ถาม: แล้วบทสัมปจิตฉามิ เวลาภาวนาจะมีฤทธิ์พวกอะไรครับ ?
ตอบ : สัมปจิตฉามิ หรือว่าโสตัตตะภิญญาก็ดี มีเคล็ดลับอยู่นิดหนึ่ง เราอาจจะไม่รู้กันนะ เวลาภาวนาไป ๆ จะเห็นแสงสว่าง แสงอาจจะเป็นผืนกว้างใหญ่ไปหมด หรือมาเป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่น เป็นจุด ไม่ว่าจะเป็นเส้นตรงเส้นโค้ง เส้นคดไปเคี้ยวมาอะไรก็ดี พยายามรวบรวมแสงเหล่านั้นให้เข้ามารวมเป็นดวงอยู่ในอกของเรากำหนดใจดึงเข้ามา ๆ ให้เข้ามารวมอยู่ในอกของเรา พอรวมเป็นดวงในอกเราได้เมื่อไร ตัวเราจะเริ่มลอยได้ พอเริ่มลอยได้แล้วอย่าเพิ่งตื่นเต้น ค่อย ๆ บังคับให้มันลอยช้า ๆ ก่อน ให้เราชินกับการควบคุมสมาธิให้มันทรงตัว ให้ลอยช้า ๆ ลอยไป ลอยกลับ เอาอยู่ในห้องเราก่อนก็ได้ ถ้าหากว่าขึ้นเต็มที่แล้ว จะใช้ได้เหมือนกับอภิญญาที่เกิดจากการฝึกกสิณทั้ง ๑๐ เลย
ถาม : ไม่จำเป็นต้องเป็นสีอะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นแสงสีทอง ถ้าเป็นแสงสีทองดึงเข้ามารวมกันไว้ในอกของเรา ส่วนใหญ่แล้วภาวนาไปเรื่อย ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึัน ก็ตั้งหลักไม่ถูกว่าจะเริ่มมันอย่างไรดี
ถาม : บางครั้งก็จับสามฐาน บางครั้งก็เห็นเป็นแสงสีแดง สีเหลือง แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ช่างมันเถอะ มาอย่างไรก็ดึงมารวมกันในตัวเราให้ได้ก็แล้วกัน อาตมาเองบางครั้งมันขี้ตรงร่องอยู่เรื่อยแหละ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ฟลุ๊กอยู่เรื่อย คราวนี้ตรงอยู่เรื่อย เลยมั่วถูกอยู่เรื่อย บางครั้งโยมก็ถาม ก็บอกโยมเขาว่าฟลุ๊ก แล้วโยมเขาก็ประท้วงว่า ฟลุ๊กบ่อยเหลือเกิน ชักจะน่าเกลียดแล้วนะ...!
ถาม : ….................
ตอบ : เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ขอย้ำมันมีก่อน มีหลัง มีช้า มีเร็ว อย่าไปเอามันมารวมกัน ถ้ารวมกันจะเป็นปัญหาใหญ่จนเราแก้ไม่ได้นะ แยกออกเป็นส่วน ๆ ลำดับความเร็วช้า ก่อนหลัง แล้วแก้ทีละอย่าง จะไม่เกินกำลังของเรา ปัญหาไม่ว่าจะทางโลก หรือทางธรรมก็เหมือนกัน จำไว้นะ...อย่าไปหมกรวมกันนะ ตาย แยกทีละอย่าง แล้วจะไม่หนัก ถ้าไม่แยกแล้วตายแหง ๆ
ถาม : …..................
ตอบ : เดือนที่ผ่านมาโบสถ์เก่าเสร็จ ห้องน้ำเก่าเสร็จ ห้องน้ำใหม่จวนเสร็จ ปิดทองพระประธานวัดทองผาภูมิ ปิดทองพระประธานวัดเกาะพระฤๅษี วิ่งชนิดแทบไม่มีโอากสให้คนได้เห็นหน้า จริง ๆ ก็คือว่า ถ้าใจของเรานิ่ง เรื่องจะไม่ยุ่ง สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรจะให้เราสงบได้ ในท่ามกลางความวุ่นวาย ถ้าเราหยุดเมื่อไร เราจะเห็นต้นเหตุของปัญหา แต่ถ้าเราวิ่งอยู่ เท่ากับเราไปเล่นกับเขา ไปเล่นกับเขาจะมองเกมส์ไม่ออกว่าจะแก้อย่างไ ร
ฉะนั้น...ถ้าหากว่าสรุปง่าย ๆ ก็คือทำตัวเป็นคนดู สังเกตไหม พวกดูมวยเก่งทุกคน ให้ขึันชกเองเมื่อไรอาจจะโดนน็อก ดูมวยอยู่ข้างนอก จะเห็นว่าของเขามีจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหน แล้วจะแก้ไขอย่างไร คุมเกมส์อย่างไร แต่ถ้าเราปล่อยให้ตัวเเราเองเข้าไปคลุกกับปัญหาเมื่อไร มีส่วนได้ส่วนเสียกับมันเมื่อไร ความกังวลเพราะรู้สึกว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับมันเมื่อไร ความกังวลเพราะรู้อยู่แล้วว่ามีส่วนได้ส่วนเสียนี่ จะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ ถ้าใจมันดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ที่พูดนี่ไม่ได้หมายถึงอาตมาเองนะ มันพยายามจะกวนเท่าไร อย่าไปขุ่นตามมันก็แล้วกัน
ถาม : ….....................
ตอบ : ถ้าเรื่องของมโนมยิทธิ ตามสายที่หลวงพ่อสอนจากวัดท่าซุง ทั้งพระทั้งฆราวาสมีอยู่ไม่น่าจะเกิน ๕ องค์ ที่อาตมาเชื่อได้ว่าท่านเก่งจริงในเรื่องนี้ หลวงตาวัชรชัยเป็นหนึ่งในจำนวนนนั้น ไม่เกิน ๕ องค์หรอก
ถาม : ความมั่นใจที่ทำได้นี่ เหมือนคิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากูเก่งเมื่อไร ก็เจ๊งเมื่อนั้นนะ เพราะว่าประมาททันที
ถาม : แต่เหมือนมีความรู้สึกข้างในก็คล้าย ๆ กันนะครับ ?
ตอบ : เออ...นั่นแหละ คือตัวความมั่นใจในพระนิพพาน
ถาม : แต่ผมเหมือนกับว่า เรามั่นใจว่าเหมือนกับกำลังใจเต็มเปี่ยมเลย ว่าไปได้แน่ ๆ ?
ตอบ : ไปได้แน่ ๆ นี่เจ๊งแน่ ๆ เหมือนกัน มั่นใจได้แหละดี แต่อย่าประมาท
ถาม : ผมนึกถึงสมัยก่อนเลย ที่แบบนอนแล้วเหมือนมีทีวีอยู่ตรงหน้า แต่ภาพมันซ่าไปหมด มองเท่าไรก็ไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกเลยว่าเหมือนเปิดทีวีอยู่เป็นภาพซ่า ๆ
ตอบ : ตอนนั้นจูนไม่ดี จูนดีหน่อยก็รู้เรื่องกันไปแล้ว
ถาม : (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ที่เรียกว่า “ทำเกินกำลัง” ทำแล้วเดือดร้อนตัวเองและคนรอบข้าง ใช้ได้สำหรับบุคคลทั่วไปแต่ไม่ได้ใช้สำหรับพุทธภูมิ พุทธภูมินี่ตัวตายยังไม่ว่าเลย ขอให้ได้ทำเถอะ เพราะฉะนั้น...เรื่องอื่นนี่เรื่องเล็ก ของท่านจะว่าผิดก็ผิด แต่ของท่านถูกว่ะ กำลังใจระดับนั้นแล้ว เบรกท่านไม่อยู่หรอก ยอมท่านแต่โดยดีเถอะ
ถาม : พระภิกษุณีเป็นพระอรหันต์ เขาไปเยี่ยมเพื่อนเขาที่เป็นลูกเศรษฐี แล้วลูกเศรษฐีวานให้หยิบหวีให้ หรืออะไรสักอย่าง แล้วบอกว่าถ้าไม่หยิบให้เขา เขาจะปรามาสพระอรหันต์ แต่ถ้าหยิบให้เขา เขาจะกลายเป็นทาสไปห้าร้อยชาติ สมตติว่านิมนต์หลวงพี่ให้เจิมรถ หรืออะไรต่าง ๆ อย่างนี้ เราจะเกิดเป็นทาสเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นการใช้ท่านจริง ๆ แล้วเราเกิดใหม่...เป็น...แต่ถ้าไม่ใช่เป็นการใช้ท่าน จะบอกว่าอย่างไรดี บางครั้งขึ้นอยู่กับการใช้คำพูดเหมือนกันนะ ถึงเวลาถ้าเป็นอาตมาคลาน ๆ เข้าไปถึงก็ “หลวงพ่อครับ ผมซื้อรถใหม่มา หลวงพ่อเห็นสมควรจะทำอย่างไรดีครับ ?” เดี๋ยวหลวงพ่อบอก “มึงก็ขับไปสิวะ” อยู่ที่ว่าของเราเองทำอย่างไร ถ้าหากว่าท่านเห็นว่าเป็นการสมควร ท่านสงเคราะห์ให้ก็โอเค รับไป แต่ระยะหลัง ๆ นี่หลวงพ่อท่านเจิมรถไม่ไหว เลยมีรายการว่า เคยเห็นใครเจิมรถที ๕๒ คันบ้างล่ะ หลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ คือ คุณเซียวมิ้น กาญจนอุทัยนั่นแหละ เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง เขาถามหลวงพ่อ เรื่องตั้งศาลที่บ้าน ที่บ้านไม่มีที่ตั้งศาลจริง ๆ หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าอยากจะตั้งจริง ๆ ก็หัวเตียงมึงก็ได้” มันก็ไปตั้งศาลไว้หัวเตียงจริง ๆ เอากับมันสิ ใครบอวก่า ตั้งศาลอย่าให้เงาบ้านทับศาลใช่ไหม ตั้งศาลก็ให้อยู่ทิศนั้นทิศนี้ ตาเซียวมิ้นนี่ล่อหัวเตียงตัวเอง งวดนั้นถูกรางวัลที่ห้าตั้งหลายคู่ ตั้งแต่นั้นมาคุณเซียวมิ้นเขาปวารณาเลย เขาเป็นพ่อค้าขายหมู “หลวงพ่อจะทำบวงสรวงเมื่อไร โทรมาบอกได้เลยนะครับ เดี๋ยวหัวหมูผมถวายเอง” แกก็เหมามาเรื่อย ๆ คราวนี้แกรวยขึ้นเรื่อย ๆ งวดนั้นแกซื้อหกล้อใหม่ ก็มากราบเรียนหลวงพ่อในลักษณะนี้แหละ “หลวงพ่อครับ ผมซื้อรถหกล้อใหม่” “เออ...เอามาสิ เดี๋ยวข้าทำบวงสรวงเจิมให้” ถ้าลักษณะอย่างนี้ท่านตั้งใจสงเคราะห์ให้ ไม่เป็นไร พอคนรู้เข้าน่ะสิ มึงมั่ง กูมั่ง จอดเป็นแพเลย ถึงเวลาท่านบวงสรวงเสร็จก็เจิมให้ ก็แปลก หลวงพ่อเจิมรถทุกครั้ง เราจำเป็นจะต้องอยู่เวรตรงนั้นทุกที แล้วท่านก็จะบอกว่า “เจิมรถให้ทำอย่างไร วิธีอย่างไร ทำใจอย่างไร” ปัจจุบันนี้โอ้โฮ...บางเดือนเจิมซะมือหงิกเลย เป็นการถ่ายทอดชนิดที่คนรับก็ไม่คิดจะรับ แต่คนให้ไม่ทราบว่าตั้งใจให้ไหม ของเราก็ต้องไปกางร่มให้ท่านใช่ไหม เจิมรถแดดร้อนด้วย กว่าจะทำพิธี กว่าหลวงพ่อจะมาได้ กว่าจะทำพิธีเสร็จแปดโมงเก้าโมงแล้ว ไล่กางร่มให้ท่าน ท่านว่า “ทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ ขอพระท่านให้สงเคราะห์อย่างนี้นะ ขอให้รถยนต์คันนี้ไม่ว่าไปไหนมาไหน มีความสะดวกสบายปลอดภัยทุกประการ อุบัติเหตุอันตรายต่าง ๆ อย่าได้มี อย่าได้เกิดกับเขา” เอาสิ ท่านบอกหมดนะ ไม่ทำก็ไม่ได้ ฟังดูแล้วง่ายดีเนอะ แล้วรวบรัดดีด้วย แต่พวกเราขาดความมั่นใจ ท่านบอก “ใช้น้ำมันชาตรีนั่นแหละ นึกถึงภาพพระครอบตัวเราลงมานะ ตั้งใจว่าเป็นพระท่านเจิม ไม่ใช่เราเจิม พวกเราทุกคนทำได้หมด ถ้าทำอย่างนี้นะ” แต่ว่าพวกเราขาดความมั่นใจ เรื่องวิชาความรู้ หลวงพ่อท่านไม่เคยหวง เราลูกหลวงพ่อก็ไม่เคยหวง คนรู้มากเท่าไรเราเหนื่อยน้อยเท่านั้น ให้มันประดังไปทีเดียวตายสิ ห้าสิบกว่าคันอย่างนี้
แล้วที่ขำที่สุดคือ ตานกเอี้ยง คุณนพดล นาควิเชษฐ์ หลวงพ่อเดินไปเจิมพื้นมันฝนตกใหม่ ๆ แล้วคราวนี้ไอ้หน้าฝนนี่มันตกหลาย ๆ ครั้งเข้า มันก็เป็นตะไคร่ลื่น ตานกเอี้ยงก็คอยเดินระวังกะว่าหลวงพ่อลื่นเมื่อไรจะช่วยค้ำเมื่อนั้น เดินไป ๆ นกเอี้ยงหงายหลังพลั่ก หลวงพ่อหันมา “ไอ้ห่า...ยังรักษาตัวเองไม่รอดเลย” กะจะช่วยประคองหลวงพ่อ มันหงายท้องตึงไปเลย ลื่น ๆ นึกแล้วก็ขำ จำไว้นะ เข้าตาจนขึ้นมาจริง ๆ รถออกมา หาพระเจิมไม่ได้ ว่าเองเลย น้ำมันชาตรีนะ ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบลงมาเลย อธิษฐานตามที่บอก เสร็จแล้วก็ตั้งใจพระท่านเจิม ไม่ใช่เรา พูดง่าย ๆ ก็คือ มือที่เจิมลงไปคือพระหัตถ์ของท่าน ไม่ใช่ของเรา ใช้ได้จริง ๆ แต่ว่าเรื่องของรถนี่ ถ้าตำราหลวงพ่อท่านบอวก่า “ให้ออกรถวันอาทิตย์ แล้วเอาไปประเดิมใช้วันพฤหัส หรือว่าให้ออกวันพฤหัส ไปประเดิมใช้วันอาทิตย์” อาตมามักจะแนะนำให้ออกวันพฤหัส แล้วประเดิมใช้วันอาทิตย์ เพราะมันใกล้หน่อย ก็เว้นแค่สองวัน แต่ออกวันอาทิตย์ไปประเดิมวันพฤหัสมันจอดหลายวัน ท่านบอกว่า “ให้สลับอยู่สองวันนี้เท่านั้น ถ้าได้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้ก็ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร เอาแค่สองวันนี้ รถ เรือ ยานพาหนะทุกอย่างให้ใช้ฤกษ์นี้ สีแล้วแต่เราชอบ สีไม่เกี่ยว”
ถาม : อาจจะไม่ถูกโฉลกก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ขอให้ฤกษ์ดีก็แล้วกันเหมือนกับคนไม่ถูกชะตาแต่ทำงานดี เก็บไว้ใช้งานได้ ไม่เป็นไรจ้ะ
ถาม : แล้วอย่างคุณพ่อ คุณแม่ ถือเป็นพระอรหันต์ของลูกใช่ไหมครับ ? แล้วเราเกิดบอกว่า “วันนี้อยากกินนี่ แม่ทำให้หน่อยสิ” อย่างนี้เราจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นไม่อรหันต์จริง เปรียบเหมือนพระอรหันต์ของลูก แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านว่า “พรหมา จ มาตาปิตโร มารดา บิดา เป็นพรหมของบุตร ท่านเปรียบเป็นพรหม ไม่ถึงพระอรหันต์จ้ะ แต่ที่ท่านเปรียบว่าเป็นพระอรหันต์ในเรือนนี่ มันมีนิทานของเมืองจีนเขา
ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีหนุ่มไฟแรงนะ อยากจะศึกษาหาความรู้ ได้ข่าวว่ามีพระอรหันต์อยู่ที่ไหน ก็จะต้องไปเรียนให้ได้ พอได้ข่าวมีพระอรหันต์เมืองโน้นเมืองนี้ ไกลลิบโลกเลย ขออนุญาตแม่ไปนะ ด้วยความรักลูก แม่ห้ามปรามแล้ว อะไรแล้วก็ไม่ฟัง ก็เลยจัดเสื้อผ้าจัดเสบียงอาหารไปให้ลูก ก็ดั้นด้นไปกว่าจะเข้าป่าเข้าเขาไปเจอท่านผู้วิเศษที่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ว่ากันซะเหงือกแห้ง พอไปถึงกราบ ๆ ขอเรียนวิชา ท่านผู้วิเศษว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านคงวิเศษจริง ๆ เลย ท่านบอกว่า “แถวบ้านเจ้าก็มีพระอรหันต์อยู่แล้ว พระอรหันต์ท่านนี้น่าจะสวมเสื้อกลับตะเข็บ ใส่รองเท้ากลับข้าง เจ้าไม่ต้องมาเรียนไกลถึงนี่หรอก” พอได้ยินละแวกบ้านตัวเองก็มีพระอรหันต์อยู่แล้วใช่ไหม ก็ดีใจว่าจะได้อยู่ใกล้แม่ตัวเอง ปรนนิบัติแม่ตัวเอง ก็ตะเกียกตะกายกลับบ้าน พอไปถึงตะโกนเรียกแม่แต่ไกล ความที่ลูกจากไปตั้งนานเนกาเล กลับมาแล้วแม่ก็ดีอกดีใจ ก็รีบเผ่นออกมาหาลูก คว้าเสื้อได้ก็ใส่ คว้ารองเท้าได้ก็ใส่ วิ่งออกมาหา ปรากฏว่าใส่เสื้อกลับตะเข็บ ใส่รองเท้ากลับข้างออกมา ท่านรู้ขนาดนั้นจริง ๆ นะ ลูกพอมองเห็นก็นั่ง เออ...แล้วก็กราบเท้าแม่ตรงนั้นแหละ เพิ่งจะรู้ว่าท่านผู้วิเศษหมายถึงแม่ตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา ทุกอย่างก็ทุ่มเทให้แม่ เออ...รอดตายไปที เขาเลยเปรียบว่า พ่อ แม่ เปรียบเหมือนกับพระอรหันต์ของลูก ๆ เอาไหมพระอรหันต์ใส่เสื้อกลับตะเข็บ ถ้าเป็นบ้านเราฟัง มันต้องทะแม่ง ๆ แล้วใช่ไหม ของเราพระก็คือพระ จะไปใส่เสื้อได้อย่างไร บ้านเราไม่อย่างนั้น พระจีนก็ใส่เสื้อใส่กางเกงอย่างนี้
ถาม : ตกลงว่าแบบไหนถูกครับ ?
ตอบ : แล้วแต่ความเหมาะสม คือเรื่องของการแต่งตัว อันดับแรกเขาใช้คำว่า นุ่งห่มเป็นปริมณฑล ก็คือว่า ไม่ชะเวิกชะวากจนน่าเกลียด ดูเรียบร้อย ดูสะอาดงามตา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ให้ฉูดฉาด เลยมีการย้อมด้วยน้ำฝาด แล้วมีใช้ผ้าบังสุกุลลักษณะนั้น แต่มาสมัยหลัง ๆ นี่บางครั้งก็เกินไป ประเภทไตรไหม ไตรแพรอะไรพวกนั้น ห่มก็ห่มยากบรรลัย ร้อนก็ร้อนจะตายชัก เคยลองดูแล้ว ห่มไม่ค่อยติดหรอก เดี๋ยวหลุด ๆ มันลื่น แล้วราคาแพงหูดับเลย ไม่เหมาะแก่สมณะเลย เคยกัดฟันใช้อยู่ ๕ เดือน เพราะว่าเขาเอามาถวายเป็นผ้ากฐิน พอพ้นช่วงกฐินปุ๊บ เราก็จัดแจงเปลี่ยนเลย อันนั้นถ้านุ่งห่มเป็นปริมณฑล ใช้ผ้าบังสุกุลใช้อะไรที่ถูกต้องตามพุทธประเพณีไม่เป็นไรหรอก จะเป็นกางโกงกางเกง ก็เอาเถอะ พระจีนถ้าไม่นุ่งกางเกงเตะสูงไม่ได้
ถาม : พระโพธิสัตว์ของจีนคือ กษิติครรภโพธิสัตว์ กับ ไภษัชยคุรุ องค์เดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อ๋อ...พระกษิติครรภโพธิสัตว์ เป็นคนละองค์กันจ้ะ พระไภษัชยคุรุ เขาเรียก เอี๊ยะซือ เจ้าแห่งยา ปรามาจารย์แห่งยา ส่วนกษิติครรภโพธิสัตว์ เขาเรียก ตี่จั๊ง อันนั้นของท่านเป็นเจ้าแผ่นดิน คนละองค์กันจ้ะ
ถาม : แล้วรูปพระกริ่งล่ะครับ ?
ตอบ : พระกริ่งนั่นเป็นพระไภษัชยคุรุ ที่เห็นอยู่ในมือของท่าน คือน้ำมนต์ แล้วก็หม้อยารักษาโรค ที่ทำพระกริ่งขึ้นมาเพราะว่า กริ่งพิชัยสงครามจะต้องฝืนกฏของกรรมบางประเภท คือของเราต้องการความปลอดภัยจริง ๆ แต่คนเราถ้าวาระกรรมมาถึงใช่ไหม เราจะมาฝืนให้เขาปลอดภัยอยู่ ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านยอมรับกฎของกรรม แต่ว่าถ้าเป็นพระโพธิสัตว์นะ ท่านเองตัวท่านลำบากแค่ไหนไม่ว่า แต่ขอให้ชาวบ้านมีความสุขมีความสบาย ก็เลยต้องเอาท่านที่เรียกว่า ถ้าเพื่อคนอื่นแล้ว ตัเวองลำบากไม่เป็นไร เลยสร้างเป็นรูปพระกริ่งขึ้นมา คือพระไภษัชยคุรุ
ถาม : มีผลทางด้านป้องกันอันตรายหรือครับ ?
ตอบ : เท่าที่ทำมา แล้วบรรดาผู้ที่ท่านว่าท่านรู้จริง ท่านไปลองดูแล้ว ท่านบอกว่า “ท่านไม่เคยเจอวัตถุมงคลอะไร ที่มีอานุภาพมากอย่างนั้นมาก่อน” เมื่อวานนี้ ดร.สมพร ท่านก็มาเล็งเพื่อที่จะเอาพระกริ่งโดยเฉพาะเลย ดร.นะ ข้าราชการซี ๑๐ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ตั้งใจจะมาเอาพระกริ่งองค์เดียว บอกกับท่านว่า “พระกริ่งอยู่ที่วัด ไม่ได้นำมาด้วย” บรรดาท่านที่มีความสามารถพิเศษ สามารถตรวจสอบได้นี่ อาตมาชอบ ชอบตรงที่ว่าท่านจับโกหกอาตมาได้แน่ ๆ เลย ถ้ามีอะไรที่ประเภทวิปริตผิดประหลาดออกไปจากทางธรรมะ หนีท่านไม่พ้นหรอก ฆราวาสเก่ง ๆ น่ะเยอะ ไล่กวดติดก้นพระเลย แล้วก็พระจำนวนมากต่อมากด้วยกัน เก่งสู้ท่านไม่ได้
ถาม : ทำไมต้องใช้คำว่า “พิชัยสงคราม” ?
ตอบ : ตอนนั้นทำเพื่อที่ว่า ถ้าเกิดสงครามใหญ่ขึ้นนะ พระกริ่งจะมีอานุภาพคือ คุ้มครองท่านทั้งหลายเหล่านั้นให้ปลอดภัย พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “บุคคลผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย จะต้องไม่มีอันตราย” ในเมื่อทำสำหรับเรื่องสงคราม คำว่า “พิชัยสงคราม” คือชนะในสงครามอย่างวิเศษ และอะไรก็ไม่ว่า ดร.สมพร ท่านชอบใจชื่อนี้มาก เพราะท่านสืบทอดวิชาการมาจากสายพระยาพิชัยดาบหัก พระยาพิชัยดาบหักนี่ ราชทินนามของท่านจริง ๆ ก็คือ เจ้าพระยาพิชัยสงคราม
สมัยนั้นจะมี พระยาศรีสิทธิสงคราม พระยาสามเมืองระย่อ พระยาพนอราชบาท พระยาไพรีพินาศ พระยาพิฆาตไพรี พระยาพิชัยสงคราม ราชทินนามของท่านจะคล้องจองกันไป นั่นแหละพระยาพิชัยสงคราม ก็คือพระยาพิชัยดาบหักนั่นแหละ ท่านครองเมืองพิชัยด้วย เป็นเจ้าเมืองด้วย
|