ดังนั้น ขอให้ทุกคนยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่เรามา โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้าน ขอให้ทุกคนท่องบ่นภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ จะสร้างความคล่องตัวให้แก่เราอย่างคิดไม่ถึง ใครจะว่างมงาย ใครจะว่าเหลวไหล อาตมายืนยันว่าไม่งมงาย ไม่เหลวไหล เพราะอาตมาใช้มาเอง มีใครบ้างที่สามารถสร้างวัด ๆ หนึ่งเสร็จได้ภายในปีเดียว โดยที่ ๒ มือเปล่า ๆ มีแต่คาถาบทเดียว จะไม่ให้ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วขณะเดียวกัน ไปช่วยเขาที่อื่นไปช่วยเขาที่ไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าการสะดุดหยุดยั้งผิดจังหวะไม่มี มีแต่ความสะดวกคล่องตัวอยู่เสมอ

            ดังนั้น ขอย้ำว่าถ้าเราใช้คาถาเป็น ส่วนใหญ่ทำไมใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกกัน การใช้คาถาเป็นก็คือต้องวางกำลังใจให้เป็น การวางกำลังใจให้เป็นก็คือตั้งใจว่า คาถานี้คือสมบัติวิเศษที่พ่อให้มา หน้าที่เราคือรักษาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ ด้วยการเป็นคนที่ขยันท่องบ่นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกวัน เรื่องของความสม่ำเสมอจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ กัน ในเมื่อเราตั้งใจทำถวายบูชาต่อท่านอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ผลพิเศษต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าเราทำเพื่อจะหวังผลพิเศษนั้น ตัวอยากที่บังหน้ามันจะตัดไปเกือบหมด อยากได้ ไม่ใช่ความผิด แต่พออยากตั้งใจว่าต้องการอะไรแล้วลืมความอยากนั้นเสียแล้วตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป นี่คือการใช้คาถาที่ถูก การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนกัน อยากมันถึงทำ แต่ตัวอยากตัวนี้เป็นฉันทะ หลวงพ่อเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ ความพอใจในธรรม ไม่ใช่ตัวตัณหา ตัวตัณหาเป็นการอยากได้ใคร่มีในลักษณะที่เรียกว่าถ้าไม่ได้มาผิดศีลผิดธรรมก็ยังเอา ตัวอยาก มีอยู่ในทุกธรรมะ แต่ว่าตัวอยากนี้เป็นตัวธรรมฉันทะคือพอใจในการปฏิบัติ ขณะเดียวกันการปฏิบัติทุกอย่างอารมณ์อุเบกขาสำคัญที่สุด

            การปฏิบัติไม่ว่าจะทาน ศีล ภาวนา ถ้าขาดตัวอุเบกขาการปฏิบัตินั้น ๆ เข้าไม่ถึงจุดสุดท้าย การให้ทานถ้าไม่รู้จักอุเบกขาปล่อยวางก็นั่งกลุ้มใจ ขอทานมันขอสตางค์ก็ให้มันไป ให้แล้วก็แล้วกันเรารู้ว่าเขาต้องการก็ให้เขาไป เป็นการตัดความโลภของเราให้มันจบลงตรงนั้นนี่คือตัวอุเบกขา แต่ว่าให้แล้วก็ไปนั่งคิดต่อว่า เอ๊...มันจะหลอกเราหรือเปล่าหว่า มันเป็นแก๊งค์ขอทานประเภทที่เรียกว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็เอาคนมาปล่อย ๆๆ ตามจุดแล้วก็ขอสตางค์เขาไปวัน ๆ หนึ่ง ถึงเวลามันกินดีอยู่ดีกว่าเราอีกหรือเปล่า

           ไอ้อย่างนี้ขาดอุเบกขา การรักษาศีลก็เช่นกัน ถ้าหากว่าขาดอุเบกขาขาดการปล่อยวางจริง ๆ การรักษาศีลมันก็รักษาไม่ได้ตลอด ไม่ฆ่าสัตว์ แต่อีคราวนี้ โกรธมันขึ้นมาก็อัดมันตุ้บเข้าให้ ไม่ตายหรอกแต่เจ็บ ดีไม่ดีก็สาหัสไปเลย ขาดอุเบกขา การภาวนายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ถ้าขาดตัวอุเบกขาคือการปล่อยวางไม่รู้จักวาระของมันจะก้าวหน้าได้ยากมาก เราต้องทำใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ผลพิเศษต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เป็นเรื่องของเขา นี่คือการปล่อยในตัวอุเบกขา แต่ถ้าไปภาวนาตั้งใจอยากให้มันได้อยากให้มันเป็น มันจะไม่ได้มันจะไม่เป็น มันเหมือนกับเราปลูกต้นไม้เรามีหน้าที่รดน้ำพรวนดินจับหนอนจับแมลงใส่ปุ๋ยดูแลก็ทำมันไป เราไม่มีหน้าที่ไปบังคับเขาออกดอกออกผล ลองไปจับมันดึงยอดดูสิมันจะออกมั๊ย .. เฉาตายซะก่อน แต่ถ้าเรามีหน้าที่ทำของเราไปเรื่อยด้วยการปล่อยวางและเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย

           เมื่อถึงเวลาดอกผลมันจะเกิดของมันเอง ถึงวาระ ถึงฤดูกาลของมัน ๆ ก็ออกดอกออกผลให้ชื่นใจ อีตอนที่มันยังไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาอยากเท่าไหร่มันก็ไม่ได้อยากเท่าไหร่มันก็ไม่เป็น ตัวอยาก คือ การไม่รู้จักวางอุเบกขา ตัวรู้ว่าเรามีหน้าที่อย่างไรเราทำให้ดีที่สุด ผลของหน้าที่นั้นจะเป็นอย่างไรช่างมัน นั่นคือตัวอุเบกขา นะ เบรคให้เป็นเบรคขา เบรคแขน เบรคปากเอาไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะไปทะเลาะกับคนอื่นเขา ถ้าอุเบกขาเป็นทุกอย่างก็ดีหมด ไม่มีการกระทบกระทั่งกับใคร ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด ปกติของโลกมันเป็นอย่างนั้น ไม้ตายท่าสุดท้ายแล้ว อุเบกขา ถ้าเต็มที่มันจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ รู้จักปล่อยวางในการปรุงแต่ง การปรุงแต่งการนึกคิดเพิ่มเติมทุกอย่างไอ้ตัวฟุ้งซ่านขนาดหนักเลย ทุกอย่างถ้าหยุดการปรุงแต่งลงได้มันก็หยุดหมดมันก็ดับหมด ใครเคยตามดูความคิดตัวเองบ้าง หยุดความคิดตัวเองเป็นมั๊ย หยุดเป็นเมื่อไหร่ก็เย็นเมื่อนั้นแหละ จิตสังขารคือตัวปรุงแต่งของใจสำคัญมาก

           เกิดมันก็ตรงเนี้ย แก่มันก็ตรงเนี้ย เจ็บมันก็ตรงเนี้ย ตายมันก็ตรงเนี้ย อนิจจังไม่เที่ยงก็เพราะมัน ทุกขังเป็นเพราะมัน อนัตตาก็เป็นเพราะมัน ก็เพราะจิตตัวปรุงแต่งนี้ตัวเดียว หยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่พระท่านเรียกว่านิโรธ คือ เข้าถึงความดับ ความร่มเย็น ความสงบอย่างแท้จริง การหยุดมันท่านเรียกว่า มรรค สาเหตุที่มันปรุงมันแต่งมันทำให้เกิดทุกข์ท่านเรียกว่า สมุทัย ปรุงแต่งมันเมื่อไหร่มันก็เป็นทุกข์ อริยสัจ ๔ มันก็อยู่ตรงนี้นั่นแหละ อยู่ที่จิตตัวเดียว ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย

            ดังนั้น ท่านถึงให้ดูภายใน ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นไม่สำเร็จ แก้ที่คนอื่นไม่สำเร็จ ทุกอย่างเป็นเรื่องของโลก เราไม่สามารถแก้ไขโลกได้ แต่เราแก้ไขตัวเราเองได้ ภาระทุกอย่างถ้าเราแบกโลกไว้มันหนักเหลือเกิน แต่ถ้าเราวางลงตัวเรามันมีภาระอยู่นิดเดียวเท่านั้น ยิ่งฟังก็ยิ่งง่ายเนาะ ฟังง่ายใช่มั๊ย?

            เหลืออีกครึ่งชั่วโมง หรือ...มันพูดมากขนาดนี้เชียวหรือ...ว่าไปเรื่อยเปื่อยนะ ยิ่งอีตอนบรรยายให้ ชาวบ้านเขาฟังยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ วิทยากรต่าง ๆ จะพูดด้วยภาษาราชการ แต่ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง ไปถึงก็อุปโภคอย่างนั้น บริโภคอย่างนี้ กะเหรี่ยงมันฟังรู้เรื่องไหมล่ะ เออ อุปโภคบริโภค มันรู้แต่ ออหมี่ออที กินข้าวกินน้ำ อาตมาก็ต้องไปเป็นล่ามแปลไทยเป็นไทยให้เขาฟังอีกทีหนึ่ง ว่าไปว่ามาวิทยากรก็นิมนต์อาจารย์ว่าไปเรื่อย ๆ เลยครับ ตกลงบรรยาย ๖ ชั่วโมง พระว่าไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง จริง ๆ ไม่ใช่เขาไม่เก่งนะ เขาเก่งแต่เขาลดระดับตัวเองลงมาไม่เป็น ต้องพูดภาษาชาวบ้านให้ชาวบ้านเขาฟัง นี่อาตมาก็พูดมากจนเกินไปเหมือนกัน ตกลงมีใครเก็บเอาไว้ได้บ้าง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด นักปฏิบัติที่ดีเมื่อกี้บอกแล้วการจดบันทึกสำคัญมากเป็นการซ้อมอตีตังสญาณด้วย

           ขณะเดียวกันก็กันลืม หัวใจนักปราชญ์จำได้มั๊ย สุ จิ ปุ ลิ สุ มาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง จิ ก็มาจากจิตตะ แปลว่าคิด ปุ ก็มาจากปุจฉา แปลว่าถาม ลิ ก็มาจากลิขิต เขียน ฟัง-คิด-ถาม-เขียน ไอ้เขียนนี่ท่านบอกไว้ว่ากันลืม สุตตะจงฟัง เขาอย่าขี้เกียจ จิตตะคิดให้ละเอียดที่สงสัย ปุจฉาหลงจงถามอย่าเกรงใจ ลิขิตเขียนไว้ได้จะดีเอย เก่งกันทุกคนจำได้หมดเลยไม่มีใครจดสักคนหนึ่ง อย่าเชียวนะไอ้ประเภทพึ่งเทคโนโลยีน่ะ เจ๊งมาเยอะต่อเยอะแล้ว

           อาตมาอยู่วัดท่าซุงถือสมุดบันทึกเข้าโบสถ์อยู่องค์เดียว ถึงเวลาก็จดยิก ๆ พี่น้องไอ้ ๔๐ กว่าคนไปพึ่งไอ้เครื่องบันทึกเสียงอยู่ ปรากฏว่าวันนั้นหลวงพ่อพูดเรื่องที่สำคัญที่สุด เครื่องบันทึกเสียงเจ๊ง อีคราวนี้มันทึ้งอาตมาซะเป็นชิ้น ๆ เลย จดอยู่คนเดียว สิ่งที่เราฟัง จะจำได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบใจของเรา ไอ้ตัวกระทบใจก็คือมันตรงกับใจของเรา ตรงกับการปฏิบัติของเราตอนนั้น แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับเราในอนาคตมันจะผ่านเลยไปเฉย ๆ

            เพราะฉะนั้นจดซะบ้างโดยเฉพาะนักปฏิบัติ หลวงพ่อท่านบอกว่านักปฏิบัติที่ดีกระดาษปากกกาห้ามห่างมือเด็ดขาด ยิ่งเวลากลางคืนที่พระท่านสงเคราะห์ อาตมาพลิกตัวมาได้ มืดก็มืดแล้วเขี่ยไว้ก่อนอ่านออกอ่านไม่ออกให้มันมีนัยเอาไว้ถึงเวลามันก็นึกได้เอง แต่ถ้าไม่จดรอให้เวลาผ่านไปพักเดียวเท่านั้นแหละ...ลืม มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมาตอนเช้ามืด บอกให้ทำอย่างนั้น ๆๆ สั่งมา ๓ ข้อ ไอ้เราโอ๊ย...สบาย ๓๐๐ ข้อยังจำได้เลย ๓ ข้อ แค่นี้หมูมาก ปรากฏว่าพออรุณขึ้น มัเนหลือแค่ข้อเดียว อีก ๒ ข้อ มันหายขาด ชนิดคิดหัวแทบแตกก็เค้นไม่ออก ถ้าจดไว้ก่อนมันมีเค้าอยู่เราก็จะนึกขึ้นมาได้

            ปกติแล้ววันเสาร์ห้า ตามสายครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ให้เป็นวันไหว้ครู แล้วมีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงมลด้วย วันเสาร์ห้าคือวันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ ถ้าได้เดือนห้าด้วยก็ดี ถ้าไม่ได้เดือนห้าเป็นเดือนอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นข้างขึ้นเท่านั้น เพราะโบราณท่านเคล็ดคำว่า “ขึ้น” ทำอะไรให้ทำขึ้น เขาถือเป็นวันดี วันแรง วันขลัง ตามสายครูบาอาจารย์ท่านให้ไหว้ครูวันเสาร์ห้า ถ้าวันเสาร์ห้ามีกิจจำเป็นจริง ๆ ไม่สามารถจะจัดงานไหว้ครูได้ ให้ไหว้ครูวันวิสาขบูชา ถ้าทั้งเสาร์ห้าและวิสาขบูชาไม่สามารถที่จะจัดงานไหว้ครูได้ด้วยเหตุ ขัดข้องประการใดก็ตาม ให้ใช้วันมาฆบูชาแทนได้ พ้นจาก ๓ วันนี้แล้วไม่ได้ ใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจำ ๆ เอาไว้ด้วยจะได้เก็บเอาไปใช้ ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่หลวงพ่อบอกเขาฟัง แล้วก็ลืิม มีความสามารถสูงมากไม่ค่อยจะจำกัน

           สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่วันเสาร์ห้าท่านก็จะจัดการพิธีพุทธาภิเษกแล้วก็มีการเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย อันนั้นเป็นไปตามสายที่บูรพาจารย์ท่านให้สืบ ๆ กันมา จนกระมั่งมาถึงรุ่นลูก ๆ ท่านก็ครอบครูการเป่ายันต์เกราะเพชรให้ ๙ องค์ด้วยกัน แต่ว่าเขาลงชื่อไว้ในธัมมวิโมกข์ ๗ องค์เท่านั้น ไอ้ ๒ องค์ที่เป็นตัวต้นคิดโดนไล่ออกจากวัดไปแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้องค์หนึ่ง (หัวเราะ)

            ..ตอนนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งให้พระทั้งวัดทำขันบูชาครูเพื่อขึ้นครูการเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางกรรมการสงฆ์คิดอย่างไร ตัวประธานกรรมการสงฆ์ท่านบอกว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรถ้าหากว่าใครจะทำก็แปลว่าวัดรอยเท้าหลวงพ่อ แต่จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านสั่งให้ขึ้นครูเอง อาตมาเองเป็นคนดื้อ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาบอกไม่ให้ทำ อาตมาดื้อเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ชอบแหกคอก อยู่นอกคอกแล้วไม่ต้องไปแหก ก็เลยไปสั่งป้าสุ คุณโยมสุภาพร ปุษยะนาวิน บอกว่าป้าช่วยจัดขันห้าสำหรับบูชาครูเป่ายันต์เกราะเพชรให้ด้วย

            คราวนี้ก็พระน้องชายอยู่องค์หนึ่งคือท่านชาติชาย สุธัมมธนปาโล ท่านชาติชายแกเป็นป่าไม้ เป็นหัวหน้าสถานีวิจัยไผ่ผาตาด อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีรายนี้เป็นรายที่ชอบท้าทายมาก อาตมาไปเทศน์ที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง เทศน์ไป ๆ ครบ ๓ ชั่วโมง ตอนแรกไม่ได้เจตนาเทศน์นานหรอก ๓๐ นาทีเขาก็ไม่ไหวกันแล้ว แต่ปรากฏว่าเรื่องมันสนุก เขาขอต่อไปเรื่อย ๆ คือ มันเป็นเรื่องของผี เรื่องของเทวดา เรื่องของพระ ของอะไรเหล่านี้ ชาวบ้านเขาสนุก ถ้าชาวบ้านสนุกนี่ระวังให้ดีอาตมาโดนขโมยบันไดมาแล้ว

           การขึ้นธรรมาสน์เทศน์มันจะมีบันไดประมาณ ๓-๔ ขั้น สนุกแล้วมันไม่ยอมให้พระลง.. ขโมยบันไดไปเลย.. มันให้เทศน์ไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้เลิก ก็ว่าไปเรื่อยพอ ๓ ชั่วโมงถามว่า ที่ว่ามานี่มีใครไม่เชื่อบ้าง? มันยกมืออยู่คนเดียวน่ะ คุณหัวหน้าชาติชายเขายกมืออยู่คนเดียว ก็ถามว่า ไม่เชื่อด้วยเหตุใด เขาก็บอกว่าถ้าจะให้เขาเชื่อเขาต้องรู้เห็นด้วยตัวเอง ก็เลยพาไปวัดท่าซุงไปฝึกมโนมยิทธิ พอฝึกได้อีคราวนี้สาหัสเลย มันติดเป็นตังเมเลย แบกเป้ใบหนึ่งตามต้อย ๆ อยู่ทุกวันทุกเดือน เป็นเวลา ๕ เดือนติด ๆ กัน เหม็นขี้หน้าเต็มที..

            คุณชาติชายเขาเห็นอาตมาทำหน้าเบื่อเขาเต็มทีเขาก็บอกว่า หลวงพี่ครับ .. ถ้าหลวงพี่รำคาญผมหลบไปแป๊บนึงก็ได้ มันหายไปกินข้าวหรือกินก๋วยเตี๋ยวก็ไม่รู้พักหนึ่งโผล่มาใหม่ คนเอาจริงเขาเป็นอย่างนั้นนะ ตามอยู่ ๕ เดือน ปรากฏว่ามันใกล้เข้าพรรษาพี่ท่านก็ไปอยู่วัด ไอ้เราก็นึกว่าเขาไปอยู่วัดเพื่อปฏิบัติตามปกติครบ ๗ วันก็ถามว่า เฮ้ย ทำไมไม่กลับ เขาบอกว่า ผมมาสมัครบวชครับ ก็ว่าของมันไปเรื่อย ไอ้เราก็ไม่ได้ว่าอะไรคนไม่ค่อยขี้สงสัย ครบ ๑๒๐ วันมันก็ยังอยู่ต่อ ถามว่า เฮ้ย คุณ ผิดระเบียบราชการนะ เขาบอกว่าผมทิ้งไปแล้วครับ ไม่ได้ลาออกนะ ทิ้งเฉย ๆ ถามว่า แล้วเรื่องเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญอะไรล่ะ เขาว่าช่างมัน ให้มีความผิดให้เขาไล่ออกไปเลยสบายใจดี

            คราวนี้พระน้องชายองค์นี้เห็นอาตมาไปเอาขันครูเพื่อเตรียมครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร..เอาด้วย ป้าสุ..มองหน้าพระสององค์แล้วถอนหายใจดังเฮือก บอกว่า หลวงพี่เจ้าขาคิดให้ดี ๆ นะเจ้าคะ สององค์รวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลย คือตอนนั้นอาตมาได้ ๗ พรรษา ของท่านได้ ๒ พรรษา คราวนี้ก็ปรากฏว่าป้าสุก็ออกความเห็นว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากมั่นใจว่าจะเอาจริง ๆ เดี๋ยวโยมจะทำพานไหว้ครูให้กับพระผู้ใหญ่ที่รับใช้หลวงพ่ออยู่รอบ ๆ บริเวณเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย ถ้าพระผู้ใหญ่ืได้รับไปด้วยเขาก็ว่าไม่ได้ ตกลงป้าสุก็ทำพานไป

           ปรากฏว่ามีพระที่รับใช้หลวงพ่อตอนนั้นที่อยู่ที่บริเวณศาลา ๑๒ ไร่อยู่ ๗ องค์และรวมอาตมา ๒ องค์ก็เป็น ๙ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ทำพิธีครอบครูเสร็จอะไรเสร็จ เขาประกาศชื่อลงธัมมวิโมกข์เขาตัดไอ้ตัวหน้าออกไป ๒ ตัว สบายใจดี เราไม่มีชื่อต่อไปใครเขาก็มารบกวนเราไม่ได้ใช่มั๊ย เขาก็ไปกวนไอ้พวกที่มีชื่อ..สมน้ำหน้า