สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  รัก โลภ โกรธ หลง มันคิดได้หรือครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ! มันชำนาญมาเยอะ ทำมาเป็นแสน ๆ ชาติแล้วนี่ มันชำนาญกว่าเยอะ ผ่านการฝึกซ้อมมานาน ความดีของเรามันผ่านการฝึกซ้อมมาน้อย สู้มันไม่ค่อยได้หรอก อย่างนี้ก็อยู่ที่ความพากเพียรพยายาม
      ถาม :  ได้เกิดในพุทธศาสนาแล้วอย่างน้อยก็ดี ?
      ตอบ :  ก็ไม่แน่หรอก ทาน ศีล นี่ก็ทำมาเรื่อย ๆ แต่ตัวภาวนานี่มันเป็นกำลังใจของปรมัตถ์ ถ้ายังไม่ถึงปรมัตถ์นี่ก็ยังทำน้อยอยู่ ขั้นต้นก็ทาน บอกรักษาศีลไม่ไหว โอ้โห! แบกช้างทั้งตัวเลยนะ พอมาขั้นกลาง อุปบารมีทานได้ ศีลได้ บอกภาวนานี่ไม่รู้เรื่องเลย จ้อจะด่าเขาอย่างเดียว ต้องปรมัตถบารมีถึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้
      ถาม :  จำเป็นไหมครับว่าได้พยากรณ์นี่ระดับปรมัตถ์แล้ว ?
      ตอบ :  ถ้าได้พยากรณ์อยู่ใระดับปรมัตถ์แล้ว
      ถาม :  ระดับปรมัตถ์แล้วยังต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
      ตอบ :  ก็อย่าลืมว่าขึ้นแรกนี่คิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ขั้นถัดมาก็คือพูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็มาขั้นสุดท้ายนี่แหละ ตั้งหน้าตั้งตาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
      ถาม :  คิดแล้วเหนื่อยครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก เบื่อเมื่อไรแล้วค่อยเลิกก็ได้
      ถาม :  แต่ผมว่ามันเป็นไปได้ไหมครับว่า เราเข้ามาสู่หนทางที่ถูกต้องแล้ว มันมีสิ่งให้จูงเราไปเจอสิ่งที่ต้องให้เราทำบุญเยอะ ๆ อยู่ตลอด
      ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกัน บางอย่างก็เป็นการที่เรียกว่าทดสอบกำลังใจ แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าที่เกิดเป็น “มหาทุคตะ” มันอยู่ที่กำลังใจการสละออก ลำบากขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่ทิ้งบุญ ยังขวนขวายหาโอกาสทำจนได้ การทำความดี อรรถกถาท่านบอกว่า แค่ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นมันก็จะมีผลต่อไปภายหน้าแล้ว เพราะความดี ความชั่ว ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหน มีวาระมีโอกาสมันก็จะสนองให้ แบบเดียวกับพระจูฬปันถก มีอยู่ชาติหนึ่งท่านเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็เสด็จเลียบพระนคร เหงื่อออกก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ด คราวนี้ผ้ามันสกปรก อือ! ตัวเราสกปรกขนาดนี้เลยหรือ คิดแค่นี้เองนะ พอมาชาติที่เป็น “พระจูฬปันถกเถระ” ไปเอาผ้าถูกันแล้วก็ภาวนาอยู่ พอเห็นผ้าสกปรกกุศลเดิมก็ส่งให้กลายเป็นพระอรหันต์
      ถาม :  อย่างพระที่ในกุฏิท่านมีทีวี มีอะไรต่อมิอะไรหมดทุกอย่าง ท่านเอาไว้ดูเพื่ออะไรคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ท่านเหล่านั้น น้อยคนที่จะดูแล้วได้ประโยชน์ การที่เราจะดูหนังดูละครให้ได้ประโยชน์ต้องพิจารณาให้เห็นว่าด้วยว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ อย่างเช่นว่า นักแสดงใช่ไหม ? เขาแสดงเพราะเขาต้องการเงินไปเพื่อการดำรงชีวิตของเขาและคนในครอบครัวของเขา ก็แสดงว่าเขากำลังเดินอยู่ในกองทุกข์เพื่อที่จะระงับทุกข์นั้น เขาก็เลยไปแสดง สิ่งที่เขาแสดงก็เป็นมายาหลอกตาเราชั่วคราวเท่านั้นเอง ตัวของเขาก็แก่ไปทุกวัน ตัวของเราก็เช่นกัน เรานั่งอยู่งตรงนี้เราจะรู้หรือว่าเราจะหมดลมหายใจเมื่อไร ถ้าเราดูแล้ว ๆ พิจารณาอย่างนี้แล้ว มันไม่มีอารมณ์ที่จะดู เพราะฉะนั้นคนที่ซื้อเอาไว้แล้วบอกว่า เอาไว้ดูเพื่อพิจารณา เชื่อยาก ส่วนใหญ่ก็คือว่าไม่มีหลักยึดของจิตตัวเอง ในเมื่อจิตไม่มีหลักยึดก็ไปหาสิ่งภายนอกมาเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เนื่องจากว่ามันจะไปสั่งสมความเครียดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ สิ่งที่จะผ่อนคลายตัวเองก็ต้องเข้าทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย แล้วในที่สุดทั้งหมดก็ไปเป็นโทษทางใจ ที่ถามท่านไว้ว่ามีเพื่ออะไร ? ก็ต้องถามท่านเอง แต่จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้เห็นด้วย ไปที่วัดท่าขนุนเขามีโทรทัศน์อยู่เครื่องเดียว ก็สั่งเขาเก็บเข้าห้องล็อกกุญแจไปเลย ตั้งแต่นั้นมาบรรดาเณร แม่ชีต่าง ๆ ก็หลุดจากหน้าจอโทรทัศน์มาทำโน่นทำนี่ได้ ไม่อย่างนั้นติดแหมะอยู่ที่นั่น ทำอะไรไม่ได้กันเลย
              เรื่องอย่างนี้จริง ๆ แล้วจะว่าไปก็คือ ใครละได้ก่อนก็สบายก่อน ไม่ต้องไปตำหนิใครหรอก ตราบใดที่รัก โลภ โกรธ หลง ยังบัญชาการเราได้อยู่ เราก็ต้องคล้อยตามเขาไปเรื่อย แต่ถ้าหากว่าเราพยายามดิ้นรนต่อสู้กับมัน แรก ๆ ก็จะแพ้ยาวเลย แต่หลังจากที่เราแพ้บ่อย ๆ แล้วมันจะฉลาดขึ้น จะรู้ยุทธวิธีทำอย่างไรที่เราจะชนะมันให้ได้ แล้วเราก็จะเริ่มชนะบ้าง ต่อไปก็แพ้ชนะก้ำกึ่ง ต่อไปก็ชนะมากกว่าแพ้ และในที่สุดก็จะไม่แพ้อีก นี่เป็นความมุ่งหวังของนักปฏิบัติทุกคน ก็ต้องพยายามทำไป ตอนที่มันแพ้ชนะก้ำกึ่งกันนี่ สนุกที่สุดคะแนนต่อไปจะเป็นของเขาหรือจะเป็นของเรา หนังละครกี่เรื่องมันก็ไม่น่าดูเท่านี้หรอก
              หลวงตาบัวบอกว่า ท่านเดินชนต้นไม้เลยเพราะว่าท่านเดินจงกรมไป ภาวนาไป พิจารณาไป ต่อสู้กับมันไป ลืมสังเกตอาการภายนอกเลยชนต้นไม้ เดินเลยทางจงกรมไปแล้ว แล้วถามว่าหลังจากนั้นล่ะครับ ก็เดินต่อก็ชนอีก เพราะว่าจิตมันต้องอยู่ข้างใน มันต่อสู้กับรัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ทำอย่างไรจะปล้ำมันให้ลง ทำอย่างไรจะกดมันให้ได้ ทำอย่างไรจะฆ่ามันให้ได้ ตอนเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่มันไม่สนใจร่างกายว่าจะเป็นอย่างไร มันก็เดินของมันไปเรื่อย เรามีหน้าที่เดินจงกรม ภาวนาก็ว่าไป คราวนี้มัวแต่เพลินอยู่ข้างใน ลืมข้างนอกเดี๋ยวก็โครม! เข้าให้อีก
      ถาม :  ผมไปไหนมาไหน นั่งนอนอยู่มันไม่ทรงสมาธิครับ บางทีก็ทรงสมาธิ ?
      ตอบ :  มันก็มีอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ต่อเนื่อง ยาวนานเท่านั้นเอง ค่อย ๆ สะสมไปสิ น้ำทีละหยดรวม ๆ กันก็ยังเต็มตุ่มเต็มไหนี่นา
      ถาม :  ผมมีกำลังใจในการนั่งสมาธิน้อยมาก นอนทุกที ผมอยากเดินจงกรมนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะจับหลักอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ก็เอาสักอย่าง นั่ง นอน ยืน เดิน ส่วนเดินให้กำหนดรู้ เท้าซ้ายไปรู้อยู่ เท้าขวาไปรู้อยู่ แขนซ็ายแกว่งไปก็รู้อยู่ แขนขวาแกว่งไปก็รู้อยู่ ถ้าจะเอาลมหายใจด้วยก็ได้ แต่ถ้าไม่เอาก็กำหนดแค่รู้อาการของร่างกายเฉย ๆ ถ้ากำหนดลมหายใจด้วย คนไม่ชำนาญถ้าจับลม ๓ ฐานปุ๊บจะเดินไม่ออก เพราะว่าจิตกับประสาทจะเริ่มแยกจากกัน ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ มันจะบังคับร่างกายไม่ได้
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้าผมขับรถอยู่ แล้วรถคว่ำล่ะครับ ?
      ตอบ :  มันไม่คว่ำก็อาจจะทื่อไปทิ่มคนอื่นเขา ก็ทำให้มันคล่องสิ ถึงเวลาให้มันข้ามจุดนั้นไปเลย ให้มันเป็นฌานใช้งานไปเลยอย่างนั้น
      ถาม :  มีมนุษย์คนไหนไม่เคยได้ฌาน ๔ บ้างครับ ?
      ตอบ :  เยอะ โธ่! เวรกรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติภาวนาเป็นแสนคนจะทรงฌานได้สักคนก็แสนยาก ไม่ใช่ฌาน ๔ นะ บุคคลผู้ทรงฌานสักแสนคนจะได้ฌาน ๔ สักคนก็แสนยาก บุคคลผู้ทรงฌาน ๔ เป็นแสนคนจะได้ทิพจักขุญาณสักคนก็แสนยาก มันยากขนาดไหน
      ถาม :  พวกสัตว์เดรัจฌานนี่เขาทรงฌานได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ได้
      ถาม :  ได้ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ เหมือนเราไหมครับ ?
      ตอบ :  อาตมาเจอมาเองเลยล่ะ หมาที่วัดท่าซุง “ไอ้คุณทหาร” โอ้โห! ดูใจมันแล้วอายมันเลย มันทรงฌานตั้งเวลาได้ด้วย หมาตัวนี้พอถึงเวลาสี่โมมางครึ่งมันจะไปเดินเวียนอยู่รอบรถราง แล้วพอพระขึ้น โยโส ภะคะวา มันหมอบลงเงียบเลย ดูใจมันได้ใสปิ๊งทั้งดวงเลย พอถึงเวลา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ มันลุกขึ้นสะบัดตัวพรึบ เตรียมรอเจริญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านขึ้น ปุริมัญ ทิสังราชา มันก็ลงปั๊ก เงียบ! มันตั้งเวลาได้เลยนะว่ามันจะเอาเท่าไร จะเลิกเมื่อไร เราก็บอกกับพระทุกรูป บอกว่าหมาตัวนี้ทรงฌานเก่งด้วย มันเก่งกว่าผมอีก มันทรงฌานตั้งเวลาได้ พอมันตายลง หลวงพี่วิรัชก็ไปรายงาน หลวงพ่อครับ “ทหารตาย” เออ! มันไปเป็นพรหมแล้ว อายหมาฉิบหาย เพราะพรหมนี่เป็นคุณสมบัติของผู้ทรงฌานจริง ๆ
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ จริง ๆ แล้วชาติที่เคยมีโอกาสฝึกสมาธิ จริง ๆ ก็เพียบเลยสิครับ ?
      ตอบ :  ก็เพียบเลย เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าปัจจัยของมันไม่ให้นี่ตกเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางทีจิตมันมืดบอด มันไม่มีโอกาสได้ใกล้มนุษย์ มันก็ต้องอาละวาดไปตามวิถีของมัน แต่สัตว์เดรัจฉานนี่อย่างน้อย ๆ มันมีส่วนกำไรมากกว่า เพราะว่าเขาจะตกต่ำลงไปนั้นมันยาก ส่วนใหญ่จะเสมอตัวคือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าหากว่าใจเกาะคนจะเกิดเป็นคน ใจเกาะพระจะเกิดเป็นเทวดา โอกาสที่เขาทำผิดจะลงอบายภูมิมากกว่านั้น อย่างเช่น เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายนั้น มันมีน้อย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ไม่ผิดศีลข้อ ๓ หรือครับ ?
      ตอบ :  ในสภาพของสัตว์เดรัจฉาน ตรงจุดนั้นมันไม่มี ของเขามันอยู่ในจุดที่เรียกว่าหยาบ ทำไปก็ผิดน้อยหรือไม่ผิด ถ้าหากว่าอยู่ในจุดที่ละเอียดแล้วทำอย่างนั้นจะผิด แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าที่เป็นคนตัดฟืนไปเก็บดอกบัวในสระโบกขรณี กลางป่า มีผีเสื้อน้ำโผล่ขึ้นมาบอก ขโมย ๆ พระพุทธเจ้า เฮ้ย! ของมันไม่มีเจ้าของสักหน่อย อยู่กลางป่ามันจะขโมยได้อย่างไร ก็ผมเป็นเจ้าของ แล้วคนอื่นเก็บล่ะ คนอื่นเก็บไม่เป็นไร อ้าว! แล้วฉันเก็บถึงกับเป็นขโมย เขาบอกว่าท่านปรารถนาพระโพธิญาณจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าท่านไม่ทำให้ละเอียดเอาไว้ต่อไปสอนคนไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนอื่นทำไม่ผิด แต่ท่านทำผิด
      ถาม :  แล้วเขารู้ด้วยหรือครับ ?
      ตอบ :  เขารู้ก็ด้วยความเป็นทิพย์ ผีเสื้อน้ำก็รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เขาก็เล่นงานเลย เพราะฉะนั้นในภูมิของสัตว์เดรัจฉานจิตของมันมืดบอด ในเมื่อจิตของมันมืดบอดส่วนที่มันทำ ถ้าเป็นคนจะมีโทษมาก แต่ของเขาไม่มี คนฆ่าพ่อฆ่าแม่เป็นอนันตริยกรรม แต่สัตว์เดรัจฉานฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่ป็นอนันตริยกรรม เพราะว่าสัญชาตญาณของความเป็นพ่อเป็นแม่นี่พอลูกพ้นอก ลืมเลย
      ถาม :  …..(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  พวกได้อภิญญาทั่วประเทศไทยเป็นพัน ๆ เขาบอกได้อย่างไรว่าแค่ ๑๔ คน จำเพาะที่อาตมาเจอมาก็เกิน ๑๔ แล้ว เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าทำนาย ต้องถามว่าท่านทำนายไว้เมื่อไร มีอะไรเป็นหลักฐาน เชื่อถือได้แค่ไหน ไม่ใช่สักแต่ว่าลือ ๆ กันไป รายละเอียดเขาว่าไว้อย่างไร ?
      ถาม :  เขาบอกว่าคนที่จะแสดงตัวมี ๑๒ ถึง ๑๔ คน แต่จะมีคนหนึ่งที่รุ่งเรือง ได้รับการยอมรับ เขาจะเป็นคนเอเชียที่อยู่ในแถบยุโรป อายุประมาณ ๓๐-๔๐ ปี ผมก็เลย เอ๊ะ! เป็นพุทธทำนายจริงหรือ ?
      ตอบ :  อาตมาก็ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ บางทีมีไปแล้วประเภทต่อปีกต่อหางไปเรื่อย ปลาไหลกลายเป็นมังกรมาเยอะแล้ว ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าหากว่าเป็นพุทธทำนายจริง ต้องถามว่ามีอะไรเป็นหลักฐาน จารึกไว้ที่ไหน มีเอกสารอ้างอิงอะไร ก็ว่ามาเลย
      ถาม :  ผมไปอ่านเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งน่าสนใจมากเลย เขาบอกว่าคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ฝรั่ง ขันธ์ ๕ ร่างกายเราเป็นตัวเรา แล้วก็คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่คิดว่า จิตนี้เป็นตัวเรา นี่แสดงว่าตัวเรานี้ไม่มีขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของจิต ?
      ตอบ :  บ้า ตัวเราจริง ๆ คือจิต ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา สภาพจิตมันก็คือตัวเราเองแท้ ๆ เลย ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นแค่เปลือก มันเป็นรถยนต์คันหนึ่ง ถึงเวลารถพังคนขับรถก็ไปหารถคันใหม่ คราวนี้กว่าจะได้รถคันใหม่มันขึ้นอยู่กับบุญบาปที่ทำมาว่าคุณจะได้รถยี่ห้อดี ๆ ราคาแพง ๆ หรือรถโปเกอะไรก็ว่าไปอย่างหนึ่ง
      ถาม :  แต่ในขันธ์ ๕ นี่มีวิญญาณ วิญญาณเขาเรียกอะไรคะ ?
      ตอบ :  วิญญาณ คือประสาทความรู้สึก ประสาทรับความรู้สึกในร่างกายของเรา เรียกว่า วิญญาณ
      ถาม :  คล้าย ๆ สัญญาหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  สัญญา นี่เป็นความจำ
      ถาม :  สมมติว่าเราเกิดมาชาติที่แล้ว ชาตินี้เราก็จำไม่ได้อยู่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าสัญญาเป็นอย่างไรอยู่แล้ว ?
      ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าเกิดจากคนปุ๊บ เป็นคนต่อ มันก็มีสัญญาติดมาเหมือนกัน แต่ของพวกนี้ฟื้นได้นี่ ถึงเวลาก็ฝึกอตีตังสญาณ ระลึกชาติ ระลึกย้อนหลังก็ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติไป
      ถาม :  ในขันธ์ ๕ ที่ให้เราละก็คือ ?
      ตอบรูป คือตัวเรานี่แหละ เวทนา คือความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ สัญญา คืออความจำ สังขาร คือตัวความคิดปรุงแต่ง วิญญาณ คือประสาทรับความรู้สึกของเรา ส่วนใหญ่ความหมายมันเพี้ยนไป ไปเชื่อวิญญาณก็คือสภาพจิต ที่ชาวบ้านเรียกว่า ผี ไม่ใช่วิญญาณ ในบาลีคือประสาทร่างกาย จิตต่างหากล่ะที่มันเป็นผี เพราะว่ามันไปโน่นไปนี่ได้ ไปตามภพตามภูมิของตัวเองได้ ตามบุญตามบาปได้
      ถาม :  อย่างนี้ผีที่เราเห็นก็คือจิต แล้วทำไมเขาต้องอัปลักษณ์ หรืออะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  จิต ผลบุญมันน้อย นั่นเขามาเต็มที่ของเขาแล้วนะ รวยที่สุดของเขาแล้ว ได้เท่านั้น เราวิ่งหนีมัน เหมือนกับคนจนแต่งตัวอย่างไรมันก็ยังจนอยู่ มันก็ดูซอมซ่อ ดูไม่ได้ใช่ไหม ? คราวนี้เราเองเป็นเศรษฐี เขาจะมาขอความช่วยเหลือ เศรษฐีดันไปวิ่งหนีขอทานประจำเลย จริง ๆ แล้วผีนี่มันน่าสงสาร ไม่ได้น่ากลัว เคยไปเจอผีที่เกริงกระเวีย เจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปอยู่ที่สังขละบุรี เราก็ เออ! สะใจดี พาพระ เณรไป จะได้ทดสอบกำลังใจ พอไปอยู่ โอ้โห! มันแห่กันมาเต็มไปหมดเลย ก็ถามมันว่า มันเรื่องอะไรถึงมาเที่ยวหลอกคนจนเขาอยู่ไม่ได้ เขาบอกว่า เขาไม่ได้หลอก พอเขาเห็นคนมาเขาตั้งใจจะมาบอกว่าเขาเดือดร้อนอย่างไร เขามาขอความช่วยเหลือ แต่หนีเขาหมด น่าเวทนาไหมล่ะ! มันเดือดร้อนมาจริง ๆ ยกขบวนมานอนหน้าทำเนียบ แล้วก็เอาตำรวจไปไล่ตีมัน
      ถาม :  มีคนเขาไปบ้านผีสิง แล้วก็เด็กคนนี้ก็ไปพิสูจน์ แล้วมีคนไปฉี่ใส่ลบหลู่ ทีนี้เพื่อนเขาหนีมาได้หมด มีเขาติดอยู่ในนั้นคนหนึ่งออกมาไม่ได้ กลายเป็นเสียสติไปเลย อย่างนี้ทำไมเขาทำให้ออกมาไม่ได้ แล้วมันทำให้คนนี้เป็นบ้าไปเลย อย่างนี้ค่ะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วอาการเป็นบ้า เป็นอะไร มันไม่ใช่ผีทำ อยู่ที่ตัวเองกลัวมากจนขาดสติ ถ้าเอาสติคืนมามันก็หายบ้า ก็เท่านั้นเอง คนบ้า คือคนที่สติไม่สมบูรณ์ มันกลัวมากเกินไป
      ถาม :  เดี๋ยวนี้ผมเกือบจะเลิกกลัวผีแล้ว มีความรู้สึกตั้งแต่ที่หลวงพี่บอกว่าเขาน่าสงสาร ก็น่าสงสารจริง ๆ นั่งสมาธิทีไรก็แผ่เมตตา ?
      ตอบ :  ถ้ารู้สภาพความเป็นจริง เราจะไม่กลัวเขาเลย เขาน่าสงสารจริง ๆ เขาแต่ละคนล้วนแล้วแต่ลำบาก ต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้น และคนที่เขาจะขอความช่วยเหลือก็คือคนอย่างพวกเรานี่แหละที่ทำบุญประจำ ๆ เขาเห็นเราเป็นมหาเศรษฐีมีเงินมีทองแบ่งให้เขาได้แน่ ๆ แต่เราหนีเขาทุกทีเหมือนกัน
      ถาม :  แค่เราเอ่ยปาก ก็แบ่งให้เขาได้แล้วใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ใช่ คือตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่เธอ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย เท่านั้นเอง ไม่ต้องอะไรให้เสียเวลา กรวดน้ำก็ไม่ต้องอะไรก็ไม่ต้อง อิมินา ไม่ต้องทั้งนั้น
      ถาม :  ก็มีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วก็ให้เทพเจ้าทั้งหลายที่ดูแลรักษาเราและก็ทั่วสากลจักรวาล แล้วก็มีพระยายมราช แล้วก็มีผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ?
      ตอบ :  ถ้าอันนั้นแหละ เหมาได้ ส่วนใหญ่ถ้าเขามาในตอนนั้นเขามีสิทธิ์ได้ทุกคน พูดง่าย ๆ คือมันสมบูรณ์แล้ว
      ถาม :  กรวดน้ำแล้วต้องเอานิ้วไปรอง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปกรวดจ้ะ มันเปียกมือเปล่า ๆ กรวดน้ำนี่เป็นรูปแบบของพราหมณ์เขา สมัยก่อนพราหมณ์เขาให้อะไรใคร เขาจะอามือรดน้ำคนนั้นเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว คราวนี้พราหมณ์ที่ทำบุญเป็นคนแรกก็คือพระเจ้าพิมพิสาร ทำบุญแล้วพระพุทธเจ้าบอกให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติด้วย คราวนี้ผีมันไม่ยื่นมือให้เขารด เขาก็ต้องรดมือตัวเองเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว ท่านก็กล่าว อิทัง เม ญาตินัง โหตุ ขอผลทานทั้งหมดจงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า ก็แค่นั้นเอง ผีเขาสาธุมันก็จบ คราวนี้ของเราก็เลยติดรูปแบบเอาน้ำรดมือมาเรื่อย รดไปรดมือมือเปียกก็เลยรดนิ้วเดียว ถึงเวลารดไปรดมาเกาะกันเป็นพรวนเลย ตั้งใจให้เขาอย่างที่ว่ามาเมื่อกี้นี้ ได้ตรง ๆ ไอ้ประเภทที่ไปเกาะ ๆ กันเป็นพรวนนี่ ไม่ได้คิดให้เขาเลย ก็อดอยู่ดี
      ถาม :  เคยถามพระว่าการกรวดน้ำเหมือนการติดแสตมป์ ถ้าเกิดไม่ติดแสตมป์ก็คือไปไม่ถึง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ ไปรษณีย์เมืองนรกเขาเก่ง ถ้าเราเคยได้ยินแค่เสียงคิดว่าเราให้เจ้าของเสียงนั้น ถ้าเคยได้แค่กลิ่นคิดว่าให้เจ้าของกลิ่นนั้น ถ้าเคยได้เห็นแค่วูบวาบ วอบแวบ ก็ตั้งใจให้เจ้าของรูปนั้น ถ้ารู้ชื่อรู้นามสกุลออกชื่ออกนามสกุลไปเลยก็ได้ คือแค่นั้นแหละเขาได้แล้ว ไปรษณีย์ที่โน่นไม่ต้องติดแสตมป์เลยจ้ะ อยู่ที่ตั้งใจของเรา ผีเขาไม่โง่ เขาพร้อมจะรับอยู่แล้ว อนุญาตเมื่อไรมันโดดใส่เมื่อนั้นแหละ
      ถาม :  ฟังเทปหลวงพ่อแล้วเกิดนึกวิจิกิจฉา อะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่า มีส่วนของการปรามาสพระรัตนตรัย เราก็กราบขอขมาพระเสีย นึกเป็นมโนกรรม พูดเป็นวจีกรรม ทำเป็นกายกรรม มโนกรรมเบาหน่อยแต่ก็ยังเป็นโทษมาก อย่าลืมว่าเบา ๆ ของช้าง มดก็แบนนะ พระรัตนตรัยนี่คุณอนันต์โทษมหันต์ ถ้าเราเคารพก็คุณอนันต์ ถ้าเราปรามาสก็โทษมหันต์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกคิดไม่ไดี ทำไม่ดี ก็ขอขมาไว้ทุกวัน
      ถาม :  รู้ว่าคิดไม่ได้ แต่ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ?
      ตอบ :  คือคนเราพอเริ่มทำความดี มันจะมีแววว่าหลุดพ้นได้ มารเขาไม่อยากให้เราหลุดพ้นไป เขาอยากให้เราเป็นบริวารเขานาน ๆ เขาก็จะพยามดลจิตดลใจให้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เพราะว่ากติกาแรกของการจะไปพระนิพพานคือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ เขาก็พยายามทำให้เราผิดกติกาเพื่อเราจะได้ไปไม่ได้ จะได้อยู่กับเขา ก็จะมีการดลใจบ้าง อะไรบ้าง ทั้ง ๆ ที่เราไม่คิดจะพูดก็พูด ไม่ได้คิดจะทำก็ทำ ให้ตั้งใจขอขมาถึงเราจะไม่ได้ทำเอง เราก็ขอขมา เจ้าพวกนี้มันกลัวหน้าด้าน รู้ทันแล้วแถมหน้าด้าน ตื๊อขอไปเรื่อย มันก็เลิก
      ถาม :  แล้วมันจะมีผลทำให้เราไม่ได้ไป ?
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าเรายังทำอย่างนั้นอยู่ ไม่พ้นแน่ แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจขอขมา แล้วพยายามเลิกทำ ตั้งสติให้ดีเขาก็จะชักจูงเราไม่ได้