สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: แล้วพวกความเครียดสะสมต้องไปใช้ทีวี เพลง อะไรอย่างนี้ล่ะครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือตัวภาวนานั่นแหละ ถ้าสร้างความปีติเกิดขึ้นในใจได้ จะเป็นความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขที่ยั่งยืน เพราะเราสร้างมันขึ้นมาภายในเอง พวกนักเที่ยวต่าง ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าที่เขาไปเที่ยวนั้นเพราะว่าเขาได้รับการกระตุ้นทางตา ได้ยินทางหู ได้รับทางกลิ่น ได้รับทางรส อย่างเช่นว่า ไปกิน ไปดื่ม ไปฟัง อะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็เกิดปีติคือความเพลิดเพลินขึ้นมาชั่วคราว พอถึงเวลาหมดสิ่งกระตุ้นก็เดือดร้อน ควานหาไม่เจอ เออ! ตอนนั้นเราไปแล้วมันสบายอย่างนี้ ก็เลยไปอีก ไปแล้วไปอีก จนกระทั่งกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไป ถึงเวลากลางคืนต้องออก ฟ้าไม่สว่างหาทางกลับบ้านไม่ถูก
แต่ถ้าหากเราสามารถสร้างตัวปีติขึ้นข้างในด้วยการปฏิบัติความดี พอความดีมาถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดความอิ่มอกอิ่มใจที่ตัวเองชนะ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ระดับหนึ่งแล้ว ตัวปีติจะยั่งยืนอยู่และมันจะกระตุ้นให้อยากทำมากขึ้น ๆ มันก็จะทำต่อโดยไม่เบื่อไม่หน่าย ขณะที่คนที่ยังทำไม่ถึงเขาเลิกไปนานแล้ว พวกที่จำนวนมากที่น่าเวทนากว่านั้นก็คือ การใช้ยาเสพติดไปกระตุ้น ลักษณะของการที่เราทำใจให้สงบนี่สมองจะหลั่งสารความสุขตัวหนึ่งออกมา ภาษาฝรั่งเรียกว่า เอ็นโดรฟีน สารตัวนี้เหมือนอย่างกับสารที่อยู่ในมอร์ฟีน ที่เป็นส่วนหนึ่งของเฮโรอีนและผงขาวพวกนั้น ถ้าหากว่าเราทำไปเรื่อย ๆ มันก็จะมีความสุขไปเรื่อย เพราะว่าตัวนี้มันสร้างขึ้นมาจากการที่เราใช้ สภาพจิตของเราไปกระตุ้นร่างกายให้มันเป็นเอง แต่อันโน้นเขาใชัปัจจัยภายนอกคือยาเสพติดบ้าง อะไรบ้าง มากระตุ้นก็เลยได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว พอยาหมดฤทธิ์เขาก็ซมซานหาไม่เจออีก ก็เลยกลายเป็นโทษกับร่างกายตัวเองหนักเข้าไปอีก น่าสงสารมาก
แต่ถ้าหากเราสามารถสร้างขึ้นมาในใจของเราได้เองนี่จะยั่งยืน ทำต่อไปเมื่อไรก็มีความสุขเมื่อนั้น ต้องขยันทำให้ต่อเนื่อง เพราะว่าเราไม่ได้ทำความดีอย่างเดียวเราทำความชั่วด้วย ความชั่วนั้นมันกลัวเราจะหนีมัน เพราะฉะนั้นเผลอเมื่อไรมันจะแทรกทันที มันจะพยายามดึงเราไปเป็นพวกมันให้ได้ ถึงวาระถึงเวลามันก็จะแพรมเข้ามาแล้วอย่าผ่อนปรนให้มันเป็นอันขาดเชียวนะ
ตอนที่ป่วยหนัก ๆ ล้มหมอนนอนเสื่อขาดทำวัตรไปเย็นหนึ่ง รุ่งเช้าขึ้นไปใหม่ พระท่านก็บอกว่า ทำไมถึงตองมาขนาดนี้ด้วย อาจารย์ป่วยอยู่ ใคร ๆ ก็รู้ นอนพักเถอะ ก็บอกเขาไปว่า ผมให้มันไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าครั้งนี้นอนพัก เดี๋ยวครั้งหน้าเป็นขึ้นมา เฮ้ย! ครั้งโน้นยังได้เลย ตอนนี้ก็เอาเถอะนะครั้งที่แล้วได้วันหนึ่ง ครั้งนี้มามันยังไม่หายดี สองวันก็แล้วกัน มันจะขาดทุนความดีไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของการรกะทำความดีนี่เขาแลกกันด้วยชีวิต ถ้ายังคลานไหว ไปเถอะ ตอนนั้นตอนเดินบิณฑบาตไปเตะหินเสียจนเล็บหลุดไปทั้งเล็บยังไม่รู้ตัวเลย เพราะว่าจิตทั้งหมดของเราก็คือว่า ทำอย่างไรจะบังคับร่างกายที่มันแย่เต็มทีนี้ แล้วไปปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ถึงที่สุดให้ได้ก็ใช้จิตควบคุมกายอยู่อย่างเดียวว่า เราจะต้องเดินบิณฑบาตจนกว่าจะสุดทางกลับ คราวนี้ร่างกายมันแย่มาก เดินยกเท้าไม่พ้นพื้นก็เตะหินเข้าเต็ม ๆ เราก็ยังไม่ได้สนใจมันอีก ไม้ล้มข้าก็ไป กว่าจะกลับมาพระเขาถามเป็นอะไรเลือดท่วมมาเชียว เล็บหลุดหายไปทั้งอัน
ถาม : ไม่รู้สึกเจ็บหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้สึกหรอกจ้ะ เพราะความรู้สึกมันมีอยู่แค่ว่าทำอย่างไรจะประคองไอ้ซากรถเก่า ๆ นี่ไปให้ถึงอู่ ไม่ได้รู้ว่ายางมันแตกแล้ว
ถาม : ปฏิบัติทั้งวัน หลวงพี่รู้สึกเบื่อไหมคะ ?
ตอบ : เบื่อไม่ได้จ้ะ เพราะรู้ว่าถ้าเบื่อเมื่อไรมันดึงเราลงนรก เราแย่แน่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้กำหนดความรู้สึกอยู่เหมือนกับว่าไฟมันกำลังไหม้บ้าน เราควรจะรีบหนีมันไหม ? ท่านบอกว่าถ้าเรารู้สึกว่าไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ จะมาถึงตัวเของเราแล้ว เราควรจะรีบหนีมันไหม ? หรือจะนั่งรอให้ไฟมันไหม้ตัวเรา ต้องตะกายหนีไว้ก่อน ๆ ที่มันจะไหม้ คือถ้ามันยังไม่กลัวจริง ๆ มันก็ยังเบื่ออยู่ แต่ถ้ามันกลัวจริง ๆ เมื่อไร มันจะรีบตะกาย
นักบวชส่วนใหญ่แรก ๆ บวชก็ตั้งใจดี แต่พอถึงเวลาแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามา มันเป็นตัวแทรกที่อยากจะทดสอบความมั่นคงของเรา เราก็สอบตกเสียส่วนใหญ่ ที่สอบตกเฉย ๆ ก็น่าอายพอแล้ว ยังมีการทุจริต โกงข้อสอบบ้าง อะไรบ้าง ให้ชุ่ยไปหมดนี่ เปรียบเทียบการดำเนินของเขานะ เพราะฉะนั้นปัจจุบันก็เลยมีประเภทที่เรียกว่า ทำไมจำนวนมาก เคยมีชื่อเสียงดี ๆ มาแล้วถึงได้เสียไป แล้วก็จำนวนมากที่ชื่อเสียแต่ทีแรกแล้ว ทำไมไม่แก้ไขให้ดี ที่แก้ไขไม่ไหวเพราะมันหลงประเด็นไปแล้ว ลืมถามตัวเองว่าบวชมาเพื่ออะไร ? ลืมจุดมุ่งหมายวันแรกที่บวชว่าเรามาบวชเพื่ออะไร ? ลืมจุดมุ่งหมายวันแรกที่บวชว่า ตัวเองบวชเพราะต้องการอะไร แรก ๆ ใคร ๆ บวชก็ตั้งใจดีทั้งนั้นแหละ พอรัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาก็เจ๊งเลย ต้องทบทวนตัวเองบ่อย ๆ ถามตัวเองบ่อย ๆ ลืมเป้าหมายตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ที่หลวงพ่อท่านย้ำนักย้ำหนา นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้ารับผ้ากาสวพัตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน จะไปมัว รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ไม่ได้หรอก อันนั้นมันงานนอกทั้งนัั้น มันพยายามจะดึงเราให้หลงทาง มีทางเดียวก็คือพยายามหนีมันให้สุดชีวิต ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ ไปไม่ถึงจุดหมายก็เอาให้อยู่ขอบ ๆ แถว ๆ ลำพูนก็ยังดี ไม่ต้องถึงเชียงใหม่
ถาม : …........(ไม่ชัด).........
ตอบ : จริง ๆ ที่ทำขึ้นมาก็คือว่า ป้องกันอันตรายให้กับโยมเขา เจตนาเดิมเลยนะ อย่าลืมว่าหลักการก็คือว่าต้องนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การป้องกันอันตรายของตำรานี้ ตามที่บูรพาจารย์ท่านกำหนด ถ้าใครรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ได้ อันดับแรก จะไม่ตายโหง หมายความว่าเกิดอุบัติเหตุรุนแรงขนาดไหนก็ตาม คุณไม่ตายแน่ จะพิกลพิการขนาดไหนก็ไม่ตาย อันดับสอง จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ อันดับสาม ไสยศาสตร์ทุกอย่างถ้ามีคนทำใส่เรา มันจะย้อนคืนเจ้าของเขาหมด จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ แต่เขามีกติกาว่าต้องสวด อิติปิโส...สวากขาโต...สุปฏิปันโนน...เขาเรียก อิติปิโส ๓ ห้อง เป็นการบูชา วันละ ๓ จบ เห็นหรือยังว่าบูรพาจารย์ท่านกำหนดอย่างไร อย่างน้อยคุณได้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าไปอยู่ในใจของคุณแล้วทุกวัน นี่คือกิตการการใช้ ถ้าคุณต้องการให้ยันต์นี้มีอานุภาพตามอย่างที่ต้องการ ก็ต้องขยันสวดมนต์ทุกวัน เขากำหนดรูปแบบมาอย่างนี้ พอมาระยะหลัง ๆ ส่วนใหญ่ปัญญาไม่ถึงก็เลยจะไปยึดของแถมคือ ผลพลอยได้ ไม่ได้ไปยึดหลักการที่แท้จริง ความมุ่งหมายที่แท้จริง ส่วนใหญ่ไปเอาของแถมทั้งนั้น ก็ถึงได้บอกว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังดี ตักน้ำรดหัวตอ มันไม่งอกก็ให้มันเปียก ๆ บ้าง
ถาม : หลวงพี่สอนได้อย่างนี้ กำลังใจก็ดี ก็มุ่งมั่นไปนิพพานได้สบาย ๆ เห็นแล้วว่าตรงไหนเป็นอย่างไร ฆราวาสไม่เคยเห็นอะไรเลย ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องเห็นก็ได้ เพราะว่ากติกาไปพระนิพพานก็คือ ข้อ ๑. เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ข้อ ๒. เคารพพระธรรมจริง ๆ ข้อ ๓. เคารพพระสงฆ์จริง ๆ การเคารพจริง ๆ ก็คือ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ การรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ การรักษาศีลนี้ก็คือว่า ทำให้ได้ด้วยตัวเอง พอตัวเองละเว้นแล้วก็อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ อย่ายินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาทำ ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน จะไม่มีเลยที่ว่าจะต้องมารู้มาเห็นเรื่องแบบนี้ เพียงแต่ว่าถ้าเราทำถึง การรู้เห็นเขาจะเรียกว่า “ญาณ” คือ เครื่องรู้ มันจะเกิดขึ้น เราจะมั่นใจตัวเองทันทีเลยว่านี่เราไปได้แน่
ถาม : กำลังใจไม่มีค่ะ ?
ตอบ : อ๋อ! ต้องการกำลังใจ รีบ ๆ สร้างจ้ะ ต้องสร้างเองจ้ะ อย่างอาตมานี่มาแล้วโยมมีกำลังใจ บางคนบอกว่า พอพระมา แหม! มีกำลังใจภาวนาได้หน่อย พอพระไปฟุ้งซ่านเหมือนเดิม พยายามทำให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว อัตตา หิ อัตตโน นาโถ...ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน คิดพึ่งคนอื่นใครเขาจะให้พึ่งตลอดล่ะ ถ้าหากว่าอาตมาตายก่อน คุณหญิงก็เคว้งใช่ไหม ถ้าคุณหญิงตายก่อน ความดียังไม่พอ ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน
ถาม : คนที่ทำสมาธิเข้าฌาน ๔ รูปฌาน อรูปฌาน จนเข้าถึงอารมณ์ที่สุดนั้นได้ ธาตุทั้ง ๔ รวมจนเป็นหนึ่งเข้าไปในจิต จิตนั้นเข้มแข็งมาก แล้วก็เพิก แล้วก็เข้าสู่อรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายนตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำไปทำมาจนจิตสว่าง แล้วก็วางอารมณ์ แล้วก็วางทั้งหมด ทำขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เกิดมรรคเกิดผล เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ยังเกาะตัวกำลังของฌานมากเกินไ ยังไปสนใจที่อยากจะได้ประเภทฌานสุดท้ายมากจนเกินไป ความจริงตั้งแต่ ๔..๕...๖...๗...๘ นี่ ฌานใดฌานหนึ่งไปนิพพานได้ทั้งนั้น กำลังมันพอแล้ว เพราะว่า ฌาน ๔ นี่มันไปได้แน่นอน ฌาน ๕..๖...๗...๘ นี่ไปไม่ได้ แต่กำลังเท่ากับฌาน ๔ แค่ถอยลงมาฌาน ๔ ก็ไปได้แล้ว
อันดับแรกก็คือ อยากมากเกินไป ก็เลยไปเกาะติดอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่ปลดจริง ๆ ไปนิพพานไม่ได้จริง ๆ ประการที่สองก็คือ เป็นพุทธภูมิ ทำให้ตายก็ไปไม่ได้ ถ้าเป็นพุทธภูมิมานี่แต่ละอย่างกว่าจะได้มันผ่านยากผ่านเย็น ต้องเก็บรายละเอียดให้หมด เพราะฉะนั้นก็จะแตะแล้วถอย แตะแล้วถอย เข้า ๆ ออก ๆ จนกระทั่งประเภทที่เรียกว่า ต่อไปใครติดตรงจุดไหน ใครถามจะบอกได้หมด
ถาม : ….(ไม่ชัด)...คือเรื่องของคุณพรทิพย์นะครับ คุณพรทิพย์เขาทำแค่แฟงลูกเดียว เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้ สวยที่สุดในโลกในยุคนั้น ผมก็เกิดปัญหาขึ้นมา ก็เลยกราบเท้าขอถามพระท่านว่า อานิสงส์ผลบุญที่ทำกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี่ ท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วผมจะได้ผลอย่างไร วูบแรกมืดมองไม่เห็นอะไรเพราะว่าเราไม่คิดจะเกิดก็ไม่ปรากฏอะไร ก็เลยกราบท่านว่า ลูกอยากรู้จริง ๆ ท่านก็ให้เห็นทรัพย์สินมหาศาล ทรัพย์มหาเศรษฐี เริ่มต้นด้วยมหาเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี ๑๐๐ ชาติ ที่จะรับของมหาเศรษฐี แล้วก็ภาวนาการณ์ตายของคนเรา นี่จริง ๆ ก็ดับสัญญา ถ้าขันธ์ ๕ ดับ สัญญาเป็นสมบัติของสังขารก็ดับไปด้วย เกิดมาก็เริ่มใหม่ ความรู้เรียนใหม่ ครอบครัวถ้าจะมีก็มีใหม่ วิชาความรู้ทางธรรมก็ต้องศึกษาใหม่ เพียรใหม่ โอ้โห! ไม่เอาดีกว่า วันนั้นก็ทำใจหลุดจากมหาเศรษฐีได้ว่าไม่เอา พอไม่เอาก็ขึ้นไปกราบพระ ท่านบอกว่าถ้าเธอทรงกำลังใจอย่างนี้อีก ๕ ชาติสงบ อันนี้จะแก้ไขอะไรไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : มันก็ได้ อย่าลืมว่าการพยากรณ์นั้นก็คือ อารมณ์ปัจจุบันตอนนั้น อย่างที่เคยเปรียบเทียบเสมอ ๆ เหมือนว่าตอนนี้เรากำลังขับรถอยู่ ถ้าเราขับรถด้วยความเร็วขนาดนี้ ท่านบอกจะถึงสถานที่นี้ ในเวลานี้ ถ้าเราเร่งขึ้นมันจะถึงก่อน ถ้าเราลดลงมันจะถึงทีหลัง ฉะนั้นถ้าเราเร่งขึั้นมันก็จะเร็วขึ้น
ถาม : ปฏิปทาของการเร่ง มันไม่เกิดอารมณ์สบาย สำหรับผมนะครับ ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าถ้าเร่งปฏิบัติธรรมทีไร ตัวที่มันเกิดขึ้นก็คือ ตัวอยากแทรกเข้ามาทุกที ก็เลยปฏิปทาว่า สบาย ๆ ไม่อยากไม่อะไรทั้งสิ้น ถ้ายึดถืออย่างนี้อยู่นี่จะ ๕ ชาติหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือว่าอยู่ที่จังหวะของเราว่าเราทำดีทำถูกหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามันพอเหมาะพอดีแล้วถูกต้อง มันก็เร็วขึ้นได้ เพราะว่าลีลาการปฏิบัติ มี ๔ แบบ พระพุทะเจ้าท่านบอกว่า
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่าย ๆ บรรลุเร็ว
สุขาปฏิปทา ทันขาภิญญา ปฏิบัติง่าย ๆ แต่บรรลุยาก
ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุเร็ว
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก บรรลุยาก
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าของเราเอง ถ้าอยู่ในสุขาปฏิปทา ก็ขอให้เป็นขิปปาภิญญาก็แล้วกั นมันจะได้เร็วหน่อย
ถาม : ตัวอธิษฐานที่ให้มีปัญญา ปัญญาตัวนี้จะเกิดได้จากอะไรครับ ?
ตอบ : การสั่งสมปัญญา ก็จะมีปัญญาเกิดจากการฟัง เรียกว่า สุตตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดแล้วเข้าใจแตกฉานแล้ว ก็เรียกว่า จินตมยปัญญา แล้ววอันสุดท้ายนี่ ภาวนามยปัญญา คือทำให้มันเกิดผล ฟัง ..คิด...เข้าใจ...แล้วปฏิบัติตามให้เกิดผล ต้องมี ๓ อย่างรวมกัน
ถาม : การปฏิบัติพระกรรมฐาน จริง ๆ เขาปฏิบัติแล้วก็ทำกำลังใจคล้ายคลึงกับว่าเราละขันธ์ ๕ ไปแล้วหรือรับ เราเป็นคนตายไปแล้ว ?
ตอบ : ก็ส่วนใหญ่ก็รู้เสมอว่าเราต้องตาย อย่างตอนที่อาตมาทำอยู่ ก็สมมติตัวเองตายเป็นประจำ ต้องสมมติตาย พอตายเสร็จก็ดูไปเรื่อย เออ! ตอนนี้ชั่วโมงหนึ่งเป็นอย่างนี้ เริ่มจากเอ็น แข้ง ไล่ดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเน่าเปื่อยกลายเป็นฝุ่นหายไปเลย เสร็จแล้วก็เริ่มเกาะกันขึ้นมาใหม่อีก อะไรอีก พิจาราณาย้อนไปย้อนมา ย้อนมาย้อนไป หัวถึงเท้า เท้าถึึงหัว อย่างนี้ไปเรื่อย ห้ามเบื่อห้ามหน่าย
ถาม : เห็นจุดนี้แล้วเกิดความเบื่อห้ามหน่าย เพราะว่าถ้าขันธ์ ๕ เราดับ ทุกอย่างก็ดับไปหมด แม้สมบัติของชาตินี้ หมายความว่า ความเข้าใจ การเข้าถึง ความรู้ในธรรม มันก็ไม่ติดไปด้วย ?
ตอบ : มันจะติดไปก็ต่อเมื่อเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไปต้องไปฟื้นใหม่ทั้งนั้น ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปกำลังใจจะคงตัวอยู่อย่างนั้น แต่ท่านไม่รู้นะว่าท่านเป็นพระโสดาบัน ยกเว้นว่าได้รับการพยากรณ์หรือว่าไปทราบว่าคุณสมบัติที่แท้จริงของพระโสดาบันเป็นอย่างไร แล้วท่านก็ เฮ้ย!...มันง่ายนิดเดียว เราทำได้อยู่ทุกวันแล้ว
ถาม : ถ้าพิจารณาไปในเรื่องของพระโสดาบันนี่พิจารณาถึง สักกายทิฏฐิ วิจกิจฉา สีลัพพตปรามาส พิจารณาถึงตัวศีล พิจารณาให้ละเอียด พิจารณาเป็นขั้น ๆ แล้วก็พิจารณาว่าตัวไหน เราละ เราวาง เราปล่อยสิ่งนี้ได้อย่างไร พยายามทำปัญญาให้ละเอียดตาม ทำไปแล้วมันก็เป็นการเดินตามรอยพระโสดาบัน เป็นเพียงเท่านั้น พอเข้าไปกราบถามพระ ท่านก็บอกว่า พรหมวิหาร ๔ ไม่บริสุทธิ์ นี่ก็แสดงว่าพระโสดาบันเกี่ยวข้องกับพรหมวิหาร ๔ ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เกี่ยวเต็ม ๆ เลย เพราะว่าถ้าพรหมวิหาร ๔ ทรงตัว ศีลทุกข้อจะทรงตัวไปด้วย พระโสดาบันนี่กติกาใหญ่อยู่ตรงศีล รักษาศีล เพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลเพราะจะไปนิพพาน เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว กติกา ๕ เหลือ ๑ ก็พอ แต่คราวน้ว่าศีลทุกข้อจะทรงตัวแน่นอนไม่ได้ ถ้าขาดพรหมวิหาร ๔ ถ้าเรายังคิดเบียดเบียนเขาอยู่ศีลก็จะขาด เพราะว่าจะต้องไปฆ่าไปทำร้ายเขา ยังคิดเบียดเบียนเขาอยู่มันก็ไปลักไปขโมยเขา ฉะนั้นพรหมวิหารจะต้องทรงตัว ศีลถึงะทรงตัว โอ้โห! พรหมวิหารนี่ยอมรับว่าเขี้ยวลากดินเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอุเบกขายิ่งยากสาหัสที่ปล้ำมาถึงได้ เคยบอกว่า เรืองของอรูปฌานกับพรหมวิหาร ๔ นี่ยอมรับว่าแปดหัวข้อที่ว่ากันเหงือกแห้ง ยังไม่ไปถึงไหนเลย จิร งๆ ก็คือว่า ตัวศีล ตัวเมตตา มันผูกขาติดกันมา ทิ้งกันไม่ได้เลย ถ้าขาดเมตตา ศีลไม่ทรงตัวแน่นอน อันนี้กล้ายืนยัน
ถาม : …...........................
ตอบ : วันไหว้ครูประจำปีตามสายหลวงพ่อจะไหว้ครูวันเสาร์ห้า ถ้าไม่ได้วันเสาร์ห้าให้ใช้วันวิสาขบูชา ถ้าไม่ได้วันวิสาขบูชาให้ใช้วันมาฆบูชา ใช้ได้สามวันนี้เท่านัั้น ถ้ามีเสาร์ห้าอย่างไรก็ต้องใช้วันเสาร์ห้า
ถาม : วันเสาร์ห้าก็มีการปล่อยของ ?
ตอบ : ใครจะปล่อยก็เชิญจ้ะ ตรงนี้ยินดีรับ เก็บหมด เศษเหล็กสมัยนี้เป็นราคาทั้งนั้น ขายหมด (หัวเราะ) สมัยหลวงพ่อ โอ้โฮ...มันปล่อยตะปูมาเห็นแล้วประเภทหนาว ๆ ร้อน ๆ เป็นกอง ๆ เลยนะ ถึงวันอังคารกับวันเสาร์เวลาประมาณห้าทุ่ม หมาจะเริ่มหอน พอเริ่มหอนไปรอได้เลย รอบ ๆ โบสถ์ เดี๋ยวก็หล่นติ๊ง ๆ ลงมา แล้วอีกที่หนึ่งก็ตรงท่าแพริมน้ำเก็บกันได้เป็นหอบ ๆ เลย ส่วนใหญ่พวกตะปูตอกโลงผี ตะปูตอกเสาเมรุ ที่มีการเผาศพแล้ว คืออย่างน้อย ๆ ให้มีประเภทไอศพอยู่เสียหน่อย เพื่อที่เขาจะใช้วิชาไสยศาสตร์ได้เข้มขึ้น เก็บไปเก็บมาคงประเภทหมด รื้อเมรุกี่เมรุก็ไม่รู้ จนไม่มีปัญญาจะส่งมันก็เลิก
ถาม : ….............
ตอบ : พระเจ้าซาร์ นิโคลัส ตอนเป็นมกุฏราชกุมาร ท่านสนิทกับรัชการที่ ๕ ท่านก็มาประเทศไทย ในเมื่อท่านมาประเทศไทยเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รัชกาลที่ ๕ ถึงขนาดออกปากว่า “ถ้าท่านต้องการอะไรท่านจะอนุญาตให้อะไรก็ตามที่อยู่ในแผ่นดินไทย ถ้าท่านต้องการพร้อมจะยกให้” ท่านขอพระแก้วมรกต...! ในเมื่อเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ เขาขอก็ต้องให้ คราวนี้พระเจ้าซาร์ท่านก็คงเห็นน้ำใจ ถ้าอย่างไรอะไรที่เป็นของรัสเซีย ถ้าจะขอท่านก็ให้เหมือนกัน รัชกาลที่ ๕ ท่านเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านขอพระแก้วคืน” (หัวเราะ) ก็ให้ไปแล้วก็ต้องเป็นของรัสเซีย ถ้าเป็นเรา ๆ หักมุมไม่ทันแน่ ไม่ขออะไรมาก ขอพระแก้วคืน
ถาม : กามฉันทะ ?
ตอบ : จริง ๆ แค่นิดเดียวเท่านั้นจ้ะ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีทุกคน ไม่ใช่ไม่มี แต่เราจะทำอย่างไรให้รู้ว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติของร่างกาย ในเมื่อเป็นของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเราที่เป็นใจ ใจเราก็อย่าไปให้ความร่วมมือกับมันสิ รู้ไหมว่าเราไปร่วมมือกับมันตรงไหน ? ไปให้ความร่วมมือกับมันด้วยการคิด ถ้าหยุดความคิดได้ทุกอย่างจบเลย
คือส่วนใหญของเราจะไปคิด เห็นผู้หญิงมองปั๊บ เออ...ถ้าเห็นว่าเป็นผู้หญิงก็จบแค่นัั้น เออ...สวยไหม รูปร่างดีไหม เป็นแฟนเราดีไหมอะไรอย่างนี้ นี่เป็นตัวคิดต่อ เป็นจิตสังขาร คือปรุงแต่ง นี่แหละหนึ่งในขันธ์ห้าที่สุดแสบเลย สังขารคือความคิดเพิ่มเติม เห็นแทนที่สักแต่ว่าเห็น โน่นไปมอง เออ...ใส่ชุดว่ายน้ำจะสวยไหมอย่างนี้ ถ้าแก้หมดจะเป็นอย่างไรไปเรื่อย เพราะถ้าหากว่าเราสามารถหยุดความคิดไว้ได้แค่นี้ จะเห็นสักแต่ว่าเห็น ในเมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็นแค่นั้นเอง มันจะทำอันตรายเรามากไม่ได้ แล้วหลังจากเรามีปัญญาค่อยเอาไปแยกแยะสภาพที่แท้จริงของมันเป็นอย่างไร
อันดับแรกหยุดคิดให้ได้ก่อน อยากจะบอกเขาว่า จริง ๆ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเขา ขอให้พวกเราทุกคนที่ตั้งใจทำให้รู้ไว้เลยว่า “ขณะใดก็ตามที่จิตของเราฟุ้งซ่านด้วยราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อย่างขนานใหญ่เลย คือตอนที่เราก้าวใกล้ความดีมากที่สุด” เราไปยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เปิดประตูเข้าไปแล้ว มารเขากลัวเราจะพ้นมือเขา พอเราก้าวใกล้ความดีเมื่อไร เขาจะเอารัก โลภ โกรธ หลง มาดึงเราให้พ้นจากจุดนั้น เพื่อให้เราพลาดจากเป้าหมายนั้น แล้วก็อยู่เป็นบริวารเขาต่อไป ถ้าหากว่ามีสติ แค่มองย้อนหลังไปว่า ช่วงนั้นเราปฏิบัติอย่างไร แล้วทำอย่างนั้นใหม่ ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก พักเดียวก็เข้าประตูได้แล้ว
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไปหลงทางตามเขาไปเลย พอไปหลงตามเขาเสร็จ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ จำไว้ว่า ถ้าหากเป็นนักปฏิบัติระดับพวกเรา ตอนที่ฟุ้งซ่านที่สุด คือตอนที่ใกล้ความดีที่สุด
ถาม : ถ้าเกิดเป็นฝันล่ะคะ ?
ตอบ : ก็ปล่อยให้ฝันไปสิ จะทดสอบแบบไหนก็แล้วแต่ จิตเราอย่าไปยินดี อย่าไปฟุ้งซ่านตามมัน ของอาตมาเองนี่บางครั้งเขามาประเภทไม่รู้จะทำอย่างไร เราชอบแบบไหน เขามาแบบนั้นเลย เสร็จแล้วบางครั้งสิ่งที่เคยทำมาก็ช่วยได้เยอะ อย่างเช่นว่าเคยฝึกอสุภกรรมฐานมาบ้างอะไรบ้าง ช่วยได้เยอะ
ถาม : จบกิจแล้ว ?
ตอบ : หลวงพ่อเห็นนิพพานเป็นปกติ แต่คราวนี้การรู้เห็นเป็นเรื่องของกำลังฌานสมาบัติ กำลังของฌานสมาบัติถ้าร่างกายไม่ดี เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอย่างนี้ กำลังของฌานจะเสื่อม คราวนี้พอกำลังฌานเสื่อมท่านไม่เห็นนิพพาน ตามธรรมดาของพะรอริยเจ้าผู้ไม่ประมาท ในเมื่อเห็นเป็นปกติอยู่ๆ ไม่เห็น ก็ต้องคิดว่าไม่แน่แล้วสิว่าเราจะไปได้ใช่ไหม ก็ต้องถามเพื่อความมั่นใจก่อน ก็แบบเดียวกับเมื่อครู่ ยืนยันเรื่องของพระอัสสชินั่นแหละ พระอัสสชิก่อนที่จะมรณภาพ ท่านเจ็บป่วยมากเหลือเกิน เพราะว่าเป็นโรคกระเพาะ ก็ถามพระพุทธเจ้าว่า “สงสัยว่าความดีจะเสื่อมเสียแล้ว ?” พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธอหรือ ?” ท่านตอบว่า “ไม่เห็นเลยพระพุทธเจ้าข้า” “แล้วอย่างนั้นเรียกว่าความดีเสื่อมไม่ได้หรอก ไม่เสื่อมแน่นอน” คราวนี้พระอัสสชิท่านไปเข้าใจว่า เรื่องของการตัดกิเลสกับประสาทร่างกายเหมือนกัน ไป คิดว่า เออ...! ประสาทร่างกาเยหมือนกับกิเลส ตัดได้แล้วก็ต้องแล้วกันเลย ทำไมยังเจ็บปวดอีก
แหม...อันนี้เห็นหลวงปู่มหาอำพัน ท่านครางโอย ๆ เป็นเก๊าท์ เราก็ไปนวดให้ท่านหายาให้ท่าน เสร็จแล้วก็ถามหลวงพ่อ “หลวงพ่อครับ พระอรหันต์ยังเจ็บหรือครับ ?” ท่านว่า “ไอ้บ้า...พระอรหันต์ไม่ใช่ตอไม้” (หัวเราะ) แล้วท่านก็อธิบายให้ฟังบอกว่า “พระอรหันต์จิตของท่านละเอียดกว่าเราหลายเท่าเหลือเกิน ท่านยิ่งรู้ละเอียดมากกว่าเราอีก เพราะฉะนั้น...เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะเจ็บมากกว่าเราหลายเท่าด้วย เพราะท่านรู้ได้หมด ประสาทร่างกายมีเท่าไร สติท่านรู้ทันหมด กลายเป็นว่าแทนที่จะไม่เจ็บ เจ็บหนักกว่าเราอีก”
มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านบอก “เฮ้ย...เล็กขอน้ำปลาพริกจากครูนันทาให้ถ้วยหนึ่งสิ” เราก็รีบบอกครูนันทา “ครูทำน้ำปลาพริกให้หลวงพ่อถ้วยหนึ่ง หลวงพ่อต้องการ” พักเดียวเท่านั้นแหละ ไม่น่าจะถึงนาที หลวงพ่อบอก “เฮ้ย...เร็ว ๆ หน่อยโว้ย น้ำลายยืดแล้ว” เราดูท่าอาการหลวงพ่อเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถามว่า “หลวงพ่อยังอยากอยู่หรือครับ ?” คืองงจริง ๆ นะ ถามอย่างนี้เลยนะ คนอื่นเกล้าถามหรือเปล่าไม่รู้ จะโดนเตะเอา ท่านบอก “ไม่ใช่อยาก ประสาทร่างกายมันต้องการ มันจะเอาเปรี้ยวเอาเค็ม พอไม่มีให้มัน น้ำลายยืดเลย” (หัวเราะ) เหมือนร่างกายขาดสารอาหารอะไรบางส่วนที่มาจากตรงนั้น คราวนี้พอจะเอาขึ้นมามันไม่มี ท่านบอก “แหม...น้ำลายยืดเลย”
|