สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: ในหลักการวิภาคศาสตร์ Anatomy ทางการแพทย์เขาได้หยิบยกการทำงานของร่างกายว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ตัวอย่างในเม็ดเลือดยังมีสาร Antibody และ Antigen ไว้คอยป้องกัน เป็นภูมิต้านทานให้เกิดความสมดุลในร่างกาย ประกอบกับการครอบงำทางวิทยาศาสตร์ที่คนได้นำมาหยิบยกเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาหลายสิบปี สรุปแล้วเป็นเรื่องของความมหัศจรรย์ของร่างกาย หรือเป็นเรื่องความสกปรก ?
ตอบ : ต้องใช้คำว่าเป็นธรรมดาของมัน สภาพร่างกายที่พัฒนาไปจนถึงระดับนั้น ระบบการทำงานของมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะเห็นว่าร่างกายใช่แค่เปลือกเท่านั้น ส่วนใหญ่คนเราจะไปติดแค่ผิวหนัง คือเห็นภายนอกว่าสวย ก็ไปยินดีกับมันด้วย แต่จริง ๆ ถ้าลอกเข้าไปก็จะเห็นว่าประกอบไปด้วยเลือด ไปด้วยเนื้อ ไปด้วยเส้นเอ็น ไปด้วยกระดูก มีแต่ความสกปรกเป็นปกติ
แต่คราวนี้ตรงจุดนี้ถ้าคนไม่มีปัญญาจริง ๆ มองไม่เห็น จะไปติดแค่เปลือกที่เขาหลอกอยู่ คนโน้นก็หล่อ คนนี้ก็สวยใช่ไหม ถึงเวลาถลกหนักหัวออกดูสิ จะหล่อไหวไหม สวยไหวไหม แต่คนนึกภาพตรงนั้นไม่ออกซะส่วนใหญ่
ถาม : เรื่องของสัจจะ บางคนเขาทำความดีแล้วก็ตั้งใจว่า “ความดีสิ่งนี้เราทำจริง ขอให้ผลความดีเป็นอย่างนั้นอย่างนี้” คราวนี้ถ้าหากเราทำความเลวแล้วเราก็บอกว่า “ความเลวนี้เราทำจริง ขอให้ความเลวจริงนี้จงมีผลอย่างนั้นอย่างนี้” สิ่งนี้จะมีผลหรือไม่ประการใด ?
ตอบ : ถ้าอย่างนี้เป็นสัจจะอธิษฐานทั้ง ๒ อย่างรวมกัน คือเป็นการตั้งใจมั่น เอ่ยอ้างถึงความเป็นจริง ตัวอย่างคือพระยามิลินท์ ท่านถามท่านนาคเสนว่า “ในเมื่อคนดีตั้งสัจจะบารมีอ้างถึงความดีแล้วมีผล ความชั่วจะอ้างสัจจะบารมีตัวนี้ได้หรือไม่ ?” ท่านนาคเสนท่านยืนยันว่าได้ ท่านก็ไปเอาหญิงแพศยามาคนหนึ่ง ให้ไปยืนริมทะเลบอกว่า “เธอจงตั้งสัจจะอธิษฐานในสิ่งที่เป็นจริงของเธอ แล้วขอให้คลื่นทะเลที่มีปกติพัดสู่ฝั่งนี้ให้พัดออกกลางทะเลไปแทน” หญิงคนนั้นก็ประกาศสัจจะอธิฐานความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาว่า “เขาเป็นหญิงนครโสเภณี ชายใดก็ตามมีเงินพันกหาปณะมาให้ ไม่ว่าเขาเองจะเป็นพ่อค้าประชาชนธรรมดา เจ้าพระยามหากษัตริย์ นักรบ หรือว่าขุนศึกอะไรก็ตาม จะยินดีรับผู้นั้นเสมอหน้ากัน ด้วยสัจจะอธิษฐานอันนี้ ขอให้คลื่นจงพัดออกกลางทะเล” ปรากฏว่าไม่ทราบว่าลมกลับทิศอย่างไร ตีคลื่นที่ปกติเข้าฝั่งอออกกลางทะเลหมด พระยามิลินท์ถึงได้ยอมรับ แต่ว่าต้องประกาศความเป็นจริงของตัวเองจริง ๆ ชั่วก็ต้องบอกว่าชั่ว บิดเบือนไม่ได้
ถาม : การที่พระเดชพระคุณท่านอธิบายเรื่องของ Presenter ในครั้งก่อนขออนุญาตต่อสักนิดหนึ่ง การคัดเลือก Presenter มีหลักหลายอย่างได้แก่
1. ต้องมีคุณสมบัติตรงกับการใช้สินค้านั้น ๆ เรื่องเพศ อายุ
2. สภาพของร่างกาย
3. รสนิยมการใช้ชีวิตประจำวันในเรื่องการบริโภค
4. การแต่งกาย
5. บุคลิกส่วนตัวที่โดดเด่น
กล่าวคือ โดยสรุปแล้วเขาจะเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่จะบริโภคสิ่งเหล่านั้น บริษัทฯ เองก็จะนำศิลปินของตนเองโดยเลือกคุณสมบัติให้ตรงกับความต้องการของตลาด ถ้าถามบุคคลต่าง ๆ ที่ได้ฟังบทเพลงว่าเขามีความหลงหรือไม่ ? ก็จะได้คำตอบว่าไม่มีคนหลง แต่ถามว่าคนเราถูกหลอกให้ฟังเพลงด้วยภาวะการตลาดหรือไม่ ? อันนี้ต้องคิดหนัก ภาวะความครอบงำทางจิตต่อสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่มากระทบอารมณ์ใจ จะมีผลดีหรือผลเสียต่อตัวเราอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าในด้านดีก็เป็นผลดี ถ้าในด้านเสียก็เป็นผลเสีย อันนี้ตอบง่ายมากเลย แต่กำปั้นทุบดินเกินไป ส่วนใหญ่แล้วหลักการตลาดคือ ตอกย้ำบ่อย ๆ ในเมื่อตอกย้ำบ่อย ๆ จะเริ่มชินตาชินใจ กลายเป็นที่เขาใช้คำว่า Brandname คือยี่ห้อติดตลาดขึ้นมา คนก็แห่กันไปซื้อยี่ห้อนั้น
สมัยก่อนตามสถานีวิทยุต่าง ๆ ก็จะมีสโลแกนว่า “เพลงละพันวันละเพลง” จ่ายไปหนึ่งพันเลย วันนั้นทั้งวันจะเปิดเพลงนั้นให้ถี่ยิบทุกสถานีเลย พร้อมใจกันกรอกหูไปบ่อย ๆ พอคนได้ยินบ่อย ๆ เข้าเริ่มคุ้นหู พอคุ้นหูกลายเป็นความเคยชิน ของที่ไม่เพราะ ฟังบ่อย ๆ ก็รู้สึกดีไปเองนะ แต่จริง ๆ ก็คือว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กระตุ้นเร้า ให้เราคิดให้เราคล้อยตามไป ประเภทอกหักอย่างนั้น ต่อว่าอย่างนี้ให้ยุ่งไปหมด แต่ถ้าเราใช้ปัญญาจริง ๆ จะเห็นว่าทุกอย่างประกอบอยู่บนฐานของความเป็นทุกข์ คนแต่งเพลงต้องเค้นสมอง บางครั้งดึก ๆ ดื่น ๆ เที่ยงคืนก็มี กว่าจะคิดออกแต่ละเพลง นั่งสูบบุหรี่หมดไปเป็นซอง ๆ คิดไม่ออกสักเพลงก็มี สิ่งเหล่านี้ทุกข์ใช่ไหม แล้วคนเล่นดนตรีก็เหมือนกัน กว่าจะอัดเสียงได้แต่ละเพลง กว่าจะอะไรได้แต่ละเพลงนี่ต้องเล่นแล้วเล่นอีก อัดแล้วอัดอีก กว่าจะได้ระดับที่ตัวเองพอใจ เหนื่อยแทบตายชักใช่ไหม คนร้องก็ร้องเสียงแหบเสียงแห้ง วันนี้ไม่เป็นที่พอใจของโปรดิวเซอร์เขา พรุ่งนี้มาใหม่กว่าจะออกมาได้แต่ละอัลบั้ม มีความสุขมากไหม แล้วแต่ละคนก็เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ตายไปในที่สุด มีแต่ความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความร้อนความหนาวเป็นปกติ ทุกข์ไหม แต่คนที่ปัญญาไม่ถึงมองไม่เห็นจุดนี้ พอไปฟังแล้วก็เออ...สนุกตามเขาไป อย่าไปว่าเขาเลย เป็นปกตินะ การค้าจะต้องทำมาเพื่อขายให้ได้ เพราะฉะนั้น...วิธีการไหนจะที่จะดิ้นรนเพื่อให้ขายได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าตำหนิหรอก อยู่ที่เราเองต่างหากล่ะ ว่าเราจะไปสนับสนุนเขาไหม
ถาม : แนวทางการสืบสวนของตำรวจ เขาได้บอกถึงวิธีการจับโจรว่า ถ้าต้องการจะจับโจรได้ ให้คิดว่าถ้าตัวเองเป็นโจรคนนั้น โจรจะมีวิธีการลงมือและหลบหลีกอย่างไร ? คำถามคือ สภาพของจิตใจที่มีอาการรู้เห็นอารมณ์ หรือสิ่งที่เข้ามาสู่ร่างกายหรือจิตใจ จะมีประโยชน์หรือไม่ แล้วเราทำไมต้องดูอารมณ์ ?
ตอบ : มีประโยชน์หรือไม่...ก็มี ถ้าสามารถคลี่คลายคดีได้ นำความสุขสงบคืนสู่สังคม คืนสู่ประชาชนเขา แต่ตอนที่คิดว่าตัวเองเป็นโจร ไม่ใช่ไม่เคยเป็น เคยเป็นจริง ๆ แต่อาจจะไม่ใช่ชาตินี้ ลักษณะเหมือนกับใช้อตีตังสญาณ หรือปุเพนิวาสนานุสติญาณ พอย้อนคืนไปความชำนาญเก่า ๆ เดิม ๆ จะกลับมาด้วย หลายต่อหลายคนที่เป็นนักสืบสวนสอบสวนที่เก่งมากเลย สามารถคาดเดาได้เลยว่าอาชญากรจะทำอย่างไร ความจริงในอดีตตัวเองเคยเป็นมา ชั่วมาก่อน (หัวเราะ) พอถึงเวลามาแคะของเดิมออกมาได้ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนเขาควรจะทำอย่างไร แล้วก็แกะรอยไปตามแนวนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะมีถึง ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ มีประโยชน์ไหม...มี แต่ถ้าหากไปลุ่มหลงยึดติดอยู่กับมันก็แย่เหมือนกัน
ถาม : ผมได้มีโอกาสศึกษาคำสอนต่าง ๆ มาพอสมควรว่ากันด้วยเรื่องคุณธรรมชั้นสูง ดังเช่น พระอริยเจ้าเป็นต้น แต่ผมกับคิดว่าได้ลืมบางสิ่งบางอย่างในเรื่องคุณธรรม เรื่องการล้างจาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้าท่านตรัสความว่า เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก และได้มีโอากสพบเห็นถึงปัญหาที่มีกันเกือบทุกบ้านได้แก่
๑. ปัญหาการที่คนกินข้าวไม่ล้างจาน
๒. การไม่กรอกน้ำใส่ตู้เย็น
๓. การถอดเสื้อผ้าเรี่ยราด
๔. ความสกปรกภายในห้อง
๕. การพูดกันไม่รู้เรื่อง หรือพูดไม่ฟัง
๖. การน้อยอกน้อยใจกันภายในบ้าน
๗. การสาวไส้ให้กากิน นำเรื่องภายในบ้านไปกล่าวร้ายภายนอก
เรื่องของการกินข้าวไม่ล้างจาน ในพระบาลีคงจะไม่มี แต่เรื่องที่น่าคิดคือว่า บรรดาบิดามารดาต่างพากันล้างถ้วยล้างชามให้ลูกกินเป็นเวลานับสิบปี ดูประหนึ่งคนใช้ก็ไม่ปาน แต่การที่ลูกหลานไม่ล้างจานให้บิดามารดาก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาด แต่สิ่งที่ประหลาดคือการไม่ล้างจานแล้วบุพการีล้างจานให้ อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ บิดามารดาควรสอนบุตรอย่างที่จะปลูกฝังให้คนมีความรัก ความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน และอีกประการหนึ่งคือ การเรียกร้องสิทธิของผู้มีพระคุณกับปัญหาภายในบ้าน ควรจะวางตัวอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ ต้องปลูกฝังจิตสำนึก ให้เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรแล้วมอบหมายหน้าที่เฉพาะให้ เพื่อแต่ละคนจะได้เคยชิน ที่คุณว่าบาลีไม่ได้พูดถึงเรื่องล้างจานน่ะใช่ ไม่มี แต่เขาพูดถึงเรื่องล้างบาตร ว่าทิ้งบาตรให้สกปรก หรือทิ้งอาหารไว้ในบาตร ปล่อยบูดปล่อยเน่านี่เขาปรับหมดแหละ ประทุษร้ายบาตร เพราะฉะนั้น...บาตรกับจานก็ถือเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้
แต่ว่าขณะเดียวกันพ่อแม่สมัยนี้คือรักลูกมากเกินไป ในเมื่อรักลูกมากเกินไป อะไร ๆ ก็พยายามทำให้ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็กลายเป็นความเคยชินในด้านที่ไม่ดีของลูก ในเมื่อถึงเวลาพ่อแม่ล้างจาน ล้างชาม ซักเสื้อผ้า ก็พาลปล่อยทิ้งไปเลย ตัวเองเอาเวลาที่เหลือไปทำเรื่องอื่นดีกว่า มัวแต่ไปเสียเวลาล้างจาน ล้างชามอยู่ ก็ไม่สามารถทำในสิ่งนั้นได้ อย่างเช่นว่า อยากเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อย่างนี้ ถึงเวลาไปนั่งตี๊ด ๆ หน้าจอมันกว่าตั้งเยอะ ล้างจานไม่สนุกเหมือนกับเล่นเกมส์
เพราะฉะนั้น...ถ้าถามว่าทำอย่างไร ก็ต้องสร้างจิตสำนึกและระเบียบวินัยขั้นต้นขึ้นมาในใจของเขา หลายครอบครัวเห็นเขาทำได้ดี เขาจะแบ่งหน้าที่เลยว่า วันจันทร์ต้องทำอะไร อังคารต้องทำอะไร พุธต้องทำอะไรให้ลูกแต่ละคนเขาหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันทำไป ถ้าหากว่าคุณติดงานคุณต้องมอบหมายหน้าที่หรือแม้กระทั่งจ้างวานพี่น้องตัวเองให้ทำ เพื่อจะได้รู้จักรับผิดชอบตั้งแต่เด็ก ๆ เจอมาหลายครอบครัวที่เขาทำแล้วได้ดี การสร้างระเบียบวินัยถ้าเราปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ๆ เด็กเป็นไม้อ่อนยังดัดง่ายอยู่
เพราะฉะนั้น...เขาเองจะเป็นในทางที่เราต้องการ แล้วเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี ในเมื่อเขามีจิตสำนึกที่ดี ทำครอบครัวของตัวเองดี ไปอยู่กับส่วนรวมก็สามารถจะทำส่วนรวมให้ดี ในเมื่อส่วนรวมดี บ้านเมืองดี ประเทศชาติก็ดี อะไรก็ดีไปหมดนะ สร้างระเบียบแล้วก็จิตสำนึกขั้นต้นของเขา ให้เขาค่อย ๆ ทำไปตั้งแต่เล็ก ๆ เขาจะเคยชินเอง
ถาม : เทคโนโลยีใหม่เรื่องพันธุกรรม พันธุกรรมจะเปลี่ยนแปลงขนาดไหนครับ ?
ตอบ : คุณเคยอ่านพระมาลัยที่กล่าวถึงตอนที่ว่าโลกของพระศรีอาริยเมตตรัยไหม ทุกครอบครัวทุกคนหน้าตาจะเหมือน ๆ กันหมด ถ้าไม่กลับขึ้นมาบนบ้านจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร คาดว่าเทคโนโลยีที่จะเป็นได้ขนาดนั้นต้องโคลนนิ่งกันอย่างเดียวแหละ แต่ว่าโคลนนิ่งได้แต่เปลือก เลือกพันธุกรรมที่ดีที่สุดขึ้นมาแล้วก็กำจัดพันธุกรรมที่ด้อยออกไป ทุกคนจะมีลักษณะพันธุกรรมเหมือน ๆ กัน สภาพร่างกายเหมือนกัน สมองเหมือนกัน แต่ว่าสำคัญที่สุดคือ จิตใจไม่เหมือน ที่จิตใจไม่เหมือนเพราะว่าจิตที่มาปฏิสนธิมาตามกรรมของมัน เขาอาจจะเคยสร้างในส่วนของทาน ของศีลเอาไว้มาก ก็เกิดมารวย เกิดมาหน้าตาสวย หน้าตาดีเหมือน ๆ กันหมดก็จริง แต่ว่าข้อปลีกย่อยอื่น ๆ ของแต่ละคนจะมี
ฉะนั้น...เรื่องของพันธุกรรมจะเปลี่ยนแปลงโลกขนาดไหน ก็อาจจะเป็นการจัดระเบียบโลกใหม่ไปได้เลย ถ้าทำได้จริง ๆ นะ แต่ทุกอย่างมีข้อจำกัด เพราะเท่าที่ผ่าน ๆ มาไม่มีอะไรได้ดีสักอย่างหนึ่ง แกะดอลลี่ก็ตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อย่างนี้ ลิงสองตัว สามตัวที่โคลนนิ่งขึ้นมาก็เสร็จตั้งแต่น้อย ๆ เหมือนกัน เหมือนกับว่าขาดอะไรบางอย่าง แล้วเรามาดูต้นไม้ที่เขาตอนเพื่อการแพร่ขยายพันธุ์ ตอนจากต้นแม่ไปอายุมันเท่ากับต้นแม่นะ มันถึงได้มีลูกได้เลย ในเมื่ออายุเท่าต้นแม่เดี๋ยวอาจจะประสบแบบเดียวกันกับไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ต้นไผ่เมืองไทยพร้อมใจกันตายหมู่ เพราะว่าเอาต้นแม่มาจากประเทศจีน ในเมื่อเอาต้นแม่มาจากประเทศจีนถึงเวลาก็ฟันกิ่งมาเพาะชำ อายุเลยเท่าต้นแม่ ต้นแม่ตายตอนนั้นไผ่เมืองไทยพร้อมใจกันตายยกประเทศเลย ที่เหลืออยู่ก็คือพวกที่เพาะเมล็ดขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นดีไม่ดีไผ่เมืองไทยสูญพันธุ์ไปแล้ว
เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามธรรมชาติกำหนดไว้ดีแล้ว เขามีการคัดเลือกสายพันธุ์ของเขา อย่างที่กฎพันธุกรรมของ “เมนเดล” เขาบอกเอาไว้ใช่ไหม จะมีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑ ลักษณะด้อยก็ไม่ได้หมายความจะมีชีวิตอยู่รอดไม่ได้ เพียงแต่ว่าลักษณะเด่นส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยความแข็งแรงสูง รูปร่างหน้าตาดี สายพันธุ์ดี ถึงเวลาก็ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามมากกว่า โอกาสที่จะถ่ายทอดสืบพันธุ์ก็มีมากกว่า ลักษณะด้อยโอกาสถ่ายทอดไม่ใช่จะไม่มี แต่โอกาสน้อยกว่าเท่านั้นเอง ธรรมชาติคัดเลือกของมันเองอยู่แล้ว
ถาม : เรื่องของลูกช้าง ลูกช้างคนนี้มีพ่ออยู่คนหนึ่ง พ่อคนนี้มีลูกอยู่หลายคน ลูกแต่ละคนมีสติปัญญาไม่เท่ากัน ซึ่งต่อมาพ่อคนนี้ได้มีโอกาสไปและได้เห็นสวรรค์ นรก พรหม และนิพพาน และเมื่อพ่อได้มีความรู้ดังนั้นแล้ว จึงได้นำมาสั่งสอนลูกหลานทั้งหลายว่า “จงทำความดีกันเถอะ ทำชั่วก็ลงนรก ทำดีก็ไปสวรรค์ ดีขึ้นไปอีกก็เป็นพรหม ดีที่สุดก็ไปนิพพาน” ลูกก็ปฏิบัติไปตามกำลังใจ สิ่งที่พ่อสอนนั้นประเสริฐแล้วและเป็นเรื่องจริง สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พ่อท่านนึกคิด และสิ่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในพระราชหฤทัยของพระพุทธเจ้าหรือไม่ขอพระเดชพระคุณท่านช่วยชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าธรรมะที่ท่านรู้นี่ลึกซึ้งเหลือเกิน ถ่ายทอดไปจะมีใครเข้าใจบ้างไหม ถึงขนาดท้อว่าจะไม่สั่งสอนแล้ว คราวนี้ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าสหัมบดีพรหมอย่าลืมว่าท่านอยู่ในเขตอรหันตมรรคนะ พร้อมจะเป็นอรหัตผล ท่านไปทูลอาราธนาว่า “สัตว์ที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่อาจะเห็นธรรมนั้นได้ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมเถิด” คำว่า ธุลีในดวงตาน้อย หมายความว่า กิเลสน้อย ปัญญามาก การที่สมมติว่าครอบครัวหนึ่งมีพ่อสั่งสอนแต่สิ่งดี ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกทุกคนจะดีเหมือนกันหมด แต่ว่าคนที่เกิดมาในครอบครัวเดียวกันนะ เคยทำบุญทำกรรมอะไรเนื่องกันมา ผลบุญผลกรรมทำให้ในอดีตชาติที่ทำไว้ก็ทำให้ปัจจุบันนี้มีการเนื่องถึงกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทาน ศีล ภาวนาจะเสมอกันเปรี๊ยะไปทุกคน สังเกตดูง่าย ๆ คือผลการเรียน สมมติมีลูกสามคน แต่ละคนเรียนเก่งไม่เท่ากันหรอก ถ้าหากว่าเรียนเก่งเท่ากัน ถ้าตีว่าคะแนเฉลี่ยหรือว่าเกรดที่ได้รับเกิดเท่ากันขึ้นมา ก็ยังมีความชำนาญความถนัดในแต่ละหัวข้อวิชาไม่เหมือนกันอีก
พระพุทธเจ้าท่านคิดมาก่อนแล้ว คิดจนท้อแล้ว แต่ว่าหลังจากที่พอสอนปุ๊บแล้วได้ผลปั๊บที่พระอัญญาโกณฑัญญะ พระองค์ท่านก็เผยแพร่กว้างไกลออกมา จนกระทั่งพวกเรามีวาสนาบารมีได้รับคำสอนของท่านแล้วปฏิบัติตาม ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะไปคนเดียวเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้วก็ได้
ถาม : คำว่า “รับไม่ได้” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า I cannot accept อะไรก็รับไม่ได้ คนนั้นก็เลว คนนี้ก็เลว อันนี้ก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ได้ อะไรไม่ถูกใจก็รับไม่ได้ทั้งหมด คำว่า “รับไม่ได้” คำนี้เป็นแฟชั่น แต่เราก็ติดนิสัยมา โดนคำพูดคนกรอกใส่หูเรามาจนกลายเป็นเรื่องการไม่ยอมรับความจริง เมื่ออุปนิสัยของการไม่ยอมรับความจริง ต่อมากลายเป็นแรงกระเพื่อมในใจ ผ่านไปจนถึงสิ้นปีก็ยังมีความกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา และจะกระเพื่อมจนตาย ตายไปแล้วใจก็จะกระเพื่อมอีก วัฏฏสงสารมีความหมายว่าอย่างไร ?
ตอบ : วัฏฏสงสาร แปลจริง ๆ คือการหมุนวนไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่าลักษณะของการรับไม่ได้เป็นภาษาของคนสมัยใหม่ แต่ความจริงแล้วมันผิด ผิดตั้งแต่คิดจะรับแล้ว ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติ สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ระวังไว้ อย่ารับมันเข้ามาในใจ รับเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น เลยกลายเป็นรับไม่ได้
ภาษาวัยรุ่นนี่ยุ่ง อย่างเช่นว่า สมัยก่อนเราพูดว่า หาไม่ได้ หาไม่เจอ สมัยนี้เอะอะก็หาไม่มี เราฟังแล้วยังกลุ้มอยู่เลย เพราะฉะนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าสั่งสมนานไปเรื่อย ๆ จะเป็นความเคยชิน แต่เป็นความเคยชินในทางที่ผิด พอถึงวาระถึงเวลาถ้าสั่งสมมาก ๆ โอกาสที่จะต่อสู้กับมันเพื่อให้เข้าถึงธรรมก็ยาก เหตุที่ยากเพราะว่า เอาส่วนที่ไม่ดีเข้าไปเยอะเหลือเกินแล้ว จิตใจก็เลยมืดมัวมืดบอดมาก จะเอาความดีที่เป็นแสงสว่างเข้าไป จะต้องดีกันอย่างมหาศาลถึงพอจะไล่มันออกมาได้ ถ้าขืนเมื่อไรก็รับไม่ได้ รับไม่ได้จริง ๆ มันน่าจะดีนะ แต่กลายเป็นรับไม่ได้ ในลักษณะที่ว่าติเตียนคนอื่น ตำหนิคนอื่น ไม่ใช่รับไม่ได้ลักษณะที่ไม่ยอมรับ เพราะว่าระมัดระวังจิตใจตัวเอง ถ้าตราบใดที่ยังบอกว่ารับไม่ได้อยู่ก็เกิดอีกนาน สรุปง่าย ๆ เลย (หัวเราะ)
ถาม : อานิสงส์ในการถวายพระประธานประดิษฐาน ณ สถานที่ต่าง ๆ มีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อานิสงส์ตอนแรกคือ พุทธปูชามหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก เกิดใหม่เมื่อไรจะไม่มีคำว่าตกต่ำ อันดับต่อไปก็คือว่าพระประธานตามสถานที่ต่าง ๆ คนต้องไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ไหว้เมื่อไรก็ไหว้สิ่งที่เราสร้าง กราบเมื่อไรก็กราบสิ่งที่เราสร้าง อานิสงส์ความดีที่เขาทำก็เลยตกถึงเราด้วย จะตกทอดต่อเนื่องตามไปทุกชาติทุกภพ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วถ้าหากว่าจิตของเรายึดพระประธานเป็นปกติ จัดเป็นพุทธานุสติ พุทธานุสตินี่อรรถกถาท่านกล่าวว่า “ถ้าหากว่าบุคคลที่ยึดมั่นในพุทธานุสติจะไปนิพพานได้ง่ายที่สุด แล้วถ้าตราบใดที่ยังไม่ถึงนิพพานเพียงใด ผู้ที่ยึดมั่นในพุทธานุสติจะไม่เกิดนอกเขตพระพุทธศาสนา” ตรงนี้สำคัญ เกิดนอกเขตนี่ยุ่งเหมือนกัน
ถาม : ถ้าอย่างในปัจจุบันอันไหนคือนอกเขตคะ ?
ตอบ : นอกเขตก็อย่างเช่นว่า เอาแค่อาหรับก็แล้วกัน
ถาม : ไม่ควรทำตนให้เป็นคนรกโลก คำว่า “วฑฺฒโน” ในพระบาลีกับคำว่า “พัฒนา” ที่แปลว่า ทำให้ดีขึ้นมีความหมายต่างกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ความหมายจริง ๆ มีอันเดียว คือเจริญขึ้นโดยฝ่ายเดียว แต่เจริญมากเกินไป อะไรที่มากเกินไปรกไหมเล่า ก็กลายเป็น น สิยา โลกวฑฺฒโน ไม่ควรทำตนให้เป็นคนรกโลก มากเกินไปก็กลายเป็นขวางทางเขา ขวางทางเขาไม่เกะกะก็รก แต่จริง ๆ ความหมายก็คือคำว่าพัฒนานั่นเอง เพียงแต่ว่าบาลีนี่มีหลายคำที่ความหมายเพี้ยนไป อย่างคำว่า “วิญญาณ” คือประสาทความรู้สึกของร่างกายเราตามภาษาหมอ สมัยนี้วิญญาณคือผีที่จะมาหลอก ไปคนละเรื่องเลย
ส่วนเมื่อครู่ที่คุณบอกว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” อันนั้นจับยัดใส่พระโอษฐ์กลายเป็นพุทธภาษิตไปแล้วสิ จริง ๆ เป็นของสมเด็จพระสังฆราช สา ปุสสเทวมหาเถระ สมเด็จพระสังฆราชองค์เดียวที่เป็นมหา ๑๘ ประโยค คือสมเด็จพระสังฆราชสา ท่านสอบเปรียญเก้าได้ตั้งแต่เป็นเณร องค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ หมายมั่นปั้นมือมาก อย่างไรก็ต้องมอบภาระธุระพระศาสนาให้องค์นี้แน่ ก็อย่างว่านะท่านได้เปรียญเก้าตั้งแต่เป็นเณร พออายุมากเป็นหนุ่มก็อยากแต่งงาน อยากมีเมีย ท่านก็สึก พอสึกปุ๊บ รัชกาลที่ ๔ สั่งจับเข้าคุกเลย เอาผ้าไตรจีวรใส่พานเอาไว้หน้าประตูคุก ถ้าออกมาต้องบวช ถ้าไม่บวชก็อยู่ในนั้นแหละ เข้าท่าไหม ถ้าหากว่าออกมาต้องบวช ผ้าไตรจีวรขวางประตูคุกอยู่ แต่ถ้าหากไม่ยอมออกมา ไม่ยอมบวชก็อยู่ในคุกต่อไป ท่านเลยตัดสินใจ “เอาวะ อยู่นอกคุกดีกว่าอยู่ในคุก บวชก็บวช...!” ก็เลยออกมาบวชใหม่
คราวนี้ท่านกลัวว่าความรู้ของท่านจะเผลอจะเลือนไป ก็ไปขออนุญาตเข้าสอบแปลใหม่ ปรากฏว่าท่านก็แปลได้ ๙ ประโยคเท่าเดิม คนเลยเรียกท่านว่า มหาสาสิบแปดประโยค เป็นองค์เดียวที่ได้ ๑๘ ประโยค องค์อื่นทำไม่ได้หรอก สมัยก่อนเขาแปลปากเปล่าด้วย และแปลรวดเดียวเลย คุณมีปัญญาแปลกี่ประโยคคุณแปลไปเลย ถ้าหากว่าตกประโยคไหน เขาก็ประเภทบล็อกเอาไว้แค่นั้น ถ้าสมมติคุณตกประโยคหก คุณก็ได้แค่ห้า แล้วต่อไปก็ไปสอบหกต่อ แต่ว่าใครสามารถแปลรวดเดียวได้ก็ยิ่งดี
โอ้โฮ...สมัยก่อนรัชกาลที่ ๔ นี่โหดมากเลย ประเภทแปลปากเปล่ากัน แล้วส่วนใหญ่พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นประธานด้วย แล้วพระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนไม่ว่าไปเจอรัชกาลที่ ๔ อ้วกแน่ ๆ เลย ท่านบวชมา ๒๗ พรรษานะ บาลีของท่านเนี๊ยบเลย ขนาดค้านแล้วก็ทะเลาะกับเจ้าคุณธรรมกิตติ อาสะเน นิสินโน “อันว่านั่งเหนืออาสนะ” เจ้าคุณท่านให้ผ่าน รัชกาลที่ ๔ บอกผ่านได้ที่ไหน นั่งเหนืออาสนะ ตูดก็ต้องลอยพ้นพื้น พระท่านก็แปลใหม่ “อาสะเน นิสินโน อันว่านั่งในอาสนะ” รัชกาลที่ ๔ โอเคผ่าน เจ้าคุณธรรมกิตติค้าน ไม่ได้ครับ ถ้านั่งในอาสนะก็ต้องฉีกผ้ามุดเข้าไป ตกลงพระซวยสอบตก กรรมการทะเลาะกัน นั่นแหละเป็นซะอย่างนั้น
แต่ว่าตอนหลัง พระมหาสา ปุสฺสเทโว ท่านก็มาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงเกียรติคุณมากเลย เพราะว่าท่านเก่งจริงรู้จริง เพราะฉะนั้น...คราวหน้าอย่าจับยัดใส่พระโอษฐ์ง่าย ๆ นะ อย่างคำว่า “เกลือรักษาความเค็ม” นั่นก็เหมือนกัน แต่ว่าเข้าท่าดี คนเลยเที่ยวเอาเป็นพุทธภาษิตหมด
|