอาดียากหน่อยแต่ว่าก็ยังดีว่าเรายังมีเวลาตั้งตาทำอยู่ เราต้องคอยตรวจต้องคอบทบทวนกำลังใจของตัวเองไว้เสมอๆ ว่ากำลังใจของเราตอนนี้ดีหรือว่าเลว ต้องรู้ตัวโดยที่ไม่เข้าข้างตัวเองด้วย เช็คอยู่เสมอว่าตอนนี้ความดีในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้าไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันมีอยู่แล้วทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตอนนี้ความชั่วในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้ามันมีขับไล่มันออกไปแล้วคอยระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ อยู่ตลอดเวลา
              อย่างที่พระเขาพิจารณาเตือนตัวเองฆราวาสก็ใช้ได้ เช่นท่านบอกว่า บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าขณะนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ แล้วกริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกริยาอาการนั้น ๆ ก็หมายความว่าจะคิดจะพูดจะทำต้องอยู่ในความเป็นพระ คราวนี้พวกเราเป็นนักปฏิบัติ ต้องเรียกว่าพระโยคาวจรได้กำไรกว่าพระจริง ๆ ซะอีก เพราะพระจริง ๆ เรียกสมมติสงฆ์ยังไม่เป็นพระเลย
              แต่นักปฏิบัติที่มุ่งมั่นจะเอาดีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระโยคาวจร เป็นพระแล้ว ในเมื่อเราก็ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งแล้ว เป็นพระอยู่ในตัวแล้ว เราจะพิจารณาอย่างเดียวกันก็ได้ อย่างเช่นท่านบอกว่า บรรพชิตควรพิจารณาควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวเราติตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ? เราทบทวนว่าเราบกพร่องนี่ เรากล่าวโทษโจทย์ตัวเองได้ไหม ? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าผู้รู้ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ? คนที่เขารู้จริง รู้ว่าเราทำผิดอย่างนี้ เขาตำหนิติเตียนมาได้ไหม? เรามีข้อบกพร่องให้เขาว่าได้หรือเปล่า? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจนั้น หมายความว่าสิ่งที่เหนือกว่านี้ยังมี
              ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานเราหยุดไม่ได้ ต่อให้เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าท่านยังไม่ไปสู่พระนิพพานคือยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ยังไม่ประมาทยังดำเนินใจในลักษณะระมัดระวัง คอยจ้องในทางลดละเลิกกิเลสอยู่เสมอ ๆ เหมือนกับพวกเรานี่แหละ ยิ่งไปได้สูงมากเท่าไร สติปัญญา สมาธิยิ่งสูงมากเท่านั้น สมาธิก็ยิ่งเข้มมาก เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแล้วเลิกเลย ดังนั้นว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจนั้น บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่ ? หลายคนนิยมเม้าท์แตกน่ะระวังไว้ เรายินดีในที่สงัดจริงหรือไม่ ?
              บางคนให้อยู่เงียบไปฏิบัติน่ะ พักเดียวเท่านั้นแหละฟุ้งซ่าน ต้องวิ่งไปหาคนอื่นเขาสังเกตตัวเองให้ดี ถ้าใครเป็นแบบนี้แล้วรีบแก้ซะ อาตมาเจอพระมาหลายองค์แล้วน่าสงสารมาก แทนที่โยมติดพระกลายเป็นพระติดโยม ถึงเวลาต้องตะกายไปเพื่อหาเพื่อนคุย ถ้าหากว่าไม่มีญาติโยมนี่งุ่นง่านเป็นชะมดติดจั่นไปเลย ดังนั้นต้องดูตัวเองว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่? ยืน เดิน นั่ง นอน ให้อยู่ในความสงบ สงัด อยู่เสมอ
              พระพุทธเจ้าท่านถึงได้กล่าวไว้ว่า ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่ฟุ้งซ่านย่อมต้องห่างจากสมาธิ มันพาพังไปโน่น ดังนั้นการที่คุยกันดี ๆ น่ะ มันน้อย กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา สนทนาธรรมในระยะเวลาอันสมควร มีน้อย ส่วนใหญ่พอเข้าวงได้มันพากันเตลิดเปิดเปิงกลายเป็นเดรัจฉานคาถา คือวาจาอันเป็นเครื่องขวางต่อความดี ชวนไปฟุ้งซ่าน แล้วจะไปกินที่โน่น แล้วจะไปเที่ยวที่นี่ แล้วหนังเรื่องนั้นสนุกไปกันไหม ? อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ตามกันไปเป็นพรวน มันจะพาเสีย บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมมิกของเราไต่ถาม ต้องเอาดีให้ได้ ถ้าไม่ดีเขาถามขึ้นมา มันอายนะ
              อย่างพวกเราประกาศตัวว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ตาม นั่นคือครูบาอาจารย์ที่เราถือว่าเลิศแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพสุดจิตสุดใจแล้ว ไม่ต้องการให้คนอื่นมาปรามาสแม้แต่ กาย วาจา ใจ เพียงเล็กน้อย ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดนั้นเก่งขนาดนั้น แล้วตัวเราล่ะ? เราไม่ต้องการให้คนอื่น ดูถูกปรามาสครูบาอาจารย์ของเรา เรามีอะไรไปอวดเขา ครูบาอาจารย์ของเราเก่งขนาดนั้นน่ะ คำหนึ่งก็หลวงพ่อ สองคำก็หลวงพ่อ แล้วเราได้ อะไรจากหลวงพ่อไว้บ้าง
              ต้องพิจารณาอยู่เสมอ ๆ บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเราทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ากระทำอันใดย่อมได้รับผลของการกระทำอันนั้น ที่ท่านใช้คำบาลีว่า กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิจสะระโน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดก็ต้องรับผลอันนั้น กัลยาณังวา ปาปะกังวา ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตัสสะธรรม ทายาทา ภะวิสสติ กรรมอันนั้นย่อมเป็นทายาท ตามสืบเนื่องต่อ ๆ ไป
              เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นใครดีใครชั่ว ดีเราโมทนาแต่ ถ้าเขาทำไม่ดีที่เรียกว่าชั่วเมื่อครู่นี้ ขอให้รู้ตัวไว้ว่าเราทำมาก่อน พอเราก้าวข้ามจุดนั้นมาเราเห็นข้อบกพร่องตรงนี้ เราเห็นว่ามันไม่ดีอย่างไร เรารู้ว่ามันน่าเกลียดน่าชังอย่างไร แล้วเราไปตำหนิคนอื่นเราทำมาก่อนแล้วคนอื่นมาทำตาม ไอ้นั่นน่ะ ลูกหลานเราเอง ทายาทเราเอง ที่เขาสืบเนื่องซึ่งกรรมอันนั้น
              เพราะฉะนั้นคนทำผิดไม่ใช่คนที่น่าตำหนิ เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูก ที่ควร เป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย เราตำหนิเขา มันใช้ไม่ได้ มันควรจะสงสารและหาทางช่วยเขาให้พ้นจากจุดนั้นมากกว่า ตัวเราเอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด ถูกทั้งหมด มันดีแค่นี้ มันถูกแค่นี้พอกำลังใจเราก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดีกว่านั้นถูกกว่านั้นมันมีแล้ว
เรามองย้อนกลับ อ้าว...คราวที่แล้วมันผิดนี่หว่า แต่เรียกว่ามันผิดก็ไม่ถูก ถ้าเรายืนอยู่ในจุดนั้นเราจะเห็นว่ามันดี ว่ามันถูก แบบเดียวกับว่า เวลาเข้าพรรษาพวกเรามาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ มาติวเข้มตัวเองกันแต่ขนาดเดียวกันคนบางจำพวกมันก็ยังกินเหล้าเมายาอยู่เหมือนเดิม นั่นเขาเห็นว่าดีเขา ถึงทำ ถ้าเขารู้ตัวว่ามันไม่ดี เห็นว่าดี เขาจะไม่ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หรอก ทุกคนเขาเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีแล้วจึงทำ
              ดังนั้นคนที่เขาเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิมีโอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิเป็นคนที่น่าสงสารมาก ไม่ใช่คนที่น่าโกรธน่าเคืองน่าตำหนิ ในเมื่อเขาน่าสงสารอย่างนั้น เราควรที่จะแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำแล้วไม่สามารถทำได้ แล้วค่อยวางอุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระคิด พิจารณา ทบทวนตัวเอง อยู่เสมอ ๆ หลวงพ่อก็บอกพวกเราเสมอว่าอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้กล่าวโทษ โจทย์ตัวเองเท่านั้น
              ดังนั้นในช่วง ๓ เดือนของพรรษา เราเป็นนักปฏิบัติ พระทำอย่างไร หลวงพ่อสอนให้พระทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้นได้ตรวจตราตัวเอง ตำหนิตัวเองอยู่ทุกวัน ก่อนนอนนั่งทบทวน ดูศีล ๕ หรือศีล ๘ ของเรา ตรงไหนบกพร่องบ้าง อย่างเข้าข้างตัวเอง บกพร่องแม้แต่นิดเดียวก็ต้องโทษตัวเองไว้ก่อน
              สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่เคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาใครอย่าคิดว่าหลวงพ่อไม่ได้สอน พระองค์ไหนปฏิเสธองค์นั้นถือว่าใช้ไม่ได้เลย หลวงพ่อสอนอยู่ตลอดเวลาเทปมีหนังสือมี จริยาต่าง ๆ ที่ท่านแสดงออกเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่พระลูกพระหลาน ที่ฆราวาสจะเลียนแบบและทำตาม ท่านสอนทั้งด้วยวาจา ทั้งด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่รู้จักว่าท่านเคี่ยวเข็ญเราอย่างไร ไม่รู้จักเลียนแบบเพื่อทำตามก็เป็นอันว่าเราขาดทุน
              สมัยที่ท่านเคี่ยวเข็ญอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาเราทบทวนตัวของเราเอง ถ้าหากว่ามันมีข้อบกพร่องเราก็แก้ไขตามนั้น แต่ในบางครั้ง อาตมาทวนแล้วทวนอีกหาความผิดตัวเองไม่เจอ มันเป็นไปได้อย่างไรที่หาความผิดตัวเองไม่เจอ ...ลงซ้ายลงขวา ในที่สุดก็จับยัดให้ว่าเอ็งผิดตั้งแต่เสือกเกิดมาแล้ว ถ้าไม่เกิดมามันจะมาทุกข์อย่างนี้ได้ยังไง เออ ! เอามันให้ได้
              ในที่สุดก็หาผู้รับผิดจนได้ ยัดให้มันเข้าไปให้หมด แล้วเราก็เริ่มต้นแก้ไขใหม่ ในเมื่อเราผิดเพราะเราเกิดมาเราก็ไม่ควรเกิดอีก มันจะได้ไม่ผิด เออ ! ก็ใช้วิธีอย่างนี้แต่ว่าตอนหลวงพ่ออยู่ พลาดหน่อยเดียวท่านตีจมดินเลย แต่ว่าดีอยู่อย่างว่า ครูบาอาจารย์ ถ้าไม่รักเราท่านไม่ตีไม่ด่า ถ้าหากว่าท่านยังตียังด่าอยู่แสดงว่าเมตตา ยังอยากให้เราได้ดีอยู่ ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ว่า อะไรเลยแม้แต่คำเดียวนะ ไม่แน่ว่าท่านจะรักเรานะ ท่านอาจปล่อยให้เราเป็นไปตามกรรมก็ได้
              ดังนั้นช่วง ๓ เดือนนี้ ก็อยากจะให้ทุกคนใช้เป็นเวลาที่เร่งรัดการปฏิบัติของตัวเอง อาตมาเองก็ไม่รู้จะอยู่ให้โยมดูหน้าได้นานเท่าไหร่ งานมันเยอะ บางทีก็เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ รู้ตัวอยู่เหมือนกัน ว่ามันไม่แน่ว่าจะอยู่ได้ เป็นมากขึ้นมาทีไรก็รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราอาจต้องไปในเมื่อเจ้าตัวพร้อมที่จะไป
              พวกเราถ้าหากว่ายึดคนเป็นที่พึ่งก็จะลำบาก เราต้องยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ยึดการปฏิบัติเป็นที่พึ่งอย่างเช่น ว่าเรายึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งแล้วไปยึดร่างกายของหลวงพ่อเราก็พลาดต้องมานั่งเสียอกเสียใจเวลาที่ท่านจากไป แต่ถ้าเรายึดในสังฆานุสติคือคุณความดีที่หลวงพ่อทำไว้ ระลึกถึงเมื่อไหร่ก็เด่นชัดอยู่ในใจของเรา
              ท่านเมตตาสั่งสอนอบรมเรามายังไง ด่าเรายังไง หัวเราะยังไง เป่ายานัตถุ์ยังไง ถือไม้เท้าเคาะกะโหลกเรายังไง นึกออกหมด พยายามนึกภาพเหล่านี้เอาไว้ให้อยู่ในจิตในใจของเรา มันสบาย มันชุ่มชื่นใจ แล้วภาวนาของเราต่อไป เป็นสังฆานุสติเต็มระดับ ไม่ต้องเสียเวลาภาวนานาน ใครเคยเจอหลวงพ่อนึกออกทันที ต่อไปใครไม่เคยเจอหลวงพ่อต้องอิจฉาพวกเรา นึกเมื่อไหร่ก็นึกออก มาถึงยังไง ทักทายยังไง หัวเราะยังไง เคี้ยวหมาก เป่ายานัตถุ์ อิริยาบถไหน สั่งน้ำมูกยังไงนึกออกหมด มันก็จะได้เปรียบคนอื่นเขาเยอะ รักษาชื่อเสียงพ่อไว้อย่าให้เขาดูถูกดูหมิ่นได้ โดยเฉพาะความสามารถในทางด้าน มโนมยิทธิ
              ปัจจุบันนี้อาตมารู้สึกสงสารทุกคนมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้ผิดกันหมด มโนมยิทธิมีคุณวิเศษเหลือเกิน ยิ่งกว่าแก้วมณีที่เป็นโคตรเพชรเสียอีก ประมาณราคาไม่ได้ มีคุณวิเศษตรงที่ว่าเราเกาะพระนิพพานได้ การที่จิตเราเกาะพระนิพพานเราเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิงตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ เราเกิดโทสะกระทบขึ้นมาอาศัยกำลังความเคยชินพุ่งใจขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน เกิดราคะกระทบใจขึ้นมาอาศัยความเคยชิน ความคล่องตัวในมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายเมื่อไม่มีใจคอยปรุงคอยแต่งมันไม่สามารถจะอยู่นานได้ อย่างเก่งนาทีสองนาทีมันก็เงียบ มันเหมือนกับหมดเชื้อ ไม่มีใครไปคอยใส่ไฟให้มัน ใจเราไปกราบพระอยู่ต่อหน้าพระ เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด สะดวกสบายที่สุด ตายตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นเลย
              หลวงพ่อท่านใช้ความพยายามมาสิบหกอสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย และจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้ ปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง อยู่หลายสิบปีกว่าจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดมาให้ลูก ๆ ปฏิบัติเหมือนยังกับท่านเตรียมอาหารให้พร้อม ๆ ทุกอย่างแล้ววางอยู่ตรงหน้านี่ไม่ตักใส่ปากมันก็โหดร้ายกับพ่อเกินไป แล้วขณะเดียวกันตักแทนที่จะใส่ปากเอาไปละเลงหัวคนอื่นเขาก็มี ดังนั้นวิชาที่พ่อท่านให้ไว้ประเมินราคาไม่ได้ นับเป็นร้อยล้านพันล้านไม่ได้ แต่พวกเราเอาไปใช้สลึงเดียว เขาให้รู้เพื่อละและมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว จิตเกาะนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว ถ้าหากว่ามันเคยชินกิเลสมันก็ขาดไปโดยสิ้นเชิงเองได้ง่าย ๆ เลย
              คราวนี้พวกเราก็เอาไปใช้ผิด ไปดูว่าชาติก่อนเป็นยังไง คนโน้นก็พ่อกู คนนี้ก็แม่กู นี้ก็ลูกกู นั่นผัวกู เมียกู สบายมาก แทนที่จะเลิก ไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แทนที่จะละได้กลายเป็นกอดคอกันจมตายทั้งขบวน เห็นแล้วน่าสงสารมาก อยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกเราใช้ผิด แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าวาระบุญมันยังเข้าไม่ถึง กรรมมันยังแทรกอยู่ ถึงบอกไปมันก็ไม่ฟังหรอก
              สมัยก่อนอาตมาก็ทำแบบนี้แหละ ใครให้ดูอะไร ดูให้เขาไปหมด พอเขาชมว่า แหม ! รู้ชัดเจนแจ่มใสดีจัง เก่งอะไรอย่างนี้ มันพอง มันอยากจะลอยทั้งตัว ลอยไปลอยมา หลวงพ่อตีกบาลร่วงตุ๊บเลย คือวันหนึ่งมันถึงวาระแล้วเข้าไปที่บ้านสายลมเพื่อทำหน้าที่ คืนนั้นหลวงพ่อท่านทศน์ว่าบุคคลที่สามารถทรงกรรมฐาน ๔๐ ได้ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือว่าวิชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นอย่างนี้นะไม่ใช่กั้นตามยาว ได้ยินเข้าเหงื่อหยดเลย ขนาดทรงกรรมฐานได้ตั้ง ๔๐ กองก็ไม่พ้นนรก ถ้ายังตัดกิเลศไม่ได้
              แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า วิธีที่จะพ้นมีวิธีเดียว คือ ต้องเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แล้วท่านก็เทศน์ต่อไปว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร บอกให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ให้ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน ง่ายแค่นี้แหละ ง่ายจนนึกไม่ถึง แล้วพวกเราก็ทำเลยไปทุกทีมันง่ายเกินไปเดี๋ยวคนเขาจะไม่ชมว่าเก่ง ก็เลยก้าวผ่านของดีไป
              หนังสือหลวงพ่อทุกเล่ม เทปหลวงพ่อทุกม้วน ลองไปอ่านดู ฟังดู เราจะได้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ จะเป็นจุดที่สะดุดหูเราอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นอ่านแล้วไม่เจอ ฟังแล้วไม่ได้ยินเพราะว่าเราทำถึงตรงไหนกำลังมันจะจดจ่ออยู่ตรงนั้น พอหลวงพ่อ กล่าวถึงตรงนั้นมันก็จะกระทบใจเรา กระทบตาเรา แต่ถ้าเรายังทำไม่ถึงมันก็จะเลยไปเฉย ๆ ดังนั้นตำราอย่าทิ้ง โดยเฉพาะตำราของหลวงพ่อ ตำราของหลวงพ่อแทบจะทั้งหมดท่านแทรกวิปัสสนาญาณไว้เกิน ๘๐ % ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาเอง อ่านแล้วฟังแล้วตัดสินใจตามไปได้เลย ได้ประโยชน์ล้วน ๆ ถ้าเราไปพิจารณาเองบางทีปัญญามันไม่ถึง นึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าจะนึกต่อยังไง

              ดังนั้นภายในพรรษานี้ อยากจะให้พวกเราเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ ขี้เกียจมานานเต็มทีแล้ว ขี้เกียจจนพ่อตายไปทั้งองค์แล้ว มันจะขี้เกียจต่อจนอาตมาตายไปอีกก็เกินไป ขยันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ให้มีไฟขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องไปเกรงใจว่ากิเลสมันจะเศร้าหมอง ตีมันให้ตายไปเลย มันตายเมื่อไรเราก็สบายเมื่อนั้น ถ้ามันยังอยู่เมื่อไร ก็บังคับเราต่อไป กลายเป็นทาสของมันต่อไป พ่อสอนอย่างไร พระทำอย่างไร เพราะที่เป็นพระโยคาวจรอยู่ก็ทำอย่างนั้น
              ท่านเคยอบรมพระ ท่านบอกว่าพวกแกไปไหนก็บอกว่าท่าซุง ๆ แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆไปอวดเขา ถ้าซุงผุ ๆ ไปอวดเขาก็ขายหน้าพ่อใช่ไหม? มันต้องเอาซุงดี ๆ ไป หรือถ้ามีฝีมือก็แกะสลัก เป็นเรือสุพรรณหงส์ไปเลย ถ้าทำได้ยังงั้นพ่อจะดีใจมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกไว้แล้วว่า ถ้าเราไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติท่านก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา ลูกอยู่ไหนพ่อก็อยู่ด้วยพร้อมจะช่วยลูกทุกประการท่านบอกไว้ชัดแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะใช้ผิดหรือไม่ก็โดนกิเลสหลอกแล้วก็ไปทำอย่างอื่นแทน