สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  คือปกติอารมณ์ในขณะปฏิบัติ ผมมักจะได้ส่วนใหญ่ก็เป็นความสงบ แล้วก็เป็นการขึ้นลงของฌาน ลักษณะเหมือนผมจะออกไปหลายครั้ง แล้วเหมือนก็มีสติสมบูรณ์ แล้วก็เหมือนกายในออกมาข้างนอก แต่ช่วงที่ออกมาบังคับได้บ้าง บังคับไม่ได้บ้าง แต่ขณะนั้นรู้สึกว่าเจ็บผิวทั้งตัว เจ็บอย่างนี้ตลอด ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นเป็นอาการของมโนมยิทธิเต็มกำลัง มโนนมยิทธิเต็มกำลังนี่ออกไปสัมผัสทุกอย่างเหมือนกับร่างนี้สัมผัสอยู่ พอมันออกมันพุ่งฝ่าอากาศไป ก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกแสบ รู้สึกร้อน เหมือนอย่างกับเราพุ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูงจริง ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะนั้นของเราก็คือว่า ถ้าปกติบางทีนี่เราวางกำลังใจไม่ถูก กำลังใจถูกต้องนี่เป็นกำลังใจช่วงอย่างกับเหมือนใกล้หลับ ช่วงนั้นจะลงล็อกของมันเป๊ะเลย จะเห็นผีเห็นเทวดา เห็นอะไรก็อารมณ์ใจลักษณะนั้น การจะออกไปด้วยมโนมยิทธิก็ออกไปลักษณะนั้น
              เพราะฉะนั้น...บางทีเราอาจจะคิดว่าเอ๊ะ เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ทำ ความจริง ไม่ใช่หรอก บังเอิญว่าถูกพอดี ก็เลยออกไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน ในเมื่อเราไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ ไม่ได้เตรียมการพิจารณาให้ดีอะไรให้ดี ออกไปก็มืดไปหมด ทำอะไรไม่ถูก แล้วถึงเวลาเดี๋ยวก็กลับมา พอกลับมากำลังพอ ก็ออกไปอีก ก็ยื้อกันไปแย่งกันมาอยู่ลักษณะอย่างนี้
      ถาม :  พอดีช่วงที่ออกอย่างที่บอกหลวงพ่อว่า เหมือนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็คิดว่าไม่แจ่มใส หรือจริง ๆ แจ่มใสพอควร แต่ว่าเจ็บกายเนื้อ ก็นึกว่าเจ็บ ก็เลยให้วิปัสสนา แต่ปรากฏว่าใช้แต่การพิจารณา ไม่แน่ใจว่าไม่ตรงกับที่ควรจะพิจารณาหรือไม่ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือ ถ้าเรายอมรับสภาพของมันว่า ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์ ก็มีอาการเสวยเวทนาเหมือนกัน คือรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ เจ็บป่วยหนาวร้อน หิวกระหายเหมือน ๆ กัน ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเมื่อไร ตราบใดที่ยังมีขันธ์อยู่ จะเป็นขันธ์หยาบ หรือขันธ์ทิพย์ก็ตาม ยังประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์ลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์หยาบหรือขันธ์ทิพย์จะไม่มีสำหรับเรา เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็แค่มีสุขชั่วคราว พ้นจากตรงนั้นไป อาจจะลงไปทุกข์อีกก็ได้ ไม่อย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า ถ้าตั้งใจอย่างนี้เอาไว้ได้ ก็จะชัดเจนแจ่มใส และไปสะดวกขึ้น
      ถาม :  มีอยู่สองสามครั้ง คือฝึกมโนมยิทธิที่บ้านเองครับ เหมือนมีร่างอื่นมาขวางจิต เห็นคล้าย ๆ พวกเปรตมาขวาง เกิดกรณีนี้เราควรจะทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้เราด้วย แต่ถ้าเขาไม่ยอม กำหนดใจถามเขาว่า ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะยอมอโหสิกรรม อย่างของหลวงพ่อ ท่านบอกตอนท่านฝึกปฏิบัติใหม่ ๆ น่ะ พวกตัวแสบที่ท่านเล่นงานมันเอาไว้ในฐานะที่เป็นพวกไอ้เสือ ไอ้โจรผู้ร้ายหนังเหนียว คนอื่นไม่สามารถที่จะฆ่าได้ ท่านเล่นไปซะ ๓๐ กว่าศพ ในเมื่อ ๓๐ กว่าศพ ท่านบอก แหม...พอกรรมฐานใหม่ ๆ นอนคว่ำหน้าเรียงเป็นตับ ขวางไม่ให้ท่านไป ก็ต้องคุยกันว่าจะเอาอะไร ในที่สุดก็ตกลงกันไว้ว่า ถ้าหากว่าบวชพระให้เจ็ดองค์ เขาจะอโหสิกรรมให้ ประเภทต้องว่ากันเหงือกแห้งเลย กว่าจะตกลงกันได้ ของเราเองเราก็ตั้งใจกำหนดจิตนึกถึงเขา ถามเขาว่า “มาทำไม มาธุระอะไร ต้องการอะไร ต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร ต้องการให้เราทำอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยเราจะช่วยเราจะทำให้”
      ถาม :  ถ้าหากว่าเราไม่รู้ เราก็ทำส่งเดชไม่ได้ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าไม่รู้ เราก็ตั้งใจว่า ความดีทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ตลอดจนกระทั่งความดีที่เราาทำขณะนี้ ขออุทิศให้กับเขา ขอให้เขาโมทนา เราได้ประโยชน์เท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย เสร็จแล้วถ้าหากว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรอะไรกันที่จะมารบกวนการฝึกการปฏิบัติตอนนี้ เธอก็มีทุกข์มีโทษอยู่เป็นปกติอยู่แล้วนะ ก็อย่าได้สร้างทุกข์สร้างโทษเป็นเวรภัยใหญ่สำหรับตัวเองต่อไปเลย ขอให้อโหสิกรรมให้แก่เราเถอะ แล้วกุศลที่เราทำตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ขอให้เธอโมทนาด้วยตลอดเวลา เราจะรับประโยชน์สักเท่าไร ขอให้เธอได้รับตามนั้น บอกเขาไปเถอะ
      ถาม :  ชาดกตอนนี้กลายมาเป็นเรื่องย่อ ๆ ไม่มีที่มา พระพุทธเจ้าพูดถึงตรงไหนอะไรบ้าง ชาติโน้นมาเป็นอย่างนี้ ชาตินี้มาเป็นอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ที่มาอย่างหนึ่งคือ สาเหตุว่าทำไมถึงตรัสชาดกเรื่องนั้นนะ แล้วก็การสรุปจบสำคัญที่สุดเลยแต่เขาตัดหมด ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เนื้อหา พระพุทธเจ้าเทศน์ชาดก ชาดก ชาตกะ หมายถึงชาติที่ท่านเกิด ก็เห็นไปพระนิพพานกันหมด แต่จริง ๆ แล้วท่านเทศน์ทุกอย่างนี่ ท่านหวังเอามรรคผลทั้งหมดนะ ถึงเวลาชาตินั้น ชาตินั้นท่านเกิดเป็นพญาหงส์ทองใช่ไหม มีสหายคู่ใจอย่างนี้ ๆ ไปหากินที่นี้ ถึงเวลาติดบ่วงขึ้นมา ก็รอจนกระทั่งบรรดาบริวารกินอิ่มแล้ว ถึงได้ร้องขึ้นมา บริวารอิ่มแล้วตกใจจะได้บินหนีไป ตัวท่านเองก็ยอมติดอยู่ ปรากฏว่าสหายที่เป็นบริวารอีกท่านหนึ่ง ไม่ยอมหนีไป ยอมอยู่ตรงนั้น ถึงเวลานายพรานมาจับท่านได้ ก็จับสหายท่านได้ด้วย ก็แปลกใจสงสัย ไม่ติดบ่วงทำไมไม่ไปอย่างนี้
              คราวนี้สมัยนั้นประเภทคนกับสัตว์พูดกันได้รู้เรื่อง นายพรานก็ถาม “ทำไมไม่หนี ?” หงส์ทองที่เป็นบริวารท่านก็บอวก่า “ท่านยอมตายอยู่กับนาย ท่านไม่ยอมไป” นายพรานก็ซึ้งใจ เขาก็เลยปล่อยเสียทั้งคู่ พระโพธิสัตว์ที่เป็นพญาหงส์ทองธตรฐให้โอวาทเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บินกลับที่อยู่ของตัวอย่างนี้ แล้วท่านก็สรุปว่า ของท่านเองเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า หงส์ที่เป็นบริวารยอมตายอยู่ด้วยเป็นพระอานนท์ ท่านก็สรุปไปเรื่อย พระได้มรรคได้ผลกันเป็นแถว ๆ เพราะว่าเขาเห็นว่า กระทั่งพระพุทธเจ้าเองกว่าที่จะบำเพ็ญบารมีมาจนสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ ยังผ่านการเวียนตายเวียนเกิดเยอะขนาดนี้ ยังผ่านความทุกข์ต่าง ๆ มามากขนาดนี้ ตัวเราขึ้นชื่อว่าจะไม่พบอย่างท่านเป็นอันว่าไม่ต้องมีกัน เกิดใหม่เมื่อไรก็ทุกข์อีกนะ เวียนตายเวียนเกิดเมื่อไร ก็ต้องพบเหตุการณ์อย่างนี้เข้าจนได้สักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้น...อย่าไปเกิดเลย คนสมัยก่อนปัญญาของเขามาก ฟังแล้วเขามองเห็นต้นเห็นปลายเห็นอดีตมายันปัจจุบันได้หมด ในเมื่อเขาประเภทไปสรุปรวมเรียบร้อยออกมาแล้วว่าเป็นอย่างนี้ ๆ เขาตัดสินใจว่าตัวเองจะเอาอย่างไร ปัจจุบันคือตอนนี้เดี๋ยวนี้จะเอาอย่างไร การตัดสินใจตรงจุดนี้แหละ ที่สำคัญที่สุดของการเข้าถึงมรรคผล ปัจจุบันนี้ที่ฟังเทศน์แล้วไม่ค่อยได้มรรคผล เพราะการตัดสินใจตรงนี้ อย่างที่เราเข้าใจว่า กติกาของพระโสดาบันต้องรักษาศีลบริสุทธิ์ มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ตั้งใจว่าตายเมื่อไรจะไปพระนิพพาน ฟังแล้วก็ลองดูกติกานี้เราทำได้ไหม ถ้าเราทำได้ตัดสินใจเลยตั้งแต่วินาทีนี้เราจะรักษากติกานี้จนกว่าจะสิ้นชีวิตอะไรอย่างนี้ พอมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดแน่นอน มรรคผลก็เป็นของเรา ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า สมุทเฉท ตัดให้ขาด ตัดให้ขาดนี้ไม่มีอะไรหรอก ตัดสินใจให้ขาดกิเลสเอง ก็เลยกลายเป็นว่า พอถึงเวลาแล้วเขาเอาส่วนสำคัญที่สุดตัดทิ้งซะ เหลือแต่เนื้อหาเอาไว้ฟังเอาสนุกอย่างเดียว แต่ความจริงฟังเอาสนุกอย่างเดียว ถ้าคิดเป็นก็ได้ประโยชน์เยอะ แต่ในเมื่อหัวไม่มีท้ายไม่มีที่มาเพราะเหตุอะไร สรุปลงว่าอย่างไรได้ คนสมัยนี้สัญญา ปัญญาทรามลงไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงไปใหญ่ ก็เลยกลายเป็นแค่นิทานเอาสนุก ๆ หลอกเด็กเล่นไปวัน ๆ
      ถาม :  ตอนที่ผมฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม นั่งกันอยู่สี่ห้าคน แล้วเขาก็ถามว่า “แดนพระนิพพานเป็นอย่างไร ไหนลองดูสิ ?” ของเรายังไม่มี ถ้ามีก็เป็นศาลจตุรมุขขึ้นมา ท่านก็บอกว่า “ในศาลจตุรมุขมีอะไรบ้าง ?” ผมก็บอกว่า “เป็นแท่นหินสีดำ” ท่านก็บอกว่า “มีหมอนสามเหลี่ยมไหม ?” ผมบอกว่า “มี” ท่านบอก “ไหนลองนอนดูซิ เป็นอย่างไร ?” พอผมนอนหมอนก็เลื่อนมาใต้คอผม ท่านก็บอกว่า “อย่างนี้เราก็มีสิทธิ์ถึงพระนิพพาน” แต่อีกคนในสี่คนเขาบอกว่า “นอนไปหมอนไม่เลื่อน” คราวนี้พอมาฟังหลวพ่อพูดเมื่อครู่นี้ ที่หลวงพ่อบอกว่า “คำว่าโสดาบันคืออย่างไรบ้าง การนับถืออย่างมั่นคงในพระรัตนตรัยนี่ผมถึงแล้ว คือศีลห้า ผมปวารณาไว้ตลอดชีวิตผม ผมทำมาได้ ๘-๙ ปีแล้ว เมื่อวานนี้ผมไปพิษณุโลก ไปไหว้พระพุทธชินราช ไปเสี่ยงเซียมซีมาใบแรก เขาบอก “ใบนี้อย่าคิดกลับกลอกนอกใจ ถ้าตั้งมั่นแล้วจะได้ดี”
      ตอบ :  นั่นประเภทคล้าย ๆ กับว่าตีความตามลำดับกำลังใจของเรา เรื่องของพวกปริศนาธรรมก็ดีอะไรก็ดี เราตีเอาตามกำลังใจของเราเอง เรามาถึงระดับนี้เราก็ตีความว่า เออ...ในเมื่อเราตั้งใจเป็นผู้ที่มั่นคงในพระรัตนตรัย เราไม่ควรจะกลับกอลกใช่ไหม คนที่ต่ำกว่านี้ เออ...กูไม่ควรจะนอกใจเมีย ไปคนละเรื่องคนละราวไปเลย ตีความตามกำลังใจของตนในตอนนั้น ตอนนั้นเรื่องอย่างนี้แหละที่คล้าย ๆ กับทางสวนโมกข์เขามีโรงมหรสพ ทางวิญญาณที่มีรูปวาดมีอะไรอยู่ให้ไปตีความกันเอาเอง แล้วคนก็ชมว่าดีเหลือเกิน แหม...อยากจะบอกว่า คนชมนั่นแหละมันดี คือกำลังใจดีถึงตีความในด้านดีได้ แต่คนกำลังใจไม่เอาไหนนี่ รับรองได้ว่ามันลากเข้าป่าเข้าดงไปเลยแหละ
      ถาม :  ผมกำลังงงอยู่ว่า ตอนนี้ทำอย่างไรที่จะให้เด็กเข้าศาสนาให้ถูกเข้ามาให้ได้ คือพยายามจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้ แล้วผลจะได้อย่างนี้นะ ดูแล้วเห็นผล ไม่ใช่ศาสนานี้ เป็นสิ่งที่รู้แล้วก็ไม่ได้อะไร ต้องรู้แล้วปฏิบัติตน ปฏิบัติแล้วคุณก็เห็นผล แล้วอยู่ ๆ ก็เอาเวลาอย่างนี้ เหมือนกับว่าพอคุณทำปุ๊บ แล้วคุณหวังผลเลย ไม่ถูกนะ คุณต้องทำไปถึงจุด ๆ หนึ่ง ถึงจะเห็นผล เหมือนเศรษฐี พอคุณเจอเงินห้าร้อยบาท คุณจะเป็นเศรษฐีเลยไม่ได้ คุณต้องเก็บจนเงินของคุณเป็นล้าน จนคุณเหลือกินเหลือใช้ แล้วถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีนะ คนเวลานี้ผมว่าจิตใจมักง่ายเกินไป พอทำปุ๊บอยากได้ปั๊บอย่างนี้ พอไม่เห็นผลก็ไม่เอาแล้ว ?
      ตอบ :  ก็ตรงจุดนี้แหละ ทำให้เกิดปัญหาโตมโหฬาร ขนาดประเทศชาติเกิดจากล่มจมไป เพราะว่าคนสมัยนี้ใจเร็ว ด่วนได้ ทำอะไรต้องรวยเลย ในเมื่อทำอะไรจะเอารวยเลยก็ต้องลงทุนเยอะ ไม่มีลงทุนก็กู้มา คิดแต่ในด้านได้อย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอก อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง ก็ไปคิดว่าถ้าลงทุนแค่นี้นะ ผลกำไรก็ต้องออกมาแค่นี้ หักกลบลบล้างแล้วต้องเหลือแค่นี้ ๆ เขาจะคิดด้านได้อย่างเดียว แต่ไม่ได้คิดว่าถ้าเสียแล้วจะเป็นอย่างไร ถึงเวลาพลาดขึ้นมาก็หงายท้องตึง กลายเป็นหนี้เขาหัวโต ติดกันอีนุงตุงนัง กลาเยป็หนี้เสียอยู่ทุกวันนี้ คือลักษณะของการใจเร็วด่วนได้ ขาดความมานะพยายาม ขาดความอดทน สังคมปัจจุบนันหมุนเร็วมาก ต้องเรียนรู้อย่างมีสติ ใช้ให้เป็นเครื่องหนุนเสริมเรา เข้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่เราต้องการ แต่ปัจจุบันนี้แล้วส่วนใหญ่ปล่อยให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ขาดอะไรไปจะตายซะให้ได้ ก่อนหน้านี้ปัจจัยสี่พระพุทธเจ้าท่านบอกใช่ไหม ตำราเราก็เรียนมา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค พอแล้ว มาถึงยุคนี้สมัยนี้ไม่แล้วนะ ต้องมีมือถือ ต้องมีรถยนต์ ต้องมีคอมพิวเตอร์ กลายเป็นปัจจัยอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ เยอะแยะมากขึ้นไปทุกที กลายเป็นของที่ขาดไม่ได้ไป แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความต้องการเทียม คือไม่มีเราก็อยู่ได้ แต่ว่าเขาเองเขาทำตัวในลักษณะที่ว่าขาดเมื่อไรกูตายแน่ ก็เลยกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตไป ให้รีบเข้ามาอย่างมีสติ ใช้ให้เป็นประโยชน์น่ะดี
              แต่ส่วนใหญ่แล้วคือฝากชีวิตไว้กับมันเลย ก็ดีนะ ทำให้เจ้าของกิจการรวยกัเนป็นราย ๆ ไปเลย ความเจิรญเราปฏิเสธไม่ได้หรอก โลกเราหมุนไปข้างหน้าทุกวัน แต่ต้องอยู่กับมันอย่างมีสติ ทำอย่างไรที่จะให้เราควบคุมเขา ไม่ใช่ทำอย่างไรที่จะให้เขาควบคุมเรา ตัวสติสำคัญที่สุด ถ้าสติคุมตัวเองได้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างเท่ากับว่าอยู่ใต้การบงการของเรา แต่ถ้าสติคุมตัวเองไม่ได้ ปล่อยไหลตามกระแสเมื่อไร ก็เหมือนคนตกน้ำในกระแสแรง ๆ ก็ไหลตามไป บังคับตัวเองไม่ไหว
      ถาม :  …....................
      ตอบ :  มีโยมอยู่รายหนึ่ง เขาถามว่า “ถ้ากินเหล้าอย่างมีสติ ไม่ได้เมา ก็น่าจะไม่ผิดศีลไม่ใช่หรือ ?” แน่นอนมันกินอย่างมีสติ บอกมันกินเมื่อไรไม่ว่า จะน้อยเพียงไหนก็ตาม ถ้าตั้งใจละเมิดผิดแล้ว เขาก็จะพยายามยืนยันว่า ก็เขาไม่เมา บอกฝรั่งลองมาเยอะแล้ว ซดเบียร์ไปกระป๋องหนึ่งใครเมาบ้าง ไม่มีหรอก แต่ให้ถอยรถเข้าซองนี่ชนบรรลัยไปสี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ถามว่าทำไม เพราะมันทำให้ระบบประสาททำงานไม่ปกติ ถึงยังไม่เมาก็จริงแหละ แต่ว่าการตัดสินใจอย่างหนึ่ง ระบบสัมผัสอย่างหนึ่ง อะไรทุกอย่างเปลี่ยนแปลงหมด โบราณเขาใช้คำว่า “เห็นช้างเท่าหมู” นั่นน่ะ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ความชั่วนี่สุดยอดจริง ๆ ถ้าเรามีการผ่อนผันให้มันสักนิดหนึ่ง เดี๋ยวมันก็อีกนิดน่า และอีตอนนั้นยังได้แค่นี้ และอีกหน่อยหนึ่งก็จะมากขึ้นไปเรื่อย เหมือนกับเขื่อนนะ ต่อให้มีรูเท่ากับรูเข็มก็ตาม ถ้าให้น้ำแทรกออกไปได้ ถ้ากระแสน้ำแทรกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็กัดเซาะกว้างขึ้น ๆ จนเป็นเหตุให้เขื่อนพังทลายลงไปได้
              เพราะฉะนั้น...อย่าเปิดโอกาสให้ความชั่ว แม้จะเล็กน้อยเพียงไหนก็ตาม อย่าได้ไปแตะเข้าเชียว พอแตะเข้าเมื่อไร เดี๋ยวก็คราวที่แล้วยังได้เลย อีกหน่อยหนึ่งก็แล้วกัน อีกทีหนึ่งก็ได้น่า ก็จะไปของมันเรื่อย แล้วเดี๋ยวเขื่อนก็ทลายไม่เหลืออะไรไว้กั้น
      ถาม :  ….............................
      ตอบ :  ท้าวสหัมสบดีพรหมมีประวัติให้หวยไหม เขาเรียกว่าเรียนไม่ถึงรู้ไม่ถึงไหนใช่ไหม ท้าวสหัมสบดีพรหมนี่ให้หวยแม่นสุด ๆ เลย เหลือเชื่อนะ มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านอยู่ในช่วงสร้างวัดท่าซุงใหม่ ๆ ท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า “ท่านออกเดินตรวจงานตามปกตินั่นแหละ กลับกุฏิตอนไหนไม่รู้ เสร็จแล้วพออกมาอีกที อ้าว...เฮ้ย คนงานหายไปไหนหมด” ก็ไปโวยวายถามมัน ผลปรากฎว่า ไปได้ความจากลุงเอี๊ยงว่า “มันเข้าเมืองกันหมดแล้วครับ ไปซื้อหวย” “มันเอาที่ไหนมาวะ ?” “ก็ไม่รู้ เห็นหลวงพ่อออกมาตรวจงานเสร็จ แล้วก็หัวเราะชอบใจ แต่ตอนนั้นผมสังเกตอย่างเดียว หลวงพ่อตัวดำปี๋เลย เสร็จแล้วก็ให้หวยมัน มันก็เลยไปซื้อหวยกันหมด” งวดนั้นเกือบจะล้มเจ้ามือเอา หลวงพ่อท่านก็เลยขึ้นไปข้างบนไปถามว่าใคร ท่านปู่ใหญ่ท้าวสหัมสบดีพรหมบอก “ข้าเอง สงสารมัน พอดีพวกมันจะมีโชคก็เลยให้มันไปตรง ๆ อย่างนั้น” คราวนี้พอท่านครอบลงมา หลวงพ่อท่านก็ไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัว ก็เอ๊ะ...กลับมาตอนไหน ก็เลยสงสัยว่าตรวจงานอยู่ ก็เลยออกไปดูใหม่อีกที อ้าว...คนงานหายหมด ตกลงงวดนั้นฟาดกันไปจนเจ้ามือจะสิ้นเนื้อประดาตัว ท้าวสหัมสบดีพรหมก่อนจะขึ้นไปอยู่ข้างบน ท่านเป็นพระ เป็นหลวงปู่สิงห์ ในอดีตก็เป็นพ่อของหลวงพ่อมาก่อน พวกเราก็เลยเรียกท่านปู่ ๆ กันมา หลวงปู่สิงห์องค์นี้อยู่อยุธยา ตำแหน่งสหัมสบดีพรหมเหมือนกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สำคัญว่านายกชื่ออะไร งานนี้ นายกชื่อหลวงปู่สิงห์
      ถาม :  ต้องทำอย่างไรถึงจะได้เป็นครับ ?
      ตอบ :  วิธีที่ดีที่สุดคือ เป็นพระอริยเจ้า อย่างน้อย ๆ ก็โน่นแน่ อรหัตมรรค แล้วก็รีบตายตอนนั้นนะ อย่าเพิ่งเป็นพระอรหันต์ ขึ้นไปข้างบนก็จะไปอยู่ชั้นที่สิบหก รอเวลาไปเรื่อย ๆ ถ้าองค์ที่ท่านเป็นเข้าพระนิพพานไปแล้ว ก็เป็นแทน ตามตำราเขาจะมีพระอนาคามีอยู่ มีตั้งแต่อัตราปรินิพพายี อัปหัจจปรินิพพายี อสังขาราปรินิพพายี สสังขารปรินิพพายี อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี จริง ๆ ไม่ใช่พระอนาคามี เป็นอรหันตมรรคแล้ว แต่คราวนี้ของเขา ๆ บอกว่า สุทธาวาสพรหมทั้ง ๕ ขั้น เขาบอกเป็นพระอนาคามี แต่ความจริงถ้าอนาคามีผล ก็ต่ออรหันตมรรคกันทั้งนั้นใช่ไหม เพียงแต่ว่าท่านแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท แล้วประเภทสุดท้ายจริง ๆ ก็คือ เตรียมจะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว อีกนิดเดียวแต่เขายังเหมาเอาเป็นพระอนาคามีอยู่
      ถาม :  แล้วอย่างหลวงพ่อนี่ครับ เวลาครูบาอาจารย์ข้างบนท่านครอบลงมา ทำไมหลวงพ่อจะต้องตัวดำทุกครั้งหรือครับ ?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่ว่าองค์ไหน เพราะว่าถ้าหากว่าสภาพเดิมของท่านเป็นอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้น อย่างหลวงปู่ใหญ่องค์ปฐมท่านมา หรือท่านปู่ใหญ่สมหัมสบดีพรหมมาก็จะออกดำ เท่าที่สังเกตดู ถ้าหากอย่างเป็นสมเด็จพระพุทธกัสสปก็จะเป็นสีทอง ถ้าหากว่าเป็นสมเด็จองค์ปัจจุบันจะออกขาวอมชมพู สังเกตุดูบางครั้งก็ไม่ใช่ผิวแท้จริงของท่านหรอก อาจจะเป็นสัญญลักษณ์เฉพาะของท่านอย่างนั้น แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าสังเกตตัวท่านเอง ท่านจะมานั่งมองตัวเองก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น...ท่านก็สังเกต เออ...ถ้าองค์นี้มาจะเคี้ยวหมากอย่างนี้ ถ้าองค์นี้มาจะทำอย่างนี้ ท่านไปสังเกตทางด้านโน้นแทน
      ถาม :  แล้วองค์เคี้ยวหมากเป็นใครเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อ๋อ...องค์เคี้ยวหมากเป็นหลวงพ่อจ้ะ ขำอะไรก็ไม่ขำ ไปขำอีตอนที่บอกท่าน บอกว่า “หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอา” ท่านถามว่า “ไม้เท้าเอาไหม ?” ตอนนั้นนึกตอบว่า เอาหรือไม่เอาลงกบาลกูแน่ เงียบเสียเถอะ เสร็จแล้วพอเมื่อปีที่แล้วไปตัดแว่น พอเอามาใส่ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะหึ ๆ “คราวนี้เอ็งรู้แล้วหรือยัง ว่าข้าอยากได้นักหรืออย่างไร” บอก “รู้แล้วครับ ถึงเวลาอยากได้ ไม่อยากได้ก็ต้องใส่” นี่ใส่มาเก้าเดือน สายตายาวขึ้นไปอีกยี่สิบห้า ใช้มากไปหน่อย ก่อนหน้านี้พอตายาวอ่านหนังสือสุดแขนมันรำคาญ เราก็วาง คราวนี้พอมีแว่นอ่านสบาย ว่าทั้งวันทั้งคืนเลย บอกไม่ถูกช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมาอ่านมาเป็นร้อย ๆ เล่ม แล้วอยู่ ๆ เอ๊ะ...ทำไมมัว ๆ วะ ไปวัดใหม่เพิ่มมาอีกยี่สิบห้า จากร้อยเจ็ดสิบห้าเป็นสองร้อยเรียบร้อยไปแล้ว ใช้งานมันมาก ตอนนี้เปลี่ยนเลนส์ใหม่แล้ว ธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น ถึงวาระถึงเวลาจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ แต่ของเรา แหม...ดันไปปฏิเสธธรรมดา แว่นก็ไม่เอา