ถาม:  ตอนหลวงพี่ธุดงค์เคยเจอต้น (ฟังไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ยังไม่เจอเจอเลย เจอแต่ต้นประหลาดที่สุดที่เขาเรียกว่าต้นชาด
      ถาม :  เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เหนื่อยจนหมดอารมณ์นะ จะถ่ายรูปมา โอ้โฮ...เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์เพราะว่าป่าผืนนั้นเขาเดินกันเจ็ดวันไม่ทะลุ แต่เราเดินเช้าไปทะลุเย็น คิดดูเหนื่อยแค่ไหน ไม่มีอารมณ์แม้จะหายใจ แม้จะหยิบกล้องมาถ่ายรูปเลย ตอนแรกคิดว่าตาลาย นี่กูเป็นอะไรไปวะ นี่ทำไมต้นไม้ข้างหน้าแดงโร่ไปหมด ต้นก็แดง ใบก็แดง โคนก็แดง รากก็แดง แดงหมดทั้งต้น แดงอย่างกับไฟลุกอยู่กลางป่านั่น่ะ มีอยู่ห้าหกต้นอยู่กลางป่าห่าง ๆ กัน ไม่ได้ใกล้กัน ถามโมเช่ที่เป็นกะเหรี่ยงนำทาง เขาเรียก ต้นชาด ชาดโบราณเขาเรียก สีแดง ชาติก็แดง อย่างกาชาด ก็คือกากบาทสีแดง อีกอันหนึ่งคือว่านพญานาคราช ว่านกันงูได้ทุกชนิด อาตมาเดินป่าหลงประจำ แต่หลงได้ดี หลงชนิดตาโมเช่บ่น บ่นแล้วบ่นอีกมากับอาจารย์ทีไรหลงทุกที แต่คราวนี้เราหลงในป่าใหญ่ที่เดินเจ็ดวันไม่ทะลุ เราหลงตอนเพล บ่าย ๆ เราทะลุแล้ว น่าหลงใชไหม เดินมานั่นแหละ ตอนที่นั่งพักเหนื่อยกันอยู่ ตาโมเช่เขาสูบกล้อง กะเหรี่ยงเขาจะมีกล้องยาสูบ สูบไปสูบมาแกลุกพร่วดพราด “นั่นไง...ว่านที่อาจารย์อยากได้...!” เราถามว่า “อะไรวะ ?” เขาบอก “นั่นน่ะ ที่เถาวัลย์อันใหญ่ ๆ น่ะ เป็นเถาวัลย์ใหญ่กว่าขาอ่อนเราอีก ขึ้นโค้งขึ้นคดกันอยู่บนพื้น บอกเถาวัลย์บ้านั่นเหรอ” “ไม่ใช่ ดูที่บนเถาวัลย์สิ มันเป็นว่านเล็ก ๆ ขึ้นเป็นกระจุก แต่ว่าเหมือนอย่างกับว่ามันมีแต่ก้าน มันเลื้อยไปเลื้อยมาเหมือนงูเขียวตัวเล็ก ๆ เกาะก่ายกันเป็นกลุ่ม ๆ ไม่มีใบ เขาบอก “นั่นแหละ ว่านพญานาคราช” เราไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าใช่ เขาเองเขารู้จัก เพราะอยู่ป่ามาเยอะ “เอ๊ะ...จะทำอย่างไรดีวะ ยังติดอยู่กับต้นไม้ เราพรากของเขียวก็แย่” ก็ตั้งใจอธิษฐาน “เออ...ถ้าหากเป็นการสมควร ขอลูกเถอะ” พอจับยอดหนึ่งดึง มันหลุดมาทั้งแผงเลย แล้วตาโมเช่กับตาฤๅษีบุญทรงอีกคนหนึ่ง ก็อยากได้ ก็ยื้อกันใหญ่ทึ้งกันใหญ่ดึงไม่ค่อยหลุด รากมันบอกไม่ถูก เส้นประมาณไส้ในของสายไฟ รากเหนียวอย่างกับลวด แต่ของเราลองจับยอดมัน ลองดึงดูมันหลุดมาทั้งแผงเลย แสดงว่าเขาเต็มใจให้จริง ๆ เสร็จแล้วก็เอ๊ะ..มันกันงูได้ ถามอาจารย์โมเช่ ตาโมเช่บอกว่า “ถ้าติดไว้ งูจะไม่เข้าใกล้ ถ้าโดนงูกัด ถ้าเป็นรากสดเคี้ยวแล้วพอกแผลไว้ แต่ถ้าเป็นรากแห้ง ให้ฝนกับน้ำแล้วพอกแผลไว้ มันจะถอนพิษงูได้เหมด เราก็อะไรวะ แค่พกงูไม่เข้าใกล้ ก็ใส่ไว้ในบาตร สะพายบาตรก็ไปกันต่อ พอเย็น ๆ เข้าที่พัก นึกขึ้นมาได้ว่าเออ...เราพกไว้ ตั้งใจไว้ว่าเอามาแช่น้ำหน่อย จะได้ไม่เหี่ยว พอเปิดบาตร คราวนี้รู้เลยว่า งูกลัวเพราะอะไร เปิดบาตรมามีกลิ่นฉุนอย่างกับดีดีที นั่นแหละ แต่ขออภัยเถอะ อุตส่าห์เอาไปปลูกซะดิบดีสั่งโยมเขาไว้ว่าของหายาก ดูแลให้ดี เขารดน้ำซะตายไปเลย ไพลดำส่วนใหญ่ที่เจอเป็นต้นดำหัวดำ นี่ต้นก็ดำใบก็ดำหัวก็ดำ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าไพลดำรู้ว่าเอามาปลุกเลขยันต์ตามตำรา เขาว่าจะได้ทิพจักขุญาณ ได้ทิพจักขุญาณคือมองถ้วยไฮโลทะลุ มันจะไปแทงไฮโลกัน คุณค่าเทียบเท่าคงประเภทได้สตางค์เยอะละมั้ง แต่อย่างอื่นไม่รู้นะ
      ถาม :  พญานาคมีจริงหรือเปล่าคะที่อุดร ?
      ตอบ :  จริง เยอะแยะไป ไม่ใช่แค่ที่อุดรนะจ๊ะ ทั่วโลกเลย
      ถาม :  แล้วเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อยากให้เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นแหละ อย่าลืมว่าเขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์นะ
      ถาม :  เห็นเขามาขายเพชรแก้วพญานาค ?
      ตอบ :  อ๋อ...มี ต้องดูด้วยนาคไหน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเวลานึกถึงเขาบ้างแล้วกัน อยู่ที่ไหนจะได้ปลอดภัย จิรง ๆ วันออกพรรษาที่เขาแห่ไปดูกัน ไม่ได้เป็นบั้งไฟพญานาคเป็นเทวดา เทวดาถึงเวลาเขาทำดีเหมือนพวกเรานี่แหละ เมื่อวาระสำคัญทางพระพุทธศาสนา เขาตั้งใจจะถือศีลภาวนาบ้างเหมือนกัน แต่ว่าบางครั้งพระอินทร์มีงานก็เรียกใช้ บางส่วนจะขออนุญาตลงไปจำพรรษาที่เขตของพญานาคเพราะว่าเขตนั้นจะมีเจดีย์ทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่โตมโหฬารเลย แถว ๆ รอบนั้นทรายยังเป็นทรายทองเลย พวกข้าวของอะไรที่เขาบูชาเอาไว้เป็นพวกเพชรพลอยแก้วมณีทั้งนั้น แล้วอยู่ในเขตที่สงบ อยู่ในเขตที่คนตั้งอยู่ในศีลในธรรมจริง ๆ ถึงจะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เถอะ จะลงไปปฏิบัติเขาก็ลงไปกัน คราวนี้ช่วงลงไป ๓ เดือนมนุษย์นี่ไม่นานของเขาแป๊บเดียวไปคราวนี้พอถึงวันออกพรรษา คือวันที่เขาปฏิบัติครบตามความตั้งใจแล้ว เขากลับคืนที่เดิม ตอนที่เขากลับคืนที่เดิมน่ะ เขาอยากให้คนรู้เห็นเพื่อพลอยโมทนาความดีที่เขาทำ เขาแสดงให้เห็นเป็นดวงแสง คราวนี้คนไม่มีทิพจักขุญาณไม่รู้ว่าดวงแสงนั้นหมายถึงอะไร ถ้าคนรู้ คือดวงหนึ่งคือเทวดาองค์หนึ่ง
      ถาม :  อย่างนี้เราดูอยู่ที่บ้านเราก็ได้ ?
      ตอบ :  ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องแหกขี้ตาไปถึงโน่นหรอก แต่คราวนี้เห็นคาตากัน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้าที่แก่งนั่นน่ะเหรอ อย่าว่าแต่ฤๅษี เทวดายังจำไม่ได้เลย น้ำลงมาขนาดนั้น เป็นถ้ำอยู่ใต้แม่น้ำโขง บริเวณนั้นไม่ใช่ที่แก่ง แก่งลี่ผี คำว่าลี่เป็นเครื่องมือดักปลา เครื่องมือดักปลาของผีไม่ดักอะไรหรอก ดักคน ใครหลุดเข้าไปก็ตายฟรี ฝรั่งเศสเอาเรือรบไปยึดลาวไม่ได้เพราะติดพวกลี่ผีคอนพะเพ็ง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ปล่อยมันระเบิดไป จีนเขาระเบิดไปตั้งเยอะแล้ว แม่น้ำโขงเขาระเบิดแก่งเพื่อเอาเรือขนสิ้นค้าลงมาไทย แล้วขนสินค้าจากไทยขึ้นไป เห็นว่าระเบิดมาถึงแถว ๆ เชียงของแล้ว จะทำสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย พม่า จีน ลาว
      ถาม :  ไปธุดงค์เคยเจอกระสือไหมครับ ?
      ตอบ :  กระสือไม่ได้เจอตอนธุดงค์ เจอตอนอยู่กับวัดนั่นแหละ...!
      ถาม :  เหมือนในหนังไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่เหมือน เพราะตอนเจอไม่ได้ถอดหัวไป ตอนเจอเป็นตัวออย่างนี้แหละ คือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้ามีคนสนใจจะถามหรือว่าเราอยากรู้ไม่นานจะรู้ วันนั้นกำหนดใจจะไปไหว้จุฬามณีตั้งใจจะไปไหว้ท่านปู่ ท่านย่า ตั้งใจจะไปพระนิพพาน พอกำหนดใจปุ๊บไม่ไป หล่นปุ๊หล่นไปกลางลานบ้านเขาเลย แล้วเห็นที่ลานบ้านมีสากตำข้าวอันหนึ่ง พวกรุ่นนี้เคยเห็นสากตำข้าวกันหรือเปล่า สากจะคอดตรงกลางและหัวท้ายยาว ๆ นั่นแหละ พอเราเดินข้ามเข้าไปมันก็วิ่งกรูกันออกมา มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย เป็นผู้ใหญ่สองคน คือผู้หญิงหนึ่งและเด็ก ๆ ห้าคนเรียงเป็นลูกระนาดเลย พอเราเห็นปุ๊บเขาเห็นปุ๊บ เขาก็ชะงัก เราพอเห็นรู้เลยว่าไม่ใช่คนทั่วไป ถามเขาว่า “พวกเธอไม่ใช่คนทั่วไป แล้วเป็นอะไร ?” ผู้ชายบอกว่า “เขาเป็นกระหัง ผู้หญิงเป็นกระสือ” ถามเขาว่า “แล้วเธอมาอยู่ที่นี่หากินกันอย่างไร ?” เขาบอกว่า “เวลากลางวันเขาทำมาหากินตามปกติ คือลักษณะทำไร่ไถนาปลูกข้าว แต่เวลากลางคืนออกไปหากินตามแบบของเขา แต่ถ้าไม่ออกไปหากินก็ทำอย่างนี้ คือทิ้งสากตำข้าวกลางลานบ้าน ถ้าคนหรือสัตว์ก้าวข้ามสากตำข้านั้นเข้าไป เขามีสิทธิ์จับกินได้” เขาไม่ใช่ไปไล่จับทั่วไปนะ ต้องข้ามสากตำข้าวนั้นเข้าไปนะถึงจะจับกินได้ ถ้าเดินไม่ถึงเขตประเภทเอาเท้าไปแตะแค่สากไม่เดินข้าม เขาไม่มีสิทธิ์จับกิน
      ถาม :  ไม่มีปีกบิน ?
      ตอบ :  ยังไม่รู้ เพราะว่าตอนไปน่ะ เป็นคนเป็น ๆ เลยนะ ถามเขาว่า “แล้วลูก ๆ เป็นอย่างพวกเขาหรือเปล่า ?” เขาบอกว่า “ลูกยังไม่เป็นหรอก ถ้าเขารู้ตัวว่าเขาหมดอายุเมื่อไร เขาถึงจะสืบทอดให้คนใดคนหนึ่งต่อไป” คราวนี้กระหังไปเจออีกครั้งหนึ่งไม่ใช่กระหังแบบกระสือ กระสือกระหังสองผัวเมียน่ะเป็นพวกอสุรกาย อสุรกายผู้มีกายอันไม่กล้า ต้องมาแฝงร่างคนหรือว่าแฝงในร่างของสัตว์ แต่ที่ไปเจอนั่นน่ะ ตอนนั้นอยู่ชายแดนยังเป็นทหารอยู่ เป็นกระหังที่เขาสร้างขึ้นมาตามตำรามหาเวทย์ของทางด้านเขมร พวกนี้จะสร้างอสุรกายขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้งาน ตอนที่ขึ้นไปได้รับคำสั่งให้ไปปิดตลาดมืด ตลาดมืดมีรายได้วัน ๆ หนึ่งเท่าไรไม่รู้นะ แต่ว่าคนแถวนั้นใช้เงินต่ำกว่าแบ้งห้าร้อยไม่เป็น ตอนนั้นแบงค์ห้าร้อยใหญ่สุด ของราคาไม่ถึงห้าร้อยมันจ่ายห้าร้อย ถ้าเกินห้าร้อยมันจ่ายพันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๒๓-๒๕๒๔ น่ะ อรัญประเทศเป็นเมืองเล็ก ๆ นิดเดียว ธนาคารของมันวันหนึ่งมีเงินหมุนเวียนกันเป็นร้อยล้าน วันละนะ น่าตกใจไหม
              คราวนี้เขาส่งมือปืนมาไม่มีประโยชน์ มือปืนเข้าไปในค่ายทหารจะไปเหลือหรือ สุดท้ายไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล ก็ใช้วิธีเล่นไสยศาสตร์อย่างนี้ คราวนี้คืนนั้นกำลังหลับอยู่ พวกทหารเข้าเวรยามตามปกติของเขา อยู่ ๆ ประเภทซัดด้วยปตอ. สะท้านป่าเลย ตื่นกันหมด เอะอะโวยวายนึกว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าตี ปรากฏว่าไม่ใช่ ผู้บังคับกองยัวะพลทหารว่ามันทำปืนลั่นหรืออย่างไร กะว่าจะตบให้ร่วง ไปถึงเขาบอกว่า “ไม่ใช่ครับ ผมยิงนก นกยักษ์ตัวใหญ่มากเลย” เขาว่าอย่างนั้น ถามว่า “ที่ไหนวะ ?” “ที่โคนต้นยาง” ก็เข้าไปดูกันไม่ใช่นก เป็นคนแค่ครึ่งตัว เพราะช่วงล่างตั้งแต่หัวเขาลงมาลีบหมด มีแต่กระดูกอยู่หน่อยเดียว เหมือนคนเป็นโปลิโออย่างนั้น ท่อนบนของมันแข็งแรงเหมือนพวกนักกล้ามเป็นมัด ๆ แล้วพวกกระด้งสานจากหวายอย่างดีเลย ใส่หูบนที่ไหล่ข้างล่างจับอยู่ปลายมือพอดี พอเห็นรู้เลยที่ชาวบ้านเขาเรียกกระหัง พอตอนเช้าเรียกชาวบ้านเข้ามาถาม พอชาวบ้านเห็นเขาบอกเป็นพวกที่สร้างขึ้นมาด้วยอาคม พวกหมอผีถ้าจะสร้างกระหังขึ้นมาใช้งาน ต้องใช้ลูกตัวเองที่เป็นผู้ชาย หรือถ้าลูกตัวเองไม่ได้ ต้องไปขโมยเด็กผู้ชายที่เกิดใหม่ ๆ พอได้มาแล้วเอาลวดรัดสองขาตั้งแต่หัวเข่ากับข้อเท้าให้ติดกัน คือไม่ให้ใช้ขา ให้ใช้แต่มือ เสร็จแล้วเลี้ยงด้วยเลือดสัตว์ แล้วก็พวกคาถาอาคมที่ผสมลงไป พวกเลือดเป็ดเลือดไก่อย่างนี้ ให้เลี้ยงไว้ในลักษณะอย่างนั้น แล้วพอมันเคลื่อนไหวได้คล่อง ก็ทำกระด้งให้มัน ถ้าตัวล็กก็ทำกระด้งเล็ก ตัวใหญ่ก็ทำกระด้งใหญ่ ให้หัดกระพือ
              คราวนี้ใช้แต่แขน แขนเลยแข็งแรง พอที่จะใช้กระด้ง กระพือแล้วบินขึ้นไปได้ คราวนี้แล้วแต่มันจะส่งไปทำอันตรายใคร คือส่งไปสืบข่าวหาข่าวอะไรได้ทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นวิชาการที่ทำขึ้นมันโหดเกินไป ไม่ใช่พวกธรรมชาติอย่างที่พวกอสุรกายแฝงอยู่
              คราวนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า เรื่องสำคัญ ๆ เราดันไม่มีกล้องถ่ายรูปที่มันโดนปืนยิงไม่เข้านะ แต่กระดูกหักหมดถึงได้ตาย เหนียวจริง ยิงไม่เข้าหรอก แต่แหม...เจอกระสุนความเร็วตั้งกี่พันฟุตต่อวินาทีเข้าไป อัดเข้าไปทนแรงอัดไม่ได้กระดูกหักหมด ตายเพราะกระดูกหัก ยิงมันไม่เข้า
      ถาม :  ไม่น่ากลัวอะไร ?
      ตอบ :  ลองดูสิ เผลอหลับหน่อยเป็นไร กว่าจะรู้ตัวตื่นเช้ามาก็เรียบร้อยไปแล้ว ไม่น่ากลัวเพราะว่ามันเจอทหารยามเข้าซะก่อน ถ้าไม่เจอยาม ไม่ใครก็ใครต้องตายอยู่แล้ว ตายชนิดที่อยู่ ๆ ก็ตาย เหมือนฆาตกรรม แต่ไม่มีร่องรอยฆาตกรเลยอย่างนี้ มันมาทางอากาศ
      ถาม :  ธรรมทาน ยานพาหนะ ตั๋วเครื่องบิน ชำระหนี้สงฆ์ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ตามที่หลวงพ่อสอนมา ท่านบอกว่า “อย่าคิดว่าเรามีเงินส่วนตัว ถึงเขาถวายเป็นเงินส่วนตัว เราพยายามใช้ในส่วนของสังฆทานซะ” ท่านบอกว่า “ส่วนหนึ่งถวายเป็นค่าอาหารพระจะได้เป็นสังฆทานไป ส่วนหนึ่งถวายช่วยค่าก่อสร้าง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ช่วยในเรื่องของเทปของหนังสือที่จะเป็นธรรมทาน” ท่านบอกว่า “สังฆทานถ้าใช้เป็นวิหารทาน ธรรมทาน อานิสงส์มากกว่าใช้ได้ แต่ถ้าต่ำกว่าใช้ไม่ได้” คราวนี้ถ้าหากในลักษณะที่ว่าสงเคราะห์ยื่นโยนต่อเพื่อนภิกษุสามเณรด้วยกัน เห็นเขาเดือดร้อนค่ารถไม่มี เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาลก็ได้อยู่ เพราะเขาคือสงฆ์ มีส่วนในเงินนั้นอยู่แล้ว อย่าลืมว่าสังฆะหมายถึงหมู่สงฆ์ทั้งหมด เพียงแต่บางคนไม่รู้จักพอ เหมือนพอรู้ว่าได้จากตรงนี้ได้ก็มาอยู่เรื่อย ต้องระวังเหมือนกัน เจออย่างนั้นเข้า เจ้าคุณธรรมดิลก วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่โน่น ท่านว่า “ถ้าเมตตาเกินประมาณ จะพบคนพาลทั้งเมือง” คือคนไม่รู้จักพอจะมาอยู่เรื่อย ไม่ให้มันด่าเอาด้วย
      ถาม :  ในหนังสือตอบจดหมายหลวงพ่อ คือหลวงพ่อไม่สบาย เจ้าคุณเทพประสิทธิ์ท่านบอกว่า “ท่านมีทิพจักขุญาณชัดมาก” หลวงพ่อถามว่า “เป็นอย่างไร ?” ท่านบอก “ให้รักษาสมาธิที่ศูนย์” คำว่าที่ศูนย์นี่เจาะจงอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ที่ศูนย์ก็ที่สุดลมหายใจของเรา เอาใจจดจ่ออยู่ที่ศูนย์กลางกายตั้งตัวให้พอดี ไม่เอนหน้าไม่เอนหลัง ไม่เอนขวาจนเกินไป จิตจดจ่อเอาไว้เบา ๆ แค่ตรงจุดนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้ลมหายใจก็ได้ ถ้าใจอยู่ตรงนั้นนะ พูดถึงพวกเราน่ะทำได้ คนเริ่มต้นก็ตายห่าเลย คนปล้ำมาหลายสิบพื้นฐานมี บอกปุ๊บก็เข้าใจใช่ไหม เวลานั่งเขาไม่ให้เกร็งตัว ให้นั่งแล้วผ่อนคลายตามสบาย ๆ นึกถึงที่สุดลมหายใจของเราตรงกึ่งกลางพอดี ทางด้านสายธรรมกายจะบอกกึ่งกลางกั๊กพอดี ซ้ายขวาหน้าหลังดินน้ำลมไฟตรงกลางนั่นแหละใช่เลย เอาใจจดจ่ออยู่ตรงจุดนั้นแหละ นึกถึงลมหายใจเข้า-ออกก็ได้ ไม่นึกก็ได้ หมายถึงสำหรับพวกเราที่กลังใจทรงตัวแล้วนะ แต่กำลังไม่ทรงตัวอย่างไรก็ต้องอาศัยการภาวนาก่อน อย่างพวกเราก้าวข้ามขั้นได้ นึกปั๊บก็อยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหนหรอก
      ถาม :  สมัยก่อนเขาฟังจบเดียวเป็นโสดาบันเลย เป็นอรหันต์กันหมด เขาฟังกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เขาฟังเป็นจ้ะ
      ถาม :  เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เขาฟังเป็น เขาคิดเป็น ปัญญาเขาถึง อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเล่านิทานให้ฟัง ชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นนกกระจาบ มีเมียออกไปหากินอยู่ทุกวัน นางนกก็กกไข่อยู่ ถึงเวลาลูกนกออกจากไข่มาก็ช่วยกันเลี้ยงดู คราวนี้วันนั้นออกไปหากินมัวแต่หลงรสเกสรดอกบัวเพลินตะวันตกดินซะก่อน ดอกบัวหุบขังอยู่ออกไม่ได้ กว่าจะกลับมาได้ต้องรอรุ่งเช้าแล้ว ลูกเมียก็อดอยู่ทางนี้ เพราะไม่ได้นำอาหารกลับมา พอมาถึงเมียก็โมโห ไล่ตีเอาด่าเอา เสร็จแล้วก็โกรธอีกว่าไปมีเมียใหม่ เลยบินเข้ากองไฟป่าที่ไหม้อยู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งตัวเองตาย ก่อนตายอาฆาตเอาไว้จะตามไปจองล้างจองผลาญ เสร็จแล้วไปเกิดเป็นเจ้าหญิง พอไปเกิดเป็นเจ้าหญิงแล้ว นกกระจาบตายไปเกิดเป็นสรรพสิทธิ์มานพ เจ้าหญิงไม่ยอมพูดกับใคร สรรพสิทธิ์มานพไปเรียนวิชาถอดหัวใจไว้ที่ไหนก็ได้ เสร็จแล้วก็คุยกันได้ ถอดให้ประตูก็คุยกับประตู ถอดใส่สัตว์ก็คุยกับสัตว์อะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วเขาประกาศว่า “ถ้าใครทำให้เจ้าหญิงพูดได้คุยได้ จะยกให้พร้อมราชสมบัติกึ่งหนึ่ง” แต่ละคนไปทำอย่างไร ๆ ก็ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าหญิงไม่ยอมพูด
              คราวนี้สรรพสิทธิ์มานพไปถึง ถอดหัวใจใส่โคมไฟ แล้วนั่งคุยกับโคมไฟ เล่าไปเรื่อย ๆ บางเรื่องรู้อยู่ว่าเจ้าหญิงท่านรู้ แต่แกล้งเล่าผิด ๆ ฟังไปก็ทนไม่ได้ “เอ้อ...ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องอย่างนี้” คนเขาได้ยินก็ประโคมพวกแตรสังข์เป็นสัญญาณว่าเจ้าหญิงพูดแล้ว แต่คราวนี้ เออ...พูดแล้ว พูดจริงหรือเปล่าก็รออีก ก็ถอดหัวใจใส่ประตูเล่าไปเหมือนกัน พอโดนค้าน เขาก็ประโคมแตรสังข์จนกระทั่งเป็นเครื่องหมายว่าพูดแล้วถึงสามวาระด้วยกัน เขาถึงได้ยกให้แต่งงานกัน อันนั้นถึงจะหมดหมายความว่าทำให้เธอลำบาก เธอเลยกลั่นแกล้งให้ตัวเองลำบากบ้าง เกิดมาชาติใหม่ก็ต้องไปร่ำเรียนวิชาเสียแทบล้มประดาตาย เพื่อที่จะตามมา ตามมาก็ต้องมาง้อมางอนกันข้ามวันข้ามคืนกว่าที่จะยอมคืนดีด้วย แต่งงานกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วท่านจะสรุป “อะหัง เอวะ ตัวตถาคตเองคือนกกระจาบตัวผู้ พิมพาราชเทวี คือนกกระจาบตัวเมีย เจ้าชายสรรพสิทธิ์ คือตถาคตเอง เจ้าหญิงคือพระนางพิมพา” ท่านสรุปได้มรรคผลตรงไหน คนฟังเขาจะรู้ เขาคิดได้ว่าขนาดพระพุทธเจ้าที่ถือว่าเลิศที่สุดแล้ว ยังเวียนตายเวียนเกิด ทุกข์ทรมานอยู่เป็นทั้งสัตว์เป็นทั้งคนต้องลำบากยากแค้นเหมือนกับพวกเรา เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเกิดอีกก็ทุกข์อีกอย่างนี้ แล้วยังอยากเกิดอีกไหม ขนาดนั้นน่ะ ขนาดคุณทักษิณยังทุกข์แทบตายเลย แล้วเราไม่ได้อย่างคุณทักษิณจะทุกข์ไหม พอคิดเป็นเขาก็ตัดสินใจเป็น เออ...เราไม่เกิดดีกว่า สมัยนี้พวกคุณขาดการตัดสินใจ ฟังแล้วฟังเลย